Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ชีวิตสำคัญที่เป้าหมาย วิธีคิด และการกระทำ
•
ติดตาม
25 พ.ย. เวลา 00:54 • การศึกษา
“มโนปุพพงฺคมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา…” ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยใจ
เรื่องเล่าสอนใจ(บางส่วน)จากพระธัมมปทัฏฐกถา
บทความนี้ ได้รวบรวมและเรียบเรียงเรื่องราวอมตะจาก "พระธัมมปทัฏฐกถา" ซึ่งเป็นคัมภีร์อรรถกถาอธิบายขยายความพระธรรมบทในพระไตรปิฎก โดยนำเสนอในรูปแบบเรื่องเล่าที่ร่วมสมัยและเข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้อ่านรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงแก่นธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างลึกซึ้ง
จุดมุ่งหมายสำคัญคือ การฉายภาพให้เห็นถึงหลักธรรมอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอำนาจจิต พลังแห่งกรรม และหนทางสู่การดับทุกข์และเข้าถึงปัญญา ผ่านเรื่องราวที่น่าจดจำและเปี่ยมด้วยคติสอนใจเหล่านี้ครับ
1. หมวดที่ ๑: พลังแห่งจิต - ทุกสิ่งเริ่มต้นที่ใจ
เรื่องราวในหมวดนี้สะท้อนหลักธรรมสำคัญที่ว่า "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" หรือในทางพระพุทธศาสนาคือ จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยใจ ความคิด เจตนา และสภาวะแห่งจิตของเรา คือสิ่งที่กำหนดการกระทำ ประสบการณ์ และแม้กระทั่งชะตาชีวิตของเราในท้ายที่สุด
1.1. เรื่องที่ ๑: พระจักขุปาลเถระ - กรรมสำเร็จได้ด้วยเจตนา
เล่าเรื่อง…
วันหนึ่ง มีภิกษุกลุ่มหนึ่งเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระเชตวันมหาวิหาร และได้แวะพักที่วิหารของพระจักขุปาลเถระ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ผู้มีดวงตาบอดสนิท ในคืนนั้น ขณะที่พระเถระกำลังเดินจงกรม ท่านก็ได้เหยียบย่ำสัตว์มีชีวิตเป็นอันมากถึงแก่ความตายไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อถึงรุ่งเช้า ภิกษุเหล่านั้นเห็นซากสัตว์จึงพากันตำหนิและนำความไปกราบทูลพระศาสดา
พระพุทธองค์ทรงตรัสถามว่า "พวกเธอเห็นพระเถระกำลังฆ่าสัตว์เหล่านั้นหรือ?" ภิกษุเหล่านั้นทูลตอบว่า "ไม่ได้เห็น พระเจ้าข้า"
พระศาสดาจึงตรัสสอนว่า "พวกเธอไม่เห็นฉันใด แม้พระเถระก็ไม่เห็นสัตว์เหล่านั้นฉันนั้น ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าเจตนาเป็นเหตุให้ตาย ของพระขีณาสพทั้งหลายมิได้มี" พระองค์ทรงอธิบายหลักการสำคัญว่า "ใจชื่อว่าเป็นหัวหน้าของธรรมทั้งหลาย"การกระทำใดๆ จะเป็นบาปหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับเจตนาเป็นสำคัญ เมื่อพระเถระไม่มีเจตนาที่จะเบียดเบียนสัตว์เหล่านั้น การกระทำนั้นจึงไม่จัดว่าเป็นบาป
จากนั้น พระพุทธองค์ได้ทรงเล่าถึงบุพกรรมในอดีตชาติของพระจักขุปาลเถระว่า ในชาติหนึ่ง ท่านเคยเป็นหมอรักษาตาที่เก่งกาจ ได้รักษาหญิงคนหนึ่งจนดวงตากลับมาเป็นปกติ แต่หญิงผู้นั้นกลับคิดโกงค่ารักษา โดยโกหกว่าดวงตาของตนยังเจ็บปวดมากกว่าเดิม ด้วยความโกรธแค้น หมอจึงแกล้งปรุงยาพิษให้หญิงนั้นหยอดตา จนดวงตาทั้งสองข้างของนางบอดสนิท ด้วยผลแห่งกรรมชั่วที่กระทำด้วยเจตนามุ่งร้ายในครั้งนั้น ส่งผลให้ท่านต้องเกิดมามีดวงตาบอดในชาติสุดท้ายนี้ แม้ว่าจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตาม
สรุปหลักธรรมสำคัญ
เรื่องราวนี้สอนให้รู้ว่า บาปและบุญสำเร็จได้ด้วยเจตนาเป็นที่ตั้ง การกระทำจะถูกตัดสินจากความคิดที่อยู่เบื้องหลัง มิใช่เพียงผลลัพธ์ที่ปรากฏภายนอก ความคิดที่มุ่งร้ายแม้เพียงน้อยนิด ย่อมนำมาซึ่งความทุกข์แก่ตนเองในที่สุด เหมือนดังที่หมอจงใจทำลายดวงตาของผู้อื่น จนตนเองต้องรับผลกรรมตาบอดในชาติภพต่อมา
จากเจตนาอันเป็นเครื่องตัดสินกรรม นำไปสู่พลังแห่งศรัทธาที่สามารถพลิกผันชะตาชีวิตได้ในชั่วขณะจิตสุดท้าย
1.2. เรื่องที่ ๒: มัฏฐกุณฑลีมาณพ - อานิสงส์แห่งจิตที่เลื่อมใส
เล่าเรื่อง…
ในกรุงสาวัตถี มีพราหมณ์ผู้หนึ่งที่ตระหนี่ถี่เหนียวอย่างยิ่ง แม้มีทรัพย์สมบัติมหาศาล แต่ไม่เคยให้ทานหรือใช้จ่ายเพื่อสิ่งใด เมื่อบุตรชายคนเดียวของเขาที่ชื่อว่า "มัฏฐกุณฑลี" ล้มป่วยด้วยโรคผอมเหลือง พราหมณ์ผู้เป็นบิดากลับไม่ยอมจ้างหมอ เพราะกลัวจะเสียทรัพย์ เขาจึงไปตระเวนถามสูตรยาจากหมอต่างๆ แล้วนำรากไม้มาต้มให้บุตรชายดื่มเอง จนอาการของบุตรทรุดหนักลงทุกที
เมื่อเห็นว่าบุตรชายใกล้จะสิ้นใจและมีสภาพที่อ่อนแรงเต็มที พราหมณ์จึงยอมหาหมอมาคนหนึ่ง แต่หมอเมื่อตรวจดูอาการแล้วก็รู้ว่าเกินจะเยียวยา จึงกล่าวเลี่ยงว่าตนมีธุระแล้วจากไป ด้วยความสิ้นหวังและยังคงหวงทรัพย์ พราหมณ์จึงนำบุตรออกมานอนที่นอกชานเรือน ในขณะนั้นเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงเปล่งพระรัศมีสว่างไสวไปที่หน้าบ้านของพราหมณ์
มัฏฐกุณฑลีซึ่งนอนหันหน้าเข้าในเรือน ได้เห็นแสงสว่างนั้นจึงพลิกตัวกลับมา และได้ยลพระสิริโฉมอันงดงามของพระพุทธองค์ เขาคิดในใจว่า "เพราะบิดาผู้เป็นพาลของเราแท้ๆ จึงทำให้เราไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระคุณเช่นนี้เลย" ในวาระสุดท้ายของชีวิต แม้ร่างกายจะขยับไม่ได้ แต่เขา "ได้ทำใจเท่านั้นให้เลื่อมใส" ในพระพุทธเจ้า
เพียงเพราะจิตที่เลื่อมใสอย่างบริสุทธิ์ในชั่วขณะสุดท้ายนั้นเอง เมื่อสิ้นลมหายใจ มัฏฐกุณฑลีก็ได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรผู้มีรัศมีกายงดงามในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในเวลาต่อมา เทพบุตรตนนั้นได้แปลงกายมาพบพราหมณ์ผู้เป็นบิดาซึ่งยังคงเศร้าโศกเสียใจ และได้นำทางบิดาให้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า จนในที่สุดพราหมณ์ก็ได้เกิดความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย และเข้าใจในอานิสงส์แห่งการทำจิตให้ผ่องใส
ตารางเปรียบเทียบ
การกระทำ (เหตุ) | ผลลัพธ์ (ผล)
~ พราหมณ์ผู้บิดามีความตระหนี่ ไม่ยอมเสียทรัพย์รักษาบุตร | บุตรชายเกือบเสียชีวิตโดยไม่ได้รับการรักษา และบิดาต้องเศร้าโศกในภายหลัง
~ มัฏฐกุณฑลีทำจิตให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าก่อนสิ้นใจ | ได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรในเทวโลก มีสมบัติทิพย์มากมาย
~ พราหมณ์ได้ฟังเรื่องราวและธรรมจากพระพุทธเจ้า | เกิดความเลื่อมใสและถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
พลังแห่งจิตที่ผ่องใสย่อมนำมาซึ่งสุคติฉันใด จิตที่อาฆาตพยาบาทก็ย่อมนำไปสู่วงจรแห่งความทุกข์ที่ไม่มีที่สิ้นสุดฉันนั้น
2. หมวดที่ ๒: การเอาชนะกิเลสในใจ - เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
ความเกลียดชัง ความอาฆาต และความขัดแย้ง ล้วนเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์อันมหาศาล เรื่องราวในหมวดนี้จะชี้ให้เห็นถึงปัญญาแห่งการให้อภัยและการไม่จองเวร ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะตัดวงจรแห่งความทุกข์และนำมาซึ่งความสงบสุขที่แท้จริง
2.1. เรื่องที่ ๑: นางยักษิณี - วงจรแห่งความอาฆาต
เล่าเรื่อง…
เรื่องราวแห่งการจองเวรข้ามภพข้ามชาตินี้ เริ่มต้นจากหญิงสองคนที่เป็นภรรยาของชายคนเดียวกัน ภรรยาหลวงเป็นหมัน ส่วนภรรยาน้อยสามารถมีบุตรได้ ด้วยความอิจฉาริษยา ภรรยาหลวงจึงแอบวางยาทำลายครรภ์ของภรรยาน้อยถึงสองครั้งสองครา จนครั้งที่สาม ภรรยาน้อยเสียชีวิตพร้อมกับบุตรในท้อง ก่อนสิ้นใจนางได้ตั้งจิตอาฆาตว่า "ขอให้เราได้เกิดมาเพื่อเคี้ยวกินลูกของมันบ้าง"
วงจรแห่งการแก้แค้นอันน่าสะพรึงกลัวจึงได้เริ่มต้นขึ้น ในชาติถัดมา หญิงผู้เป็นภรรยาน้อยได้เกิดเป็นแม่แมว ส่วนภรรยาหลวงเกิดเป็นแม่ไก่ในบ้านหลังเดียวกัน ทุกครั้งที่แม่ไก่ออกไข่ แม่แมวก็จะมากินไข่จนหมดสิ้น จนครั้งสุดท้ายได้กินแม้กระทั่งตัวแม่ไก่เอง ก่อนตายแม่ไก่ก็ได้ผูกเวรจองเวรไว้เช่นกัน การจองเวรยังไม่สิ้นสุดลงแค่นั้น ทั้งสองได้กลับชาติมาเกิดเป็นนางยักษิณีและกุลธิดา (หญิงสาว) ในเมืองสาวัตถี เมื่อหญิงสาวคลอดบุตร นางยักษิณีก็จะแปลงกายมาจับทารกกินเป็นอาหารถึงสองคน
จนมาถึงชาติสุดท้าย ในการตั้งครรภ์ครั้งที่สาม หญิงสาวได้หนีกลับไปคลอดบุตรที่บ้านของตน แต่เมื่อเดินทางกลับ นางยักษิณีก็ได้ไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ ด้วยความกลัวสุดขีด นางจึงอุ้มบุตรวิ่งหนีเข้าไปในพระเชตวันมหาวิหาร ซึ่งขณะนั้นพระพุทธองค์กำลังทรงแสดงธรรมอยู่
คำสอนของพระพุทธเจ้า
เมื่อทั้งสองมาอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ พระพุทธองค์ได้ทรงระงับเหตุด้วยพระปัญญาธิคุณ และตรัสพระคาถาอันเป็นอมตะว่า
"เวรย่อมระงับได้ด้วยความไม่มีเวร หาระงับได้ด้วยเวรไม่, ธรรมนี้เป็นของเก่า" (ในกาลไหนๆ เวรทั้งหลายในโลกนี้ ย่อมไม่ระงับด้วยเวรเลย ก็แต่ย่อมระงับได้ด้วยความไม่มีเวร, ธรรมนี้เป็นสัจธรรมที่มีมาแต่โบราณ)
บทสรุปและการแก้ไข
พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า หากทั้งสองไม่มาพบพระองค์ เวรนี้จะผูกพันต่อไปชั่วกัปชั่วกัลป์ไม่สิ้นสุด จากนั้นพระองค์ทรงไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองให้อภัยซึ่งกันและกัน หญิงสาวได้นำนางยักษิณีไปอาศัยอยู่ที่บ้าน และดูแลด้วยอาหารอย่างดี ในที่สุด ความเมตตากรุณาได้ทำลายโซ่ตรวนแห่งความอาฆาตลง นางยักษิณีได้กลับกลายเป็นผู้มีคุณ คอยบอกใบ้เรื่องฝนฟ้าให้แก่หญิงสาว ทำให้ครอบครัวของนางทำการเกษตรได้ผลดี จนนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่หมู่บ้านทั้งหมด เป็นการยุติวงจรแห่งเวรกรรมได้อย่างสมบูรณ์
จากความเกลียดชังระหว่างบุคคล นำไปสู่ความขัดแย้งที่ทำลายความสงบสุขของส่วนรวม ดังเรื่องราวต่อไปนี้
2.2. เรื่องที่ ๒: ภิกษุชาวเมืองโกสัมพี - โทษแห่งการแตกสามัคคี
เล่าเรื่อง…
ณ วัดโฆสิตาราม เมืองโกสัมพี ได้เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้นในหมู่สงฆ์ เหตุเกิดจากเรื่องเล็กน้อยเกี่ยวกับการวินัย แต่กลับลุกลามใหญ่โตจนภิกษุแบ่งออกเป็นสองฝ่ายและไม่ยอมคืนดีกัน แม้พระพุทธองค์จะเสด็จมาไกล่เกลี่ยถึงสามครั้งสามครา แต่ก็ไม่เป็นผล
ด้วยความเอือมระอาในความว่ายากของเหล่าภิกษุ พระพุทธองค์จึงเสด็จหลีกเร้นไปประทับในป่าแต่เพียงลำพัง ณ ที่นั้น พระองค์กลับได้รับความสงบสุขอย่างยิ่ง โดยมีพญาช้างชื่อ "ปาริเลยยกะ" และลิงตัวหนึ่งคอยปรนนิบัติอุปัฏฐาก พญาช้างคอยดูแลความปลอดภัยและหาน้ำใช้ น้ำฉัน ส่วนลิงได้นำรวงผึ้งมาถวาย แต่เมื่อเห็นว่ายังมีตัวอ่อนอยู่ข้างใน ด้วยความใส่ใจจึงค่อยๆ นำตัวอ่อนออกจนหมดสิ้น แล้วจึงนำรวงผึ้งอันบริสุทธิ์นั้นถวายแด่พระองค์
ภาพความสงบสุขในป่าที่มีเพียงสัตว์เดรัจฉานคอยดูแลเอาใจใส่นั้น ช่างแตกต่างจากความวุ่นวายในหมู่สงฆ์ที่แตกแยกกันอย่างสิ้นเชิง
ในที่สุด เมื่อเรื่องราวความแตกแยกไปถึงกรุงสาวัตถี เหล่าอุบาสกอุบาสิกาได้พร้อมใจกันไม่ให้การต้อนรับและไม่ถวายภัตตาหารแก่ภิกษุกลุ่มนั้น เมื่อไม่ได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้าน ภิกษุเหล่านั้นจึงเกิดความละอายใจและสำนึกผิด ยอมเดินทางไปเข้าเฝ้าเพื่อทูลขอขมาต่อพระศาสดา และกลับมาสามัคคีกันดังเดิม
หลักธรรมสำคัญ
* โทษของการทะเลาะวิวาท: เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นว่าการทะเลาะวิวาทและความแตกแยกสร้างบรรยากาศที่เป็นพิษ และนำมาซึ่งความทุกข์แก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
* ความสุขแห่งความสงบ: ช่วงเวลาที่พระพุทธองค์ประทับในป่ากับเหล่าสัตว์ เป็นเครื่องยืนยันว่าความสงบที่เกิดจากความสามัคคีและความสันโดษนั้นมีคุณค่าเพียงใด
* บัณฑิตย่อมระงับการทะเลาะ: พระพุทธองค์ทรงสอนว่า บัณฑิตผู้รู้แจ้งว่าชีวิตนี้ไม่ยั่งยืน ย่อมระงับการทะเลาะวิวาทเสีย ส่วนคนพาลไม่ตระหนักในความจริงข้อนี้ จึงยังคงสร้างความทุกข์ให้แก่ตนเองและผู้อื่นต่อไป
เมื่อเรียนรู้ที่จะระงับอารมณ์ด้านลบแล้ว ขั้นต่อไปคือการลงมือปฏิบัติเพื่อสร้างคุณธรรมและปัญญาให้เกิดขึ้นในใจ
3. หมวดที่ ๓: หนทางแห่งการปฏิบัติ - ผลลัพธ์เกิดจากการลงมือทำ
เพียงแค่มีความรู้ในหลักธรรมนั้นยังไม่เพียงพอต่อการหลุดพ้นจากทุกข์ แต่จะต้องนำความรู้นั้นมาประกอบกับความเพียรพยายามในการปฏิบัติอย่างจริงจัง เรื่องราวในหมวดนี้จะแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างความเข้าใจในเชิงทฤษฎี กับพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการลงมือปฏิบัติธรรมอย่างอุทิศตน
3.1. เรื่องที่ ๑: พระมหากาลและพระจุลกาล - ผู้ไม่หวั่นไหวดุจภูผา
เล่าเรื่อง…
มีสองพี่น้องตระกูลเศรษฐี ชื่อมหากาลและจุลกาล ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วเกิดความเลื่อมใสจึงออกบวชด้วยกัน แต่มุ่งไปคนละเส้นทาง พระมหากาลผู้เป็นพี่ชาย เมื่อบวชแล้วได้เลือกหนทางแห่งการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น (วิปัสสนาธุระ) ท่านมุ่งมั่นบำเพ็ญเพียรอย่างยิ่งยวด โดยถือธุดงค์ข้อที่เรียกว่า "โสสานิกธุดงค์" คือการอาศัยอยู่ในป่าช้าเป็นวัตร เพื่อพิจารณาความตายและความไม่เที่ยงของสังขารเป็นอารมณ์ จนในที่สุดก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
ส่วนพระจุลกาลผู้เป็นน้องชายนั้น บวชตามพี่ชายด้วยความตั้งใจที่จะชวนให้สึกกลับไปครองเรือน และยังคงมีความผูกพันอยู่กับภรรยาเก่าทั้ง ๘ คน ไม่ได้มุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง
อยู่มาวันหนึ่ง ภรรยาเก่าทั้ง ๘ คนของพระมหากาลได้วางแผนที่จะจับท่านสึก พวกนางได้เข้าไปรุมล้อม ฉุดรั้ง และพยายามจะเปลื้องผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากกายของท่าน แต่ด้วยจิตของพระมหากาลนั้นมั่นคงในพระอรหัตผลแล้ว ท่านจึงไม่หวั่นไหวต่อสิ่งยั่วยวนใดๆ และได้แสดงฤทธิ์เหาะขึ้นไปในอากาศเพื่อหลีกหนีจากสตรีเหล่านั้น
คำอุปมาของพระพุทธเจ้า
เมื่อภิกษุรูปอื่นเห็นเหตุการณ์แล้วนำไปกราบทูล พระพุทธองค์จึงตรัสเปรียบเทียบพี่น้องทั้งสองว่า "จุลกาลนั้นเป็นเช่นกับต้นไม้ที่มีกำลังไม่แข็งแรง...ส่วนมหากาลบุตรของเรา...เป็นผู้ไม่หวั่นไหวเลย เหมือนภูเขาหินแท่งทึบ"
สรุปหลักธรรม
บุคคลที่ใช้ชีวิตเพื่อแสวงหาความสุขทางกามารมณ์ ย่อมถูกกิเลสมารครอบงำได้โดยง่าย เหมือนต้นไม้ที่ไม่แข็งแรงซึ่งถูกลมพายุพัดโค่นลง แต่ผู้ที่หมั่นเพียรปฏิบัติธรรม ย่อมพัฒนาพลังใจภายในให้แข็งแกร่ง จนไม่มีสิ่งใดยั่วยุหรือทำให้หวั่นไหวได้ เหมือนภูเขาหินที่ตั้งตระหง่านไม่สะทกสะท้านต่อแรงลม
จากการปฏิบัติที่จริงจัง นำไปสู่การเปรียบเทียบคุณค่าที่แท้จริงระหว่างการเรียนรู้กับการลงมือทำ
3.2. เรื่องที่ ๒: ภิกษุ ๒ สหาย - ผู้รู้ธรรมกับผู้ปฏิบัติธรรม
เล่าเรื่อง…
กุลบุตรสองสหายได้ออกบวชในพระพุทธศาสนาพร้อมกัน แต่ได้เลือกหนทางปฏิบัติที่แตกต่างกันไป รูปหนึ่งเลือกหนทางแห่งการเป็นนักปราชญ์ (คันถธุระ) โดยมุ่งศึกษาพระปริยัติธรรมจนแตกฉาน สามารถจดจำพระไตรปิฎกได้ทั้งหมด และมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ในขณะที่อีกรูปหนึ่งซึ่งมีอายุมากกว่า ได้เลือกหนทางแห่งการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน (วิปัสสนาธุระ) โดยมุ่งเน้นการเจริญสติภาวนาเป็นหลัก
เวลาผ่านไป ภิกษุผู้มุ่งมั่นปฏิบัติก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ผู้พร้อมด้วยอภิญญา ในขณะที่ภิกษุผู้เป็นนักปราชญ์ แม้จะมีความรู้ในพระธรรมอย่างท่วมท้น แต่ก็ยังมิได้บรรลุธรรมในขั้นใดๆ เลย เมื่อบรรดาลูกศิษย์ของพระนักปราชญ์พากันน้อยใจที่พระศาสดาทรงยกย่องแต่พระผู้ปฏิบัติ พระพุทธองค์จึงได้ตรัสอุปมาให้ฟังว่า "อาจารย์ของพวกเธอ เช่นกับผู้รักษาโคทั้งหลาย เพื่อค่าจ้าง...ส่วนบุตรของเรา เช่นกับเจ้าของผู้บริโภคปัญจโครสตามชอบใจ"
ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญ
หัวใจของเรื่องนี้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างยิ่งยวดระหว่าง ‘ความรู้’ กับ ‘ความเข้าใจ’ ประโยชน์ที่แท้จริงจากการศึกษาธรรมะ เกิดขึ้นจากการนำคำสอนนั้นไปปฏิบัติ ภิกษุผู้เป็นนักปราชญ์สามารถท่องจำพระธรรมได้ทั้งหมด แต่กลับไม่เข้าถึงแก่นแท้ของคำสอนอันมุ่งไปสู่ความหลุดพ้น ในทางตรงกันข้าม ภิกษุผู้ปฏิบัติแม้รู้พระธรรมน้อยกว่า แต่กลับเข้าใจถึงหัวใจของคำสอนนั้นอย่างแท้จริงผ่านการลงมือทำ ก็เปรียบเสมือนคนเลี้ยงวัวที่ได้แต่ดูแลฝูงวัวให้คนอื่น แต่ไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสผลิตภัณฑ์อันโอชะจากวัวเหล่านั้นเลย
การปฏิบัติธรรมนั้นมีเป้าหมายเพื่อการเห็นแจ้งในความจริงของชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งความจริงเรื่องความไม่เที่ยง
4. หมวดที่ ๔: ความจริงของชีวิต - การยอมรับในกฎธรรมชาติ
หัวใจสำคัญของปัญญาในทางพระพุทธศาสนา คือการทำความเข้าใจและยอมรับความจริงอันเป็นพื้นฐานของชีวิต เช่น ความไม่เที่ยง (อนิจจัง) และความตาย (มรณัง) เรื่องราวต่อไปนี้จะมอบบทเรียนอันทรงพลังในการยอมรับความจริงข้อนี้ ซึ่งเป็นประตูสู่ความสงบที่แท้จริง
4.1. เรื่องที่ ๑: นางกิสาโคตมี - การเรียนรู้จากเมล็ดพันธุ์ผักกาด
เล่าเรื่อง…
นางกิสาโคตมี เป็นหญิงสาวที่สูญเสียบุตรชายเพียงคนเดียวไปอย่างกะทันหัน ด้วยความโศกเศร้าเสียใจอย่างใหญ่หลวง นางไม่สามารถยอมรับความจริงได้ จึงอุ้มร่างไร้วิญญาณของบุตรชายตระเวนไปทั่วหมู่บ้านเพื่อร้องหายาที่จะมาชุบชีวิตลูกของนางให้ฟื้นคืนมา
ชาวบ้านต่างชี้ทางให้นางไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นที่พึ่ง เมื่อไปถึง พระศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยของนาง จึงทรงใช้อุบายอันแยบคายโดยรับสั่งว่า "เธอจงไปหา เมล็ดพันธุ์ผักกาด มาหนึ่งกำมือ จากบ้านหลังที่ไม่มีใครเคยตายเลย"
นางกิสาโคตมีดีใจมาก รีบออกเดินทางไปตามบ้านต่างๆ ทันที แต่ไม่ว่านางจะไปที่บ้านหลังไหน คำตอบที่ได้รับก็เหมือนกันหมดทุกหลังคาเรือน คือ "คนที่ตายในบ้านนี้นั้นแหละมีมาก" บางบ้านเสียพ่อ บางบ้านเสียแม่ บางบ้านเสียลูกหรือภรรยาไป
ในที่สุดนางก็ได้เกิดปัญญาญาณขึ้นมาในใจว่า "คนตายนั้นแหละมากกว่าคนเป็น" นางตระหนักได้ในทันทีว่าความตายเป็นสิ่งสากลที่ทุกชีวิตต้องเผชิญ ไม่มีใครสามารถหลีกหนีพ้นไปได้
บทสรุปและการบรรลุธรรม
เมื่อความจริงปรากฏขึ้นในใจ ความยึดมั่นถือมั่นในร่างของบุตรชายก็คลายลง นางได้นำร่างของบุตรไปจัดการตามสมควรแล้วกลับมาเฝ้าพระศาสดาอีกครั้ง ด้วยดวงใจที่พร้อมรับธรรมแล้ว พระพุทธองค์จึงทรงแสดงธรรมโปรดเกี่ยวกับความไม่เที่ยงและความตาย ทำให้นางได้ดวงตาเห็นธรรม ขอบรรพชาเป็นภิกษุณี และบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในที่สุด เรื่องราวนี้สอนให้รู้ว่า โศกนาฏกรรมส่วนตัว เมื่อมองผ่านเลนส์แห่งสัจธรรมสากล ก็สามารถกลายเป็นประตูสู่การเข้าถึงปัญญาอันสูงสุดได้
เรื่องเล่าจากพระธัมมปทัฏฐกถาเหล่านี้ แม้จะเกิดขึ้นเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว แต่ยังคงบรรจุสัจธรรมสากลที่สามารถสะท้อนสภาวะของมนุษย์ได้ทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังของจิตใจที่กำหนดทุกสิ่ง การจองเวรที่นำมาซึ่งความทุกข์ไม่สิ้นสุด ความสำคัญของการลงมือปฏิบัติ และการยอมรับความจริงของชีวิต
หนทางสู่ความสงบสุขและปัญญาที่แท้จริงนั้น เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจจิตใจของตนเอง และจบลงด้วยการยอมรับโลกตามความเป็นจริง ขอให้ท่านผู้อ่านได้นำคติธรรมจากเรื่องราวเหล่านี้ไปขบคิดพิจารณา และปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สุขในชีวิตของท่านสืบไปครับ.
กรภัทร์ จิติสกล
25 พฤศจิกายน 2568
#ชีวิตสำคัญที่เป้าหมาย วิธีคิด และการกระทำ
พุทธศาสนา
แนวคิด
พัฒนาตัวเอง
บันทึก
1
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย