25 พ.ย. เวลา 05:55 • อาหาร

Prebioticกับ Probiotic ต่างกันยังไง

เรา ได้ยินสองคำนี้เสมอแต่เราแน่ใจไหมคะว่าคำนี้มันต่างกันยังไงแล้วคืออะไร กันแน่
⭐ Prebiotic คืออะไร?
• ใยอาหารชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายย่อยเองไม่ได้
• ทำหน้าที่เป็น อาหารของจุลินทรีย์ดี (probiotics) ในลำไส้
• ตัวอย่าง: inulin, FOS, GOS, ใยจากกล้วยหอม กระเทียม หอมหัวใหญ่ หน่อ
Probiotic คืออะไร?
• คือ จุลินทรีย์ดี ที่กินเข้าไปแล้วช่วยปรับสมดุลลำไส้
• ต้องเป็นสายพันธุ์ที่มีงานวิจัยรองรับ เช่น
• Lactobacillus
• Bifidobacterium
• พบในโยเกิร์ต นมเปรี้ยว กิมจิ คอมบูฉะ หรือในรูปแบบแคปซูล
แล้วเราควรจะกินด้วยกันสองตัว หรือกินแยกกันดี
คือกินแยกกันก็ได้ ไม่เป็นอะไร แต่กินคู่กันก็ได้เหมือนกัน
สรุปคือเราควรจะกิน ไม่ว่าจะเป็น พรีไบโอติกหรือโพรไบโอติก
ถ้าจะให้จำง่ายง่ายคือ
Pro = ตัวแบคทีเรียดี”
Pre = อาหารของแบคทีเรีย
ส่วนมากเราเน้นว่าถ้าท้องผูกระบบขับถ่ายไม่คล่องให้กิน Prebiotic และ Probiotic เหล่านี้
สรุปง่ายง่ายคือ
ถ้าท้องผูก → เน้น Prebiotic
ถ้าท้องอืด ลมมาก → เน้น Probiotic
ถ้าต้องการปรับสมดุลลำไส้ → กินคู่กันดีที่สุด
แล้วที่เรา เห็นตัวอะไรเยอะแยะ ที่ต้องดูก่อนจะเลือกซื้อ Prebiotic หรือ Probiotic
เราต้องดู สามตัวหลัก ในการเลือกซื้อProbiotic
1) ดูชื่อสายพันธุ์ (Strain) ให้ครบ 3 ส่วน
ชื่อจะมี 3 ชิ้นเสมอ:
สกุล (Genus) – ชนิด (Species) – สายพันธุ์ (Strain)
ตัวอย่างดี:
• Lactobacillus rhamnosus GG
• Bifidobacterium lactis BB-12
• Lactobacillus reuteri DSM 17938
→ ต้องมีตัวท้าย เช่น GG, BB-12, DSM 17938
ถ้าไม่มี → ถือว่าไม่รู้สายพันธุ์ → ประสิทธิภาพไม่ชัดเจน
2) ดู ปริมาณจุลินทรีย์ (CFU)
CFU = Colony Forming Units = จำนวนแบคทีเรีย
แนวทางง่าย ๆ:
• 1–10 พันล้าน (billion) CFU/วัน = ใช้ทั่วไป
• 20–50 billion = สำหรับอาการลำไส้แปรปรวนหรือท้องอืดหนัก
• มากเกิน 100 billion → ไม่จำเป็นสำหรับคนทั่วไป
แต่สำคัญกว่า CFU คือ ต้องรอดจนถึงลำไส้ (ข้อ 3)
3) ดูว่า ทนกรดกระเพาะได้ไหม
แบคทีเรียต้องผ่านกรดในกระเพาะให้ได้ ไม่งั้นตายก่อนถึงลำไส้
ให้มองหาคำพวกนี้บนฉลาก:
• enteric coating
• acid-resistant
• stomach acid–survivable
• จุลินทรีย์สปีชีส์ที่ขึ้นชื่อว่าทนกรด เช่น L. rhamnosus GG
4) ดู วันหมดอายุ และวิธีเก็บ
บางชนิดต้องแช่เย็น เช่นสายพันธุ์ที่ไวต่ออุณหภูมิ
แต่หลายยี่ห้อเป็นแบบ freeze-dried → ไม่ต้องแช่เย็น
ดูคำว่า:
• Refrigerate (ต้องแช่เย็น)
• Shelf-stable (ไม่ต้องแช่เย็น)
5) เลือก สูตรที่มีพรีไบโอติกผสม (Synbiotic)
เช่น FOS, GOS, Inulin
พรีไบโอติกช่วยให้โปรไบโอติกอยู่รอดและเพิ่มจำนวน
แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ท้องอืดง่ายมาก → เริ่มจากแบบไม่มีพรีไบโอติกก่อน
6) เลือก “สายพันธุ์ตรงกับปัญหา”
ต่างปัญหา → ต่างสายพันธุ์ → ต่างผลลัพธ์
ท้องผูก
ท้องอืด ลำไส้แปรปรวน (IBS)
ท้องเสียจากยาปฏิชีวนะ
ภูมิแพ้/ผิวแพ้ง่าย
เครียด–นอนไม่ดี (gut–brain axis)
พรีไบโอติกก็มีจุดที่ต้องดูเหมือนกัน เพียงแต่ว่า “ง่ายกว่า” และ “เสี่ยงผิดพลาดน้อยกว่า” เท่านั้น
สิ่งที่ต้องดูเวลาเลือกพรีไบโอติก
1 ชนิด
2 ปริมาณกรัม
3 ดูว่าเป็น “พรีไบโอติกแท้ ๆ” หรือ “น้ำตาลปลอม”
4 ดูว่าเป็นแบบ ผง / ซอง / ผสมในโปรไบโอติก
5 ไม่ต้องดู strain
ถ้าชอบบทความในลักษณะนี้ ช่วยกดไลค์กดแชร์กดติดตามเป็นกำลังใจให้กันหน่อยนะคะ
อ่านบทความในลักษณะนี้เพิ่มเติมได้ที่ https://www.blockdit.com/series/6538e726cb9aeb4b2fc9b203
โฆษณา