27 พ.ย. เวลา 10:15 • ประวัติศาสตร์

ความฝันในหอแดง 49 คุณไสยของแม่หมอหม่า

ไต้วี่เห็นเป่าวี่หน้าพุพองไม่ออกจากบ้านไปไหน จึงมาอยู่เป็นเพื่อนคุยทั้งวัน วันนี้หลังอาหาร อ่านหนังสือไปสองตอน ทำงานเย็บปักกับจื่อเจวียนได้สักพัก รู้สึกอึดอัดไม่สบายจึงออกมาเดินดูหน่อไม้เพิ่งงอกในสวนลานบ้าน เดินไปเดินมาออกจากลานบ้านมาอยู่กลางอุทยาน มองไปรอบด้านไม่เห็นใคร มีแต่ไม้ดอกและนกร้อง จึงเดินเอ้อระเหยกลับมายังลานชื่นแดง เห็นพวกสาวใช้บางคนตักน้ำ ทั้งหมดมามุงดูเหล่านักแสดงหญิงอาบน้ำอยู่ที่ริมระเบียง
ในห้องมีเสียงหัวร่อต่อกระซิก หลี่หวาน พี่เฟิ่ง เป่าไชมาอยู่กันที่นี่กันหมด พอเห็นไต้วี่เข้ามาจึงว่า
“มานี่อีกคน”
ไต้วี่ยิ้มว่า “วันนี้อยู่กันพร้อมหน้า ใครส่งเทียบเชิญให้มา”
พี่เฟิ่งว่า “วันก่อนข้าให้คนส่งใบชาไปให้คุณหนู ดีไหม”
ไต้วี่ว่า “ข้าลืมไปเลย ขอบคุณที่คิดถึง”
เป่าวี่ชิงตอบว่า “ข้าชิมแล้วไม่ดีเท่าไร ไม่รู้คนอื่นว่าอย่างไร”
เป่าไชว่า “รสบาง สีไม่ค่อยสวย”
พี่เฟิ่งว่า “เป็นบรรณาการจากสยาม 暹罗国 ข้าชิมแล้วไม่ดีเท่าไร สู้ที่พวกเราดื่มประจำไม่ได้”
ไต้วี่ว่า “แต่ข้าชิมแล้วดีอยู่ ไม่รู้ท้องไส้พวกท่านเป็นอย่างไรไป”
เป่าวี่ว่า “เจ้าว่าดี เช่นนั้นเอาของข้าไปให้หมดเลย”
พี่เฟิ่งว่า “ที่ข้า ยังมีอยู่อีกมาก”
ไต้วี่ว่า “ไว้ข้าให้สาวใช้ไปเอา”
พี่เฟิ่งว่า “ไม่ต้อง ข้าให้คนส่งมาเอง พรุ่งนี้ข้ายังมีเรื่องต้องไหว้วานเจ้า ไว้ให้คนส่งมาพร้อมกัน”
ไต้วี่ยิ้มว่า “พวกท่านฟังไว้ ชิมชาของนางเข้าหน่อย ก็เรียกไปใช้งาน”
พี่เฟิ่งยิ้มว่า “เป็นการไหว้วาน เจ้าก็ทำพูดเล่นไป ว่าแต่เจ้าชิมชาบ้านข้าแล้ว ทำไมไม่เป็นสะใภ้บ้านข้าเสียเลย”
ทุกคนต่างพากันหัวเราะ ไต้วี่หน้าแดง หันหน้าไปทางอื่นไม่พูดสักคำ
เป่าไชหัวเราะว่า “อารมณ์ขันของซ้อรองร้ายยิ่งนัก”
ไต้วี่ว่า “อารมณ์ขันอะไรกัน ปากเปราะเราะรายละไม่ว่า” แล้วถ่มน้ำลายใส่
พี่เฟิ่งหัวเราะว่า “เจ้ามาเป็นสะใภ้บ้านข้า เสียเกียรติตรงไหน”
ชี้ไปที่เป่าวี่แล้วว่า
“เจ้าดูสิ คนไม่คู่ควร วงศ์ตระกูลไม่คู่ควร ฐานะไม่คู่ควร หรือมีตรงไหนที่หมิ่นเกียรติเจ้า”
ไต้วี่ลุกขึ้นเดินหนี
เป่าไชตะโกนว่า “ผินเอ๋อ 颦儿 รีบไปไหน กลับมาคุยกันก่อน ไปอย่างนี้ไม่สนุก”
แล้วลุกขึ้นไปรั้งตัวไต้วี่ไว้
(ผิน 颦 ขมวดคิ้ว ; ตอนพบกันครั้งแรก เป่าวี่ตั้งชื่อให้ไต้วี่ว่า ผินผิน 颦颦 เพราะไต้วี่ชอบขมวดคิ้ว)
ไต้วี่มาถึงประตู น้าหญิงเจ้า 赵姨娘 กับน้าหญิงโจว 周姨娘 เดินสวนเข้าประตูมาเพื่อมาเยี่ยมเป่าวี่ เป่าวี่ หลี่หวาน เป่าไช ลุกขึ้นยืนเชื้อเชิญนั่ง ยกเว้นพี่เฟิ่งที่ไม่ให้ความสนใจ
เป่าไชจะเริ่มการสนทนา พลันมีสาวใช้มาจากหวางฮูหยินแจ้งว่า
“ไท่ไท่ของท่านน้ามา ขอเชิญคุณนายกับพวกคุณหนูข้ามไปพบ”
หลี่หวาน รีบไปพร้อมพี่เฟิ่ง สองน้าหญิงเจ้าและโจวต้องกลับออกมาด้วย
ส่วนเป่าวี่ว่า “ข้าออกไปไม่ได้ พวกท่านอย่างไรก็ต้องบอกท่านน้าหญิงว่าไม่ต้องแวะมา”
แล้วหันมาบอกไต้วี่
“น้องหลิน เจ้าอยู่ก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย”
พี่เฟิ่งได้ยินจึงหันมาบอกไต้วี่ว่า
“มีคนจะคุยกับเจ้า กลับเข้าไป”
แล้วผลักไต้วี่ให้ถอยกลับไป หัวเราะแล้วเดินกลับกับหลี่หวาน
เป่าวี่กุมมือไต้วี่แล้วเอาแต่ยิ้มไม่พูด ไต้วี่หน้าแดงไม่รู้ตัว พยายามยื้อจะหนีกลับ
เป่าวี่พลันร้องว่า “ไอ้หยา ปวดหัวจัง”
ไต้วี่อุทาน “อามิตาภพุทธ”
เป่าวี่ร้องเสียงดังลั่น โดดผลุงสูงจากพื้นสามสี่ฉื่อ ปากร้องไม่เป็นภาษาฟังไม่รู้เรื่อง ไต้วี่กับพวกสาวใช้ตกใจทำอะไรไม่ถูก รีบส่งคนไปแจ้งหวางฮูหยินและแม่เฒ่าเจี่ย
ฮูหยินของหวางจื่อเถิง 王子腾 ที่มาเยี่ยมจึงตามคนอื่นข้ามมาด้วยกันหมด เห็นเป่าวี่เที่ยวหามีดไม้จะทำร้ายตัวเอง วุ่นวายปานฟ้าถล่มดินทลาย แม่เฒ่าเจี่ย หวางฮูหยิน เห็นเช่นนั้น ตกใจจนตัวสั่นงันงก ร้องไห้เสียงดังส่งเสียงเรียกลูกเรียกหลานเรียกหน่อเนื้อดังระงม ทำเอาคนอื่นสะเทือนใจทั่วกัน ทั้งเจี่ยเส้อ สิงฮูหยิน เจี่ยเจิน เจี่ยเจิ้งตลอดจนเหลียน หยง หยุน ผิง แม่น้าเซวีย เซวียผาน กระทั่งเมียโจวยุ่ยทั่วบ้านทั้งน้อยใหญ่ไปถึงเหล่าสาวใช้และแม่บ้าน พานกันมาอออยู่ในอุทยาน
ไม่มีใครทันสังเกตเห็นพี่เฟิ่งถือมีดขาววาววับเข้ามาในอุทยาน พบอะไรเป็นไล่ฟัน เห็นไก่ฆ่าไก่ เห็นสุนัขฆ่าสุนัข เห็นคนจ้องตาเขม็งจะไล่แทง ต่างพากันตื่นตระหนก เมียโจวยุ่ยนำสาวร่างใหญ่แข็งแรงหลายคน เข้ารวบตัวชิงมีดและแบกร่างมากลางห้อง พวกผิงเอ๋อเฟิงเอ๋อร่ำไห้สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน เจี่ยเจิ้งเจ็บปวดใจ
ต่างคนต่างเสนอกันไปต่างต่างนานา บ้างว่าให้เชิญหมอผีมาไล่ปีศาจ บ้างว่าให้ตามแม่หมอมาเข้าทรง มีผู้เสนอให้ไปเชิญนักพรตจางจากตำหนักจักรพรรดิหยก (เง็กเซียน) มาปัดรังควาน วุ่นวายตลอดครึ่งวัน กราบไหว้วิงวอนเทพเจ้า หาหมอรักษาสารพัดสารพัน ไม่ทันเห็นผล หลังตะวันตกดิน ฮูหยินของหวางจื่อเถิงจึงลากลับ
วันรุ่งขึ้น หวางจื่อเถิงมาเยี่ยมเยียนไต่ถามด้วยตัวเอง บ้านสื่อโหว 史侯家 ส่งคนมาถามไถ่ พี่ชายน้องชายของสิงฮูหยินตลอดจนเครือญาติพากันมาเยือน บ้างนำผ้ายันต์น้ำมนต์มาให้ บ้างแนะนำนักบวชทั้งสงฆ์พรต บ้างแนะนำหมอยาดี
สองอาหลานยังเลอะเลือนไม่รู้สึกตัว ตัวร้อนดังไฟ พูดไม่เป็นภาษาอยู่บนเตียง ตกดึกพวกสาวใช้ไม่กล้าเข้าใกล้ จึงต้องย้ายสองอาหลานไปยังห้องในเรือนหวางฮูหยิน ให้คนเปลี่ยนเวรกันดูแล แม่เฒ่าเจี่ย หวางฮูหยิน สิงฮูหยิน อีกทั้งแม่น้าเซวียล้อมวงร้องไห้ไม่ยอมห่าง เจี่ยเส้อ เจี่ยเจิ้งเกรงแม่เฒ่าเจี่ยจะร้องไห้จนเป็นอะไรไปอีกคน ต้องจุดตะเกียงตามไฟทั้งวันคืน ทั่วทั้งเรือนไม่มีใครได้สงบ
เจี่ยเส้อตระเวนเสาะหาสงฆ์และพรต เจี่ยเจิ้งเห็นที่เชิญมาล้วนไม่ได้ผล จึงปรามเจี่ยเส้อว่า
“ชะตาของลูกและเมียขึ้นอยู่กับฟ้า หาใช่คนจะอาจฝืน อาการของทั้งสองเยียวยาอย่างไรไม่เห็นผล คงเป็นลิขิตสวรรค์ จำต้องปล่อยพวกเขาไป”
เจี่ยเส้อไม่สนใจ ยังคงเที่ยววิ่งวุ่นตัวเป็นเกลียว
ผ่านไปสามวัน พี่เฟิ่งเป่าวี่ยังคงนอนเตียง ลมหายใจเริ่มรวยริน ทั้งเรือนต่างพากันว่าหมดหวัง กระทั่งเตรียมจัดงานอวมงคลเอาไว้ แม่เฒ่าเจี่ย หวางฮูหยิน เจี่ยเหลียน ผิงเอ๋อ สีเหยินต่างร่ำไห้เจียนขาดใจ จะมีแต่น้าหญิงเจ้าที่แกล้งตีหน้าเศร้า แต่ในใจกลับสมหวัง
พอถึงเช้าวันที่สี่ เป่าวี่พลันลืมตาบอกแม่เฒ่าเจี่ยว่า
“ต่อแต่นี้ไป ข้าคงไม่ได้อยู่ร่วมเรือนท่าน รีบปล่อยข้าไปเถิด”
แม่เฒ่าเจี่ยฟังคำ เหมือนดังถูกเด็ดดวงใจ น้าหญิงเจ้าจึงปลอบว่า
“เหล่าไท่ไท่อย่าได้เศร้าเสียใจเกินไป คุณชายไม่ไหวแล้ว มิสู้ผัดชุดใหม่ให้คุณชายไว้ ปล่อยเขาไปจะได้ทนทุกข์น้อยลง อย่าได้เสียดาย หากยังมีลมหายใจ คือยังไม่สิ้นเวรกรรม”
พอกล่าวจบ แม่เฒ่าเจี่ยหันมาถ่มน้ำลายรดเต็มหน้าด่าว่า
“นางสารเลวปากคอเน่าเหม็น อย่างไรว่าไม่ไหวแล้ว เจ้าอยากให้เขาตายเพราะหวังผลประโยชน์ อย่าได้ฝันไป ถ้าเขาตาย ข้าจะเอาชีวิตเจ้า เป็นเพราะพวกเจ้าคอยกระทุ้งเขาให้หักโหมเรียนหนังสือ ข่มขู่ให้เขากลัวพ่อเหมือนหนูกลัวแมว เพราะพวกสารเลวอย่างเจ้ากระทุ้งเขา พอเขาตายก็สมใจเจ้า ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แม้แต่คนเดียว”
ร้องไห้ไปด่าไป
เจี่ยเจิ้งยืนอยู่ข้างๆ ได้ฟังก็ร้อนใจ ตะเพิดไล่น้าหญิงเจ้าไปให้พ้น แล้วปลอบโยนแม่เฒ่าอยู่พักใหญ่ พลันมีคนมาแจ้งว่า
“โลงศพสองโลงเตรียมไวัพร้อมแล้ว”
แม่เฒ่าเจี่ยได้ฟังเหมือนมีดกรีดใจ ร้องไห้แล้วด่าไปว่า
“ใครสั่งให้ต่อโลง เอาคนสั่งให้ต่อโลงไปตีให้ตาย”
เรื่องกลับโกลาหลไปกันใหญ่
พลันมีเสียงเคาะไม้บักฮื้อดังแว่วมาในอากาศ เสียงสวดดังมาว่า
“นโม พระโพธิสัตว์ปลดเปลื้องเวรกรรม ผู้ใดเจ็บไข้ บ้านไม่สงบ พบเห็นภูตผี มีเรื่องอัปมงคล พวกเราสามารถขจัดปัดเป่า”
แม่เฒ่าเจี่ย หวางฮูหยินได้ยินจึงให้คนรีบไปเชิญ เจี่ยเจิ้งแม้จะไม่ค่อยเชื่อ แต่ไม่อาจขัดแม่เฒ่า จำสั่งให้คนไปเชิญ เห็นว่าเป็นสงฆ์หัวขี้กลากรูปหนึ่ง และนักพรตขาเป๋รูปหนึ่ง
สงฆ์มีลักษณะ
鼻如悬胆两眉长,目似明星有宝光。
破衲芒鞋无住迹,腌更有一头疮。
จมูกถุงน้ำดีมีคิ้วยาว
ดวงตาสุกสกาวดาวทอแสง
จีวรขาดรองเท้าฟางไร้หลักแหล่ง
หัวกลากเกลื้อนหลายแห่งขึ้นไปทั่ว
นักพรตมีลักษณะ
一足高来一足低,浑身带水又拖泥。
柏逢若问家何处,却在蓬莱弱水西。
ขาข้างหนึ่งยาวอีกข้างหนึ่งสั้น
ทั่วร่างนั้นมอซอดอกดวงใหญ่
หากถามว่าอาศัยอยู่หนใด
น้ำนิ่งรอบเผิงไหลไปประจิม
(带水拖泥 เปียกปอนเปรอะเปื้อน เป็นสำนวนหมายถึง สภาพดูไม่ได้)
(弱水 น้ำนิ่งไม่มีกระแสน้ำ ไม่เหมาะแก่การเดินเรือได้แต่ลอยเท้งเต้ง มีสถานที่ในตำนานหลายแห่งที่เรียกว่า 弱水 (ย่อสุ่ย) โดยรวมหมายถึงห่างไกลอันตรายยากไปถึง
เกาะเผิงไหล 蓬莱 เป็นที่สถิตของเทพเซียน อยู่ทางตะวันออกของแผ่นดิน มีน้ำนิ่งเวิ้งว้างรอบเกาะ มนุษย์จึงเดินเรือไปถึงยากได้แต่ลอยเท้งเต้ง
蓬莱弱水西 ทิศตะวันตกของผืนน้ำนิ่งเกาะเผิงไหล เป็นการเล่นคำ ย้อนกลับมาสื่อถึงแดนมนุษย์)
เจี่ยเจิ้งถามนักบวชทั้งสองว่า “ปฏิบัติธรรมอยู่สำนักไหน”
สงฆ์ยิ้มว่า “ท่านขุนนางใหญ่อย่ามากความ เรารู้ว่าในจวนท่านมีผู้เจ็บไข้ จึงตั้งใจมารักษา”
เจี่ยเจิ้งว่า “มีสองคนถูกคุณไสย มิทราบมียาตำรับเซียนใดใช้รักษา”
พรตยิ้มว่า “ในบ้านท่านมีของวิเศษใช้รักษา ไม่ต้องถามหายาตำรับใด”
เจี่ยเจิ้งเอะใจถามว่า “บุตรน้อยตอนเกิดมาคาบหยกมาหนึ่งชิ้น มีอักษรสลักว่า “ใช้กำจัดมารร้าย 能除凶邪” ยังไม่เห็นสำแดงฤทธิ์ใด”
สงฆ์ว่า “ท่านขุนนางใหญ่หารู้ไม่ หยกวิเศษชิ้นนั้นเดิมเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่แปดเปื้อนด้วยรูปรสกลิ่นเสียง จึงขาดความขลัง ท่านนำหยกนั้นมาให้ข้าร่ายมนตรา จักคืนความศักดิ์สิทธิ์ดังเดิม”
เจี่ยเจิ้งถอดหยกชิ้นนั้นออกจากคอของเป่าวี่ส่งให้สองนักบวช
สงฆ์กำหยกไว้ในมือ ถอนหายใจยาวว่า
“ใต้ชิงเกิ่ง 青埂 ภูผา จากลาสิบสามฤดู (ปีสวรรค์) อยู่บนโลกมนุษย์ สุดแสนว่องไว ผัสสะไม่วายเว้น ดังเช่นดีดนิ้ว อนิจจา ความดีงามของเจ้าในปางบรรพ์
天不拘兮地不羁,心头无喜亦无悲。
只因锻炼通灵后,便向人间惹是非。
ฟ้าไม่ขีดคั่นดินไม่ลิขิต
ดวงจิตผ่องใสไร้จาบัลย์สุขสันต์
หลอมศิลาซ่อมฟ้านับมาแต่นั้น
ดวงจิตเหหันสู่โลกมายา
เคราะห์กรรมของเจ้าในวันนี้
粉渍脂痕污宝光,房栊日夜困鸳鸯。
沉酣一梦终须醒,冤债偿清好散场。
ประแป้งแต่งไขหยกให้อับเฉา
วันคืนแนบเนายวนยางกลางหอห้อง
สุดท้ายจำตื่นจากฝันสีทอง
ผลกรรมต้องชดใช้จึงลาโรง”
ร่ายจบ จึงขัดถูอีกรอบ กล่าววาจาบ้าบอ แล้วส่งต่อให้เจี่ยเจิ้งว่า
“ของสิ่งนี้ศักดิ์สิทธิ์ มิอาจลบหลู่ แขวนเอาไว้เหนือห้องนอน นอกจากญาติสนิทชิดเชื้อ ห้ามสตรีกรายใกล้ สามสิบสามวันให้หลัง รับรองเห็นผล”
เจี่ยเจิ้งสั่งให้คนรีบยกน้ำชา แต่สองนักบวชไม่รอ จากไปทันที เจี่ยเจิ้งจึงจำทำตามที่บอก
พี่เฟิ่งและเป่าวี่เริ่มดีวันดีคืน ฟื้นขึ้นมาว่ารู้สึกหิว แม่เฒ่าเจี่ย หวางฮูหยินจึงคลายกังวล เหล่าพี่น้องสตรีได้แต่รอฟังข่าวอยู่นอกห้อง ไต้วี่สวดมนตร์ เป่าไชจึงยิ้มไม่พูดจา
ซีชุนถามว่า “พี่เป่ายิ้มทำไม”
เป่าไชว่า “ข้ายิ้มเพราะคิดว่าพระพุทธองค์ทรงงานยุ่ง ไหนจะต้องโปรดสัตว์ ไหนจะต้องคุ้มครองผู้เจ็บไข้ได้ป่วยให้หายวันหายคืน ไหนจะต้องดูแลลิขิตชีวิตคู่ให้สุขสม เจ้าว่ายุ่งไหมเล่า น่าขำไหม”
 
ไต้วี่หน้าแดง พ่นน้ำลายแล้วว่า
“พวกเจ้าไม่ใช่คนดี คนดีไม่เอาอย่าง ไปเอาอย่างแม่นางเฟิ่งปากคอเราะราย”
ว่าแล้วก็แหวกม่านเดินจากไป
(จบบทที่ยี่สิบห้า)
ตอนก่อนหน้า : แม่หมอกับผีหน้าคราม
ตอนถัดไป : กิ่วเอวผึ้งสานใยรัก

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา