11 ธ.ค. เวลา 07:20 • หนังสือ

#8 RomHW — บทที่ 2️⃣ อารยธรรมของเรา : Tel-empathy (เทล-เอ็มพาธี)

▪️ผู้แปล : คุณ♾️อุดม
...
...
...
#Tel_empathy (เทล-เอ็มพาธี)
#การเชื่อมต่อกันทางจิตใจ
Tel-empathy is the self-generation of a sympathetically resonant frequency within us to other individuals, which produces the deepest empathic reflection, this causes us to resonate so similarly to these “external” reflections that we create the same thoughts at the same time. In this way, we do not truly “read the minds” of one another, so much as we create the same, or similar, thoughts, at the same time.
This deep degree of empathy is only made possible by the unconditional love that we have for ourselves and all things. Our understanding of what you call “God,” is that this so-called “Infinite Creator” is actually everything all at once, all at the same time.
เทล-เอ็มพาธี คือการสร้างความถี่เรโซแนนซ์* (*จังหวะความถี่) ที่สอดคล้องกันภายในตัวเราต่อบุคคลอื่นด้วยตนเอง ซึ่งก่อให้เกิดการสะท้อนความเห็นอกเห็นใจ/การสัมผัสถึงใจ (empathic reflection) ของอีกฝ่ายได้อย่างลึกซึ้งที่สุด* (*ใจเค้า-ใจเรา/มีความรู้สึกร่วมกันอย่างแท้จริง) สิ่งนี้ทำให้ตัวเราสั่นพ้องคล้ายคลึงกับการสะท้อน “ภายนอก” เหล่านั้นมาก จนเราสร้างความคิดเดียวกันในเวลาเดียวกัน ด้วยวิธีนี้ เราไม่ได้ “อ่านใจ” ของกันและกันอย่างแท้จริง แต่เราสร้างความคิดเดียวกันหรือคล้ายกันในเวลาเดียวกัน
ระดับความเห็นอกเห็นใจที่ลึกซึ้งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรามี ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข สำหรับตัวเราเองและกับทุกสิ่ง ซึ่งความเข้าใจของเราในสิ่งที่คุณเรียกว่า “พระเจ้า” คือการที่สิ่งที่ถูกเรียกว่า “ผู้สร้างที่ไม่มีที่สิ้นสุด (Infinite Creator)” นี้ ที่แท้จริงแล้วก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดในเวลาเดียวกัน
And thus, what you call “God” we call “All-That-Is.” Unconditional love of this nature is the very signature frequency of All-That-Is Itself, and it is this energy that provides our foundation to be able to create such sympathetic harmonic resonances. This allows us, through conscious awareness and choice, to generate and personally feel a bond of connection, which allows us to function symbiotically, mutualistically and synergistically.
ดังนั้น สิ่งที่คุณเรียกว่า “พระเจ้า” เราจึงเรียกว่า All-That-Is — “สิ่งอันเป็นทั้งหมดนั้น/ความเป็นทั้งหมดที่มีอยู่”★ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขที่เป็นลักษณะตามธรรมชาติของสิ่งนี้ คือความถี่ที่เป็นเอกลักษณ์ของสิ่งอันเป็นทั้งหมดนั้นเอง และพลังงานนี้* (*หรือความรักที่ไม่มีเงื่อนไขนี้) คือสิ่งที่มอบรากฐานให้เราสามารถสร้างความสั่นพ้องแบบซิมพาเทติก★★ขึ้นมาได้
ซึ่งสิ่งนี้ช่วยให้เราสามารถสร้างและรู้สึกถึงสายสัมพันธ์ของการเชื่อมโยงเป็นการส่วนตัว ผ่านการรับรู้และการเลือกอย่างมีสติ ซึ่งทำให้เราสามารถทำงานร่วมกันในลักษณะ พึ่งพาอาศัยกัน (symbiotically), ได้ประโยชน์ร่วมกัน (mutualistically) และ เสริมพลังกันได้ (synergistically)
[★All That Is ที่พวกเขาเรียกแบบนี้เพราะมันสื่อความหมายที่แม่นยำกว่า ไม่ต้องไปตีความอีกทีว่าพระเจ้าหมายความว่าอะไร
★★sympathetic harmonic resonances (ซิมพาเทติก-ฮาร์โมนิก-เรโซแนนท์) – การสั่นพ้องแบบซิมพาเทติก ก็คือ ปรากฏการณ์ที่สิ่งหนึ่งสั่นสะเทือนและทำให้อีกสิ่งหนึ่งสั่นสะเทือนตามไปด้วย โดยไม่ต้องมีการเชื่อมต่อกันทางกายภาพ ซึ่งเกิดจากการส่งผ่านพลังงานการสั่นสะเทือนระหว่างสิ่งทั้งสอง เมื่อความถี่การสั่นสะเทือนของสิ่งแรก ส่งไปถึงสิ่งที่สอง สิ่งที่สองก็จะเริ่มตอบสนองด้วยการสั่นสะเทือนด้วยความถี่เดียวกันกับสิ่งแรก ให้นึกถึงส้อมเสียงก็ได้ครับ แต่ในทีนี้คือบุคคล
และนี่คือสาเหตุหลักที่ สิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการทางจิตสำนึกในขั้นสูง ถึงไม่ปรากฏตัวต่อหน้ามนุษย์ทั่วไป เพราะคนที่มีความถี่ต่างจากพวกเขามาก ความถี่ก็จะถูกเหนี่ยวนำด้วยปรากฏการณ์ตามธรรมชาตินี้ ทำให้ส่งผลร้ายมากกว่าผลดี ซึ่งเรื่องนี้จะมีพูดถึงเพิ่มเติมในบทหลังครับ – ผู้แปล]
We do not have ecological relationships to our planet, our nature, and between each other which are commensalistic (commensalism), parasitic, predatory, amensalistic (amensalism), mimetic, or competitive, although we do have interconnected biological interactions which have the qualities of facilitation, and cooperation.
⭕ ความสัมพันธ์ทางนิเวศวิทยาของเรากับดาวเคราะห์ กับธรรมชาติของเรา และระหว่างกันและกัน (ความสัมพันธ์กับทุกสิ่ง) ไม่มี ลักษณะแบบ เชิงอิงอาศัย (ได้-ไม่ได้ไม่เสีย), เชิงปรสิต/กาฝาก (ได้-เสีย), เชิงล่าเหยื่อ (เสีย-เสีย), เชิงเป็นปฏิปักษ์ (ไม่ได้ไม่เสีย-เสีย), เชิงเลียนแบบ, หรือเชิงแข่งขัน* (*6 แบบ)
แต่เรามีความสัมพันธ์ทางชีวภาพที่เชื่อมโยงกันซึ่งมีคุณสมบัติของการ อำนวยความสะดวกให้กัน (facilitation) และ ความร่วมมือกัน (cooperation) ซึ่งก็คือทุกฝ่าย(ทุกคนและทุกสิ่ง)ต้องได้ประโยชน์ร่วมกัน★
★ผมมักพูดอยู่บ่อยครั้งว่า ใดๆในโลกล้วนความสัมพันธ์ ก็เลยถือโอกาสนี้ขยายความเยอะหน่อยครับ เพราะมันสำคัญ
*(1) commensalism–คอมเมนซาลิซึม–แบบอิงอาศัย : ได้ประโยชน์อยู่ฝ่ายเดียว แม้อีกฝ่ายจะไม่เสียประโยชน์ก็ตาม คือหาประโยชน์จากอีกฝ่ายครับว่าง่ายๆ อีกฝ่ายในที่นี้ไม่ได้หมายถึงคนเท่านั้นนะครับ แต่หมายไปถึงสิ่งแวดล้อมทั้งหมด ทั้งโลก
.
*(2) เชิงปรสิต/กาฝาก มีเยอะเยอะครับในสังคม หาผลโยชน์ใส่ตนอย่างเดียว ใครจะเป็นจะตาย สิ่งแวดล้อมจะฉิบหายแค่ไหน ตรูไม่สน โลกและอนาคตของคนรุ่นต่อๆไปจะเป็นยังไง ก็ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับตน เพราะเดี๋ยวตนก็ตายแล้ว ใครจะมีเวลาไปสนใจใส่ใจถึงอนาคตกัน
.
*(3) เชิงล่าเหยื่อ ก็เข้าใจได้ไม่ยากครับ อุตสาหกรรมการบริโภคสิ่งมีชีวิตอื่นของพวกเรา เราล่าไปไม่รู้กี่เผ่าพันธุ์ สูญพันธู์ไปไม่รู้แล้วเท่าไหร่ ตายไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ล้านล้านล้านล้านล้านชีวิต ไม่อาจนับได้ นี่ยังไม่ได้นับรวมถึงการทารุนกรรมจากวิธีการเลี้ยงพวกเขาและอื่นๆ ก่อนที่จะได้กินซากพวกเขาด้วยนะ (ผมเองก็มีส่วนในเรื่องนี้มา 45 ปี แถมยังกินบุฟเฟต์บ่อยเสียด้วย 😅 แต่ตอนนี้ก็เลือกเส้นทางใหม่แล้วครับ)
ยังไม่รวมถึงความสัมพันธ์เชิงล่าเหยื่อนี้มันยังรวมเข้ากับความสัมพันธ์เชิงกาฝากด้วย ที่ไม่รู้ว่ามันผลาญและทำลายทรัพยากรโลกไปไม่รู้เท่าไหร่ ว่าเราจะได้กินพวกเขา
แต่เอาจริงๆจะบอกว่าเป็นความสัมพันธ์เชิงกาฝากก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะ เชิงกาฝากมันต้อง มีฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ ฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์ ฝ่ายที่เสียประโยชน์คงไม่ต้องพูดถึง ส่วนฝ่ายที่คิดไปเองว่าได้ประโยชน์ที่ก็คือมนุษย์เรา ผมถามข้อเดียวให้ทุกคนไปคิดกันเอาเอง เราได้ประโยชน์จากการกินสิ่งมีชีวิตอื่นจริงๆหรือ?
เรายังไม่ต้องพูดถึงว่ามันทำลายสิ่งแวดล้อมยังไง แล้วมันส่งผลมาถึงพวกเรายังไง เอาแค่เรากินพวกเขาเข้าไปเนี่ย ตัวเรา ร่างกายเราได้ประโยชน์อะไรจริงๆรึป่าว? คนส่วนใหญ่ (รวมถึงตัวผมเองที่ผ่านมาก็ด้วย) ก็จะคิดว่าเราก็ได้สารอาหารไง? ทำให้ร่างกายเราดำรงอยู่ต่อไปได้ ไม่ตาย เพราะร่างกายเราขาดโปรตีนไม่ได้
ผมถามอีกทีว่า พวกคุณแน่ใจ? เนื้อหรือน้ำใดๆของสิ่งมีชีวิตอื่นไม่ได้ทำหรือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ร่างกายเราเจ็บป่วยจริงๆใช่ไหม? ผู้มีอายุในสังคมของเราที่เจ็บป่วยกันมากมายหลายโรคอยู่ในทุกวันนี้ (รวมถึงตัวผมเองด้วย) ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับการกินเนื้อหรือน้ำของสิ่งมีชีวิตอื่นจริงๆ? หรือจริงๆพวกเราแค่เสพติดในรสชาติ แล้วเลิกเสพไม่ได้?
ขบคิดใคร่ครวญถึงเรื่องนี้ให้ดีๆครับ ผมทิ้งคำถามไว้แค่นี้ แล้วพวกคุณก็ไปพิจารณากันเอาเอง จากนั้นก็เลือกเส้นทางเดินของตัวเอง และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เราเป็นคนเลือกเองนั้นแบบ 100%
.
*(4) amensalism–อเมนซาลิซึม—แบบเป็นปฏิปักษ์ : มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหนึ่งเสียประโยชน์ แม้อีกฝ่ายหนึ่งจะไม่เสียประโยชน์ก็ตาม ซึ่งเอาจริงๆก็มีคนอยู่ไม่น้อยในสังคมของเราที่จ้องจะทำลายอีกฝ่าย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ถึงแม้ตัวเองจะไม่เสียอะไร และทำไปก็ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไร แต่ไม่เป็นไร ขอแค่ให้อีกฝ่ายเสียประโยชน์ได้เป็นพอ ได้สะใจ ได้ล้างแค้น แต่จริงๆตนก็เสียประโยชน์ไปด้วยนั่นแหละ คือเสียประโยชน์ทางใจ ที่มันจะส่งผลไปถึงร่างกายอีกที เพียงแต่ว่ามันเป็นผลในระยะยาว มันไม่ได้ส่งผลแบบทันทีทันใด
ยังไม่ต้องพูดถึงว่า เราทิ้งถุงพลาสติกสักชิ้นลงทะเล แล้วมันไปทำให้เต่าหรือปลาสักตัวตาย เราคนทิ้งไม่ได้ไม่เสียอะไร แต่สิ่งมีชีวิตอื่นตุยไปหนึ่ง อะไรแบบนั้นเป็นต้นครับ
.
*(5) mimetic—เลียนแบบความต้องการของคนอื่น โดยเราไม่ได้ต้องการสิ่งนั้นด้วยตนเอง แต่เห็นคนอื่นต้องการ เราจึงอยากได้ตาม คือเราไม่ได้ต้องการสิ่งของ แต่เราแค่ต้องการในสิ่งที่คนอื่นต้องการ ซึ่งจะนำไปสู่การแข่งขันกันหรือแย่งชิงกันของทั้งสองฝ่าย ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งตามมา และเมื่อเกิดความขัดแย้ง การแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงก็อยู่ไม่ไกล
ซึ่งความสัมพันธ์แบบเลียนแบบนี้เป็นปัญหาร้ายแรงอย่างหนึ่งในสังคมที่แพร่กระจายได้ไวและกว้างไกลยิ่งกว่าไวรัส มันมักเกิดขึ้นมาจากการสร้างค่านิยมที่ผิดเพี้ยนขึ้นมาในสังคม โดยเฉพาะเรื่อง วัตถุนิยม เรื่องแบนด์เนมนี่เห็นได้ชัด คนทั่วไปอาจไม่ได้ต้องการหรือชอบมันหรอก แต่เห็นคนดังในสังคมใช้หรือดาราใช้ เราก็เลยอยากได้อยากใช้ตามไปด้วย เห็นคนที่อวดรวยในโซเซียล ทำให้เราอยากได้ตาม ทั้งๆที่
ผมยกตัวอย่างเฉยๆนะ เฟอรารี่คันละ 50-100 ล้าน เอามาขับบนถนนเมืองไทยเนี่ยนะ ถามจริง? ถนนไม่เรียบ ลูกระนาดเพียบไม่เท่าไหร่ น้ำที่ท่วมอยู่บ่อยๆ จะถลุงเงิน 50 ล้านมาลุยน้ำเล่น? ทั้งหมดนี้มันหาประโยชน์อะไรได้หรือไม่? อย่าว่าแต่ประโยชน์คนอื่น ประโยชน์ตนยังไม่ได้เลย หมดเงินค่ากระเป๋าไป 5 ล้าน ทั้งๆที่กระเป๋าใบละไม่กี่ร้อยก็ใส่ของได้เหมือนกัน? และอื่นๆอีกมากมาย
อย่างที่ผมบอก ค่านิยมที่ผิดปกติ ที่คนบางส่วนหรือบางกลุ่มช่วยกันสร้างขึ้นมานี่หล่ะ ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ทำแต่เรื่องที่ไร้ประโยชน์ในชีวิต ส่วนเรื่องคนเอง ก็ไม่ต่างกัน ที่ส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับเรื่องความรัก ที่ต้องการควบคุมหรือครอบงำอีกฝ่าย ต้องได้อย่างใจฉัน จะขัดใจฉันไม่ได้ หรือไม่อยากให้คนอื่นได้ดีกว่าตนเอง นี่คือความต้องการให้คนอื่นมาเลียนแบบตัวเอง ให้มาเหมือนตัวเอง
ไหนจะการเลียนแบบเพื่อเอาหน้า เรื่องทำบุญงี้ เรื่องทำสมาธิได้นานงี้ ได้สภาวะงี้ มีความสามารถทางจิตนิดๆหน่อยๆก็เอาล่ะ เห็นนู่นเห็นนี่เห็นนั่น รู้นั่นรู้นี่ โชว์ออฟกันล่ะ คนอื่นเห็นก็อยากได้บ้าง อยากเป็นบ้าง ซึ่งก็คืออยากเลียนแบบน่ะล่ะ คนที่เป็นต้นแบบ หรือต้นเรื่อง ก็เริ่มหาประโยชน์กันล่ะ มันก็โยงเข้าสู่ความสัมพันธ์แบบกาฝากหรือปรสิต ที่มีฝ่ายได้-ฝ่ายเสีย แต่เอาจริงๆมันก็มีแต่เสียกับเสีย คือเสียทั้งสองฝ่าย โอเคครับ เอาไว้เท่านี้แหละ ชักจะเดือด แหะๆ 😅
.
*(6) competitive—การแข่งขัน คือการที่สองฝ่ายมักมองว่าความสำเร็จเป็นทรัพยากรที่จำกัด มีไม่พอหรือขาดแคลน จึงต้องพยายามที่จะ เอาชนะ หรือ เหนือกว่า อีกฝ่ายให้จงได้ แทนที่ทุกคนหรือทุกฝ่ายจะชนะไปด้วยกันหรือได้ประโยชน์ไปด้วยกันทั้งหมด นี่ก็เป็นอีกหนึ่งค่านิยมที่ผิดเพี้ยน ที่ก่อให้เกิดการแย่งชิง ก่อให้เกิดพลังลบอย่างมากในสังคม
โดยพวกเราโดนยัดค่านิยมเช่นนี้มาตั้งแต่ยังเล็กล่ะ เริ่มมาตั้งแต่โรงเรียน หรือระบบการศึกษา เรียนได้ที่ 1, ได้เกียรตินิยม, ได้เกรดเฉลี่ยดี, ได้ A, ได้ F, ได้เกรดเฉลี่ยแย่, สอบติด, สอบตก, โรงเรียนชั้นนำ, อินเตอร์, รร.บ้านนอก, รร.วัด, มหาลัยชั้นยอด ติดท็อบร้อยของโลก (แข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย)
เด็กส่วนใหญ่ที่เรียนกันทุกวันนี้ยังหาคำตอบกันไม่เจอ ตรูเรียนทั้งหมดนี้ไปทำไมวะเนี่ย? เด็กโดนตัดสินชีวิตด้วยคะแนนตั้งแต่ยังมีอายุไม่กี่ขวบ แถมคะแนนยังมาจากการท่องจำอะไรก็ไม่รู้ด้วย ท่องจำไปทำไมทุกวันนี้ยังหาคำตอบไม่ได้? แถมพ่อแม่ยังเอาพฤติกรรมหรือความสัมพันธ์แบบเลียนแบบเข้ามาผสมโรงอีกด้วย ดูลูกบ้านนู้นสิ บ้านนั้นสิ คนนั้นสิ จนลามเข้าไปในที่ทำงาน ในธุรกิจ ลามไปทุกที่ในสังคม
ค่านิยมเช่นนี้ถูกฝังเข้าไปตั้งแต่ยังเล็ก ความสำเร็จมันมีจำกัด ที่เรียนที่ดีๆมีจำกัด งานที่ดีๆก็มีจำกัด คู่ครองที่ดีๆก็มีจำกัด ทรัพยากรก็มีจำกัด ทุกอย่างมีจำกัด ฉะนั้น ถ้าอยากได้ ก็ต้องแย่งชิง ด้วยการเอาชนะคนอื่นให้ได้ แต่ถ้าเอาชนะไม่ได้ งั้นก็ต้องล้มเหลวไปด้วยกัน คนแบบนี้มีเยอะแยะ ข้าไม่ได้ เอ็งก็ต้องไม่ได้ ข้าไม่สำเร็จ เอ็งก็ต้องไม่สำเร็จ ข้าไม่ได้ดี เอ็งก็ต้องไม่ได้ดี
แม้แต่ชนะไปได้แล้วแต่หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง แต่ก็ยังรู้สึกไม่มั่นคงอยู่ดี ต้องเอาชนะไปให้ได้เรื่อยๆ เพราะถ้าล้มทีเดียวก็คือตุยเย่ เลยต้องวิ่งไล่ตามการเอาชนะหรือความสำเร็จที่เป็นค่านิยมหรือบรรทัดฐานในสังคมไปเรื่อยๆ ทั้งหมดนี้เพื่ออะไร?
ทั้งๆที่ตอนเด็กๆตัวเองอาจจะแค่อยากเลี้ยงควาย ปลูกผัก ดำนา พออยู่พอกิน ได้วิ่งเล่นในทุ่ง โดดน้ำในบ่อ จับปลาตามท้องร่อง แค่นี้ก็ได้ ชีวิตในตอนเด็กก็รู้สึกว่ามีความสุขดีชิหาย แต่มารู้สึกตัวอีกทีตอนอายุ 60 หรือ อาจตอนนอนขยับไม่ได้อยู่บนเตียงใน รพ. — แล้วก็เกิดสงสัยกับชีวิตขึ้นมาว่า ที่ผ่านมาเราทำอะไรอยู่วะเนี่ย?
.
⭕ ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี่ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ความสัมพันธ์แบบนี้ ทั้ง 6 แบบนี้ มันก่อให้เกิดการแบ่งแยกในสังคม การแยกขาดจากกันและกันอย่างรุนแรง สุดท้ายมันก็ไม่พ้นการต้องใช้ความรุนแรงมาแก้ปัญหา อีกแล้ว แล้วพวกเราในฐานะเผ่าพันธุ์ ก็วนกันอยู่ที่เดิม ย่ำกันอยู่กับที่ ทำลายตัวเองกันอยู่เช่นเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก
ก็ฝากไว้ให้คิดครับ 💖 –ผู้แปล]
...
...
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา