14 ธ.ค. เวลา 02:39 • หนังสือ

#9 RomHW — บทที่ 2️⃣ อารยธรรมของเรา : ธรรมชาติของความรู้สึกเชื่อมโยงของเรา

▪️ผู้แปล : คุณ♾️อุดม
...
...
...
#TheNature_ofOurSense_ofConnection
#ธรรมชาติของการรับรู้ถึงความเชื่อมโยงของเรา
We understand that physical reality exists within us and everything that we experience is actually being expressed by us and is only ever an external reflection from and of us.
เราเข้าใจดีว่าความจริงทางกายภาพมีอยู่ภายในตัวเรา และทุกสิ่งที่เราประสบก็ล้วนแต่ถูก แสดงออกโดยเรา และเป็นเพียงภาพสะท้อนภายนอกที่มาจากและเป็นส่วนหนึ่งของเราเท่านั้น
In this way, our relationship with what human beings call “external reality” is presently far different from your own, and in that way, we always completely own that we have created everything that we perceive and own that we are always CHOOSING to experience our reality as a direct expression of our expanded self.
This applies to our relationship with our planet, and all of its inhabitants. The experience that we choose to have is that of a fully committed exploration and inhabitation of the mass agreed upon parameters that are framing our realm.
ด้วยเหตุนี้ ความสัมพันธ์ของเรากับสิ่งที่มนุษย์เรียกว่า “ความจริงภายนอก” จึงแตกต่างจากของพวกคุณในปัจจุบันอย่างมาก และในแง่นั้น เรายอมรับโดยสมบูรณ์เสมอว่าเราได้สร้างทุกสิ่งที่เรารับรู้* (*ไม่ว่าจะด้วยประสาทสัมผัสใด)(perceive) และยอมรับว่าเราเลือกที่จะประสบกับความจริงของเราในฐานะที่เป็นการแสดงออกโดยตรงของตัวตนที่ขยายออกไปของเราเสมอ
สิ่งนี้ใช้ได้กับความสัมพันธ์ของเรากับดาวเคราะห์ของเราและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในนั้น ประสบการณ์ที่เราเลือกที่จะมีคือการสำรวจและอาศัยอยู่ในขอบเขตที่ตกลงกันไว้โดยส่วนรวม★ ซึ่งกำหนดกรอบของอาณาจักรของเราอย่างเต็มที่
★ตรงนี้จะมองว่าเป็นกฏบัตร สห-สปีชี่ย์ ของพวกเขาก็ได้ครับ มันคือข้อตกลง หรือ ข้อกำหนดร่วมกันของทุกคน เพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย ที่ก็คือเพื่อประโยชน์ส่วนรวมในฐานะรูปธรรมชีวิตที่ดำรงอยู่ในความหนาแน่นที่ 4 ซึ่งในที่นี้ก็คือการวิวัฒนาการแล้วของจิตสำนึกแบบมวลรวม (ที่ซึ่งก็เกิดมาจากการวิวัฒนาการของจิตสำนึกส่วนบุคคลนั่นแหละ) ที่ทุกๆคนปฏิบัติตาม
ไม่เหมือนกับมนุษย์ ที่กฏบัตร -สหประชาชาติ หรือข้อตกลงร่วมกันที่ว่าเราก็มี แต่พวกเราไม่ค่อยปฏิบัติตามกัน 😅 แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็เริ่มที่ตัวเราครับ คนอื่นทำมั้ยไม่รู้ แต่เราก็ทำเท่าที่เราทำได้ไปก่อน อย่างน้อยก็ทำตามข้อตกลงที่ตัวเองทำไว้กับตัวเองครับ —ผู้แปล
Our purposeful and realized connection to all things is implicit in our sociological nature. We simply take for granted that everything is all one thing, expressing itself in an infinite number of ways, for an infinite number of reasons. Although we still presently identify ourselves as physical, and still choose to play within some of the more peripheral aspects implicit within linear, finite physical reality, we are now “skating” on the edge of our own transformation to a new paradigm.
การเชื่อมโยงอย่างมีจุดมุ่งหมายและเป็นจริงของเรา* (*คือทุกคนปฏิบัติตนไปตามสิ่งที่รู้และเข้าใจนั้นจริงๆ) กับทุกสิ่งนั้นฝังอยู่ในธรรมชาติทางสังคมของเรา เราถือเป็นเรื่องปกติว่าทุกสิ่งล้วนเป็นสิ่งเดียวกันทั้งหมด ซึ่งแสดงออกในรูปแบบที่ไร้ขีดจำกัด ด้วยเหตุผลที่ไร้ขีดจำกัด
แม้ว่าเราจะยังคงระบุว่าตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตทางกายภาพ (physical being) และยังคงเลือกที่จะเล่นอยู่กับบางแง่มุมรอบนอกที่ฝังอยู่ในความจริงทางกายภาพแบบเป็นเส้นตรงและมีขอบเขตจำกัด แต่ตอนนี้เรากำลัง “เล่นสเก็ต”★ อยู่บนขอบของการเปลี่ยนแปลงของเราไปสู่กระบวนทัศน์ใหม่
[★การเคลื่อนที่ไปมาได้อย่างลื่นไหล –ผู้แปล]
This new paradigm is to experience the first density of consciousness that is experienced as non-physical, a phenomenon that you might refer to as … shedding the remaining of the vestiges of linear finite exploration. Becoming non-physical also sheds the projection of a physical vessel or body. Presently, we are still on the cusp, connecting physical and non-physical.
ซึ่งกระบวนทัศน์ใหม่นี้คือการประสบกับความหนาแน่นแรกของจิตสำนึกที่ถูกประสบว่าเป็นแบบ อรูป (non-physical) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่พวกคุณอาจเรียกว่า... การสลัดทิ้งสิ่งที่หลงเหลือจากการสำรวจแบบเป็นเส้นตรงที่จำกัด การกลายเป็นอรูปยังสลัดทิ้งการฉายภาพของยานพาหนะ★👇หรือร่างกายทางกายภาพอีกด้วย ปัจจุบัน เรายังคงอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หรือในสภาวะกึ่งหนึ่ง ที่คือการเชื่อมโยงระหว่างกายภาพและไม่ใช่กายภาพ
[★ร่างกายคือยานพาหนะ ที่เราใช้ท่องไป ขับเคลื่อนไป ในโลกหรือสนามแห่งประสบการณ์ หรือจักรวาลทางกายภาพ เพื่อมีประสบการณ์ในแบบที่เราเลือกที่จะมามีที่นี่ ซึ่งประสบการณ์นั้นมีอยู่ในทุกรูปแบบอยู่แล้วที่นี่ ในสนามแห่งความเป็นไปได้อันไร้ที่สิ้นสุดนี้ — กายจึงไม่ใช่ที่อยู่นะครับ มันเป็นแค่ยานพาหนะ ที่อยู่ในหรือถูกโอบอุ้มไว้โดยวิญญาณ
หากยังจำเรื่อง 99% ที่ผมเคยพูดไว้ได้ ซึ่ง 99% ที่ว่าคือมันนอกจากจะอยู่ในกายแล้ว แล้วยังอยู่รอบๆ และอยู่ไปทั่วทุกที่ด้วย และยานพาหนะก็มีไว้แค่ใช้งานเฉยๆอย่างที่กล่าวไป ซึ่งคำว่า Vehicle of light หรือ ยานพาหนะแห่งแสง ที่พวกเราเคยได้ยินกันบ่อยๆ ก็นั่นแหละครับ —ผู้แปล]
As such, we are in a very exciting phase of our own existence in that we revel and straddle both sides of the physical-nonphysical fence, which allows us a unique vantage point opportunity to drink from two very different fountains of our consciousness.
ด้วยเหตุนี้ เราจึงอยู่ในช่วงที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่งของการดำรงอยู่ของเรา โดยที่เราชื่นชมยินดีและอยู่คร่อมรั้วระหว่างทั้งสองด้านของขอบเขตทางกายภาพ-ไม่ใช่กายภาพ ซึ่งเปิดโอกาสให้เราได้เปรียบในการดื่มด่ำจากแหล่งน้ำพุสองแห่งที่แตกต่างกันมากของจิตสำนึกของเรา
Humans are similarly on the cusp of such a transformational adventure and are beginning to straddle the fence between a very limited type of linear finite physical expression and a more rarefied, less, limited, and less focused type of finite physical consciousness, which presents itself as being less confined to what humans call the typical physical parameters and even in some cases the typical “laws of physics.”
What your scientists call the “laws” of physics, which are currently assumed by your society to be “constant” in the entirety of existence are only in fact local phenomena and are in no way truly universal. Ponder this for a moment and you will be pondering a fascinating aspect of expanded consciousness.
มนุษย์ก็กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการผจญภัยในการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเช่นกัน และกำลังเริ่มที่จะอยู่คร่อมรั้วระหว่างการแสดงออกของจิตสำนึกทางกายภาพแบบเป็นเส้นตรงที่จำกัดอย่างมาก กับ จิตสำนึกทางกายภาพที่จำกัดน้อยลง มีความละเอียดอ่อนกว่า และจดจ่อ/เพ่ง(หรือยึดติด)น้อยกว่า★👇 ซึ่งแสดงออกมาในลักษณะที่ถูกจำกัดน้อยลงด้วยสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าขอบเขตทางกายภาพทั่วไป
และในบางกรณีแม้กระทั่ง “กฎฟิสิกส์” ทั่วไป ที่เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ของคุณเรียกว่า “กฎ” ของฟิสิกส์ ซึ่งสังคมของคุณถือว่า “คงที่” ในการดำรงอยู่ทั้งหมดนั้น แต่แท้ที่จริงแล้วมันเป็นเพียง ปรากฏการณ์เฉพาะที่ (local phenomena) และไม่ได้เป็นสากลอย่างแท้จริง ลองขบคิดดูสักครู่ แล้วคุณจะใคร่ครวญได้ถึงแง่มุมที่น่าทึ่งของจิตสำนึกที่ขยายออกไป★★
★พวกเขาอยู่ระหว่าง physical กับ non-physical ส่วนพวกเราอยู่ระหว่าง physical ที่จำกัดอย่างมาก (อย่างถึงขีดสุด) กับ physical ที่จำกัดน้อยลง (เริ่มผ่อนคลายจิตใจตัวเองออกจากการยึดติดในเรื่องทางโลกได้มากขึ้นแล้ว)
★★ก็ประมาณว่ากฏฟิสิกส์ที่พวกเราเรียนรู้และเข้าใจ มันใช้ได้ได้แค่กับระดับของจิตสำนึกแบบที่ถูกจำกัดมากๆ แต่มันใช้กับจิตสำนึกในระดับอื่นที่ขยายตัวมากกว่านี้ขึ้นๆไปไม่ได้ หากยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายคงเป็นเรื่องของอิทธิปาฏิหาริย์ ที่พวกเราคุ้นเคย การลอยได้ การทะลุกำแพง ตาทิพย์ หูทิพย์ การหายตัว การอยู่ได้หลายที่พร้อมกันในขณะเดียวกัน
การรักษาโรคร้ายแรงให้หายได้ในพริบตาแบบพระเยซู หรือแม้แต่การฟื้นคืนชีพ ด้วยกายเนื้อเดิมของพระองค์ หรือการมีอายุยืนยาวเป็นร้อยๆเป็นพันๆปี แบบที่พวกเราเคยได้ยิน ไม่ว่าจะหลวงปู่โลกอุดร ท่านบาบาจี และอื่นๆ การเดินทางข้ามเวลา ทั้งหมดนี้จริงๆแล้วมันก็เป็นเรื่องของการเข้าใจ “กฏ” ที่ว่าครับ ซึ่งใครเข้าใจได้มากกว่า ก็สามารถแสดงออกถึงความเข้าใจกฏได้มากกว่า ดังที่ได้กล่าวไป —ผู้แปล
In this way, our daily experience differs quite significantly from that of humans because although we can still perceive the two polarities of integrative/positive, and separative/negative, our entire experiential participation is only of the positive pole of the “polarity” of the duality experience.
Our awareness of separative negative situations and outcomes are now only realized through the observation of the experiences of others. These others are members of other societies and inhabitants of other planets, the Earth being one such example.
ด้วยวิธีนี้ ประสบการณ์ในชีวิตประจำวันของเราจึงแตกต่างจากของมนุษย์อย่างมาก เพราะแม้ว่าเราจะยังสามารถรับรู้ขั้วตรงข้ามของการหลอมรวม/ขั้วบวก และการแบ่งแยก/ขั้วลบ ได้ แต่การเข้าร่วมในการมีประสบการณ์ทั้งหมดของเราเป็นเพียง ขั้วบวก ของ “ขั้วตรงข้าม” ของประสบการณ์แบบคู่เท่านั้น
การรับรู้ถึงสถานการณ์และผลลัพธ์ที่เป็นลบแบบแบ่งแยกของเราตอนนี้รับรู้ได้ผ่านการสังเกตการณ์ประสบการณ์ของผู้อื่นเท่านั้น ผู้อื่นเหล่านี้เป็นสมาชิกของสังคมอื่นและผู้อยู่อาศัยในดาวเคราะห์ดวงอื่น ซึ่งโลกเป็นตัวอย่างหนึ่งในนั้น★
★ซึ่งสนทนากับพระเจ้าในเล่ม 3 ก็มีพูดถึงเรื่องนี้ครับ เพราะนีลถามประมาณว่าอารยธรรมของ สวส. จะมีประสบการณ์แบบขั้วบวกอย่างเดียวให้พวกเขาประสบได้ยังไง? และพระเจ้าในสนทนาก็บอกว่าในความหนาแน่นที่ 3 นอกจากมนุษย์เราแล้ว ก็ยังมีเผ่าพันธุ์อีกมากมาย ที่ดำรงอยู่ในความจริงแบบทวิภาวะนี้เช่นกัน มีทั้งแบบที่ก้าวหน้ากว่ามนุษย์ทั้งในทางเทคโนฯ และทางด้านจิตสำนึก และทั้งแบบถอยหลังกว่า ทั้งทางด้านจิตสำนึกและเทคโนฯ เช่นกัน
ซึ่งสนทนาฯเล่ม 3 นี้พระเจ้าพูดถึงอารยธรรมและชีวิตความเป็นอยู่ของ สวส. แบบคร่าวๆให้นีลฟัง รวมถึงเล่ม 4 ด้วยที่มาตอกย้ำเรื่อง สวส. เพิ่มเข้าไปอีก แต่เน้นไปในทางด้านสภาวะแห่งจิตสำนึกที่ขยายตัวหรือวิวัฒน์ขึ้นไปแล้วของพวกเขา ซึ่งมันฟังดูแล้วคือว้าวมากๆ อะไรแบบนั้นครับ และเอลันก็มายืนยันอีกทีตรงนี้ ว่าพวกเขารับรู้ถึงประสบการณ์และผลลัพธ์ในแง่ลบได้โดยการสังเกตเอาจากที่อื่น
ซึ่งมนุษย์โลกเรา อาจจะเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวในย่านนี้ ที่มีความเป็นขั้วมากๆ และมีความหลากหลายทางประสบการณ์มาก ๆ ให้พวกเขาได้สังเกต ก็คงมีเผ่าพันธุ์จำนวนมากมายกำลังสังเกต และเฝ้าดูพวกเราอยู่ด้วยความอเมซิ่งแน่นอนครับ —ผู้แปล
In the final days of our exploration of physical reality, we are endeavoring to “pass the torch”, as you say, and to share the insights and understandings that are sufficient to assist other societies to awaken into more of their own expanded consciousness. This expansion assists to elevate and expand their awareness and can facilitate those transitions from the more limited, separated experience of physical reality to a much less limited and connected experience of physical reality.
This is the path that humankind is presently on. We are only able to communicate with you at all at this time because as you do expand your own awareness, you then vibrate at a more expanded frequency which also then has the effect of increasing the bandwidth of experience that you can express and perceive.
ในช่วงสุดท้ายของการสำรวจความเป็นจริงทางกายภาพของเรา เรากำลังพยายามที่จะ “ส่งต่อคบเพลิง” อย่างที่พวกคุณกล่าว และแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกและความเข้าใจที่เพียงพอเพื่อช่วยเหลือสังคมอื่น ๆ ให้ตื่นขึ้นสู่จิตสำนึกที่ขยายออกไปของตนเอง การขยายตัวนี้ช่วยยกระดับและขยายความตระหนักรู้ของพวกเขา และสามารถอำนวยความสะดวกในการเปลี่ยนผ่านจากประสบการณ์ความเป็นจริงทางกายภาพที่จำกัดและแบ่งแยกอย่างมาก ไปสู่ ประสบการณ์ความเป็นจริงทางกายภาพที่เชื่อมโยงกันและจำกัดน้อยลงได้มากยิ่งขึ้น
นี่คือเส้นทางที่มนุษยชาติกำลังเดินอยู่ การที่เราสามารถสื่อสารกับคุณได้ในตอนนี้เลย เป็นเพราะเมื่อคุณขยายความตระหนักรู้ของตนเอง คุณก็จะสั่นสะเทือนที่ความถี่ที่ขยายออกไปมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ช่วงแบนด์วิธของประสบการณ์ที่คุณสามารถแสดงออกและรับรู้ได้เพิ่มขึ้น★
★ประมาณว่า พอจิตสำนึกขยายตัวได้มากขึ้น ช่วงการรับรู้ทางประสาทสัมผัสของเราก็กว้างขึ้น ทำให้ไปรับรู้สิ่งที่เราไม่เคยรับรู้ได้มาก่อน ได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การสัมผัส การลิ้มรส การรับรู้ความรู้สึก มีความไวขึ้นและอะเอียดอ่อนขึ้น สังเกตเห็นสิ่งที่ไม่เคยสังเกตได้มาก่อน ซึ่งรวมถึงความฝันด้วย มันชัดขึ้น มีสติรู้สึกตัวในฝันได้มากขึ้น อะไรแบบนั้นด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้มีที่มาจากจิตสำนึกที่ขยายตัวของเรา และจะขยายได้ยังไง?
ก็เริ่มมาจากการรับฟังหรืออ่านข้อมูลพวกนี้นี่แหละครับ มันเป็นเรื่องของการเหนี่ยวนำความถี่ ที่จะมีอธิบายถึงในบทต่อไป ซึ่งนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ผมเกิดแรงบันดาลใจให้มาเผยแพร่ข้อมูลพวกนี้ออกไป ให้คนอื่นๆได้รับรู้ด้วย ประมาณนั้นครับ —ผู้แปล
When your society hit a particular threshold of the expansion of its collective and individual consciousness and hence frequency, we then became able to exchange and interact with you because there was enough overlap for us to be able to have a comprehensible and meaningful exchange and conversation.
Once our mutual frequencies were able to coexist at the same time,these interactions were initiated from our end. Once a single channel finally accepted our invitation, this allowed for our first contact with your species through another individual in my society, the member of my society that you refer to as Bashar.
เมื่อสังคมของคุณก้าวข้ามขีดจำกัดหนึ่งของการขยายตัวของจิตสำนึกส่วนรวมและส่วนบุคคล และด้วยเหตุนี้จึงมีความถี่ที่เพิ่มขึ้น เราจึงสามารถแลกเปลี่ยนและโต้ตอบกับพวกคุณได้ เพราะมีส่วนของความถี่ที่ทับซ้อนกันมากพอที่เราจะสามารถมีการแลกเปลี่ยนและการสนทนาที่เข้าใจกันได้และมีความหมาย★
เมื่อความถี่ร่วมกันของเราสามารถอยู่ร่วมกันได้ในเวลาเดียวกัน ปฏิสัมพันธ์เหล่านี้ก็เริ่มต้นจากฝั่งของเรา เมื่อช่องทางหนึ่งที่ในที่สุดก็ยอมรับคำเชิญของเรา สิ่งนี้เลยอนุญาตให้มีการติดต่อครั้งแรกกับสปีชีส์ของคุณผ่านบุคคลอื่นในสังคมของผม ซึ่งเป็นสมาชิกในสังคมของผมที่พวกคุณเรียกว่า บาชาร์ (Bashar)* (*ถ้าผมจำไม่ผิดบาชาร์ติดต่อสื่อสารกับมนุษย์เรามาน่าจะ 40 ปีได้แล้วครับ ด้วยมุมมองเวลาแบบเชิงเส้น)
★คือข้อมูลพวกนี้ถ้าพวกคุณแม้แต่ผมเองนี่แหละ หากได้ยินเมื่อ 10 ปีที่แล้วนี่ รับรองว่าฟังไม่รู้เรื่อง หรือปิดใจไม่ยอมรับฟังแน่นอน เพราะคลื่นความถี่มันสั่นพ้องกันกับการสื่อสารแบบนี้ไม่เพียงพอ แม้แต่ผมเอง พอมองย้อนกลับไปสัก 15 ปีที่แล้วผมยังมองว่าเรื่องพระเจ้าเป็นเรื่องไร้สาระอยู่เลย ซ้ำร้ายยังดูถูกศาสนาอื่นที่มีความเชื่อในเรื่องพวกนี้ในใจด้วยซ้ำ แหะๆ 😅
เพราะตอนนั้นชาวพุทธที่เคร่งๆอย่างเราๆกำลังปฏิบัติเพื่อบรรลุสู่ความไร้ตัวตน เพื่อจะไม่กลับมาเกิดอีก แล้วจะให้มาสนใจอะไรกับตัวตนที่เรียกว่าพระเจ้านี่ ผมเองเห็นคำนี้ได้ยินคำนี้เมื่อไหร่ ณ ตอนนั้นนี่คือปิดใจทันที ไม่รับฟัง ไม่คิดต่อ อาจจะคิดอย่างเดียวว่าเรื่องตัวตนพวกนี้นี่ไร้สาระสุดๆไปเลยอะไรแบบนั้นครับ ฮะๆ
แต่เป็นเพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีและอุปกรณ์การสื่อสาร การบันทึกภาพ วีดีโอ อะไรพวกนี้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด มือถือนี่แหละ ใครจะไปคิดใช่ไหมครับตอนนั้นว่ามือถือเครื่องเดียวจะสามารถทำอะไรได้ตั้งมากมายขนาดนี้ ซึ่งพอมีคนเห็น ถ่ายภาพถ่ายวีดีโอ ยานบินอะไรพวกนี้ได้มากมายขึ้นทั่วโลก มีคนแชลแนลลิ่ง Entity หรือตัวตนนอกโลก ที่ก่อให้เกิดสารจากต่างมิติ ต่างโลก อะไรพวกนี้ ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด คือมีอยู่เต็มไปหมดในอินเตอร์เน็ต
ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละ ที่เป็นตัวช่วยเหนี่ยวนำคลื่นความถี่ของพวกเรา ของมนุษย์โลกเราในจำนวนที่มากขึ้นเรื่อยๆให้มีความถี่แบนด์วิธที่ค่อยๆกว้างขึ้น ทำให้พวกเราเริ่มเปิดใจยอมรับสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้มากขึ้น ว่าเฮ้ย มันยังมีอารยธรรมต่างๆที่ล้ำหน้าทั้งทางเทคโนฯและจิตสำนึกอยู่มากมายข้างนอกนั่นนะ
รวมทั้งอยู่ที่นี่บนโลกนี้ด้วย ไม่ว่าจะในตอนนี้หรือในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา (ที่ข้อมูลของเรื่องพวกนี้ค่อยๆถูกเปิดเผยออกมา) มันก็เลยส่งผลให้จิตสำนึกของคนที่เปิดใจรับฟังข้อมูลพวกนี้ ที่ถูกนำพาให้มารับรู้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ค่อยๆขยายตัวมากขึ้นตามไปด้วย
#ย้ำอีกทีว่า ข้อมูลพวกนี้ที่พวกคุณไปเสพต้องไม่ก่อให้เกิดความกลัวนะครับ ถ้าอ่านหรือฟังแล้วเกิดกลัวขึ้นมา ก็ให้สัณนิฐาษไว้ก่อนได้เลยว่า ไม่น่าใช่ล่ะ น่าจะเป็น False information ล่ะ —ผู้แปล
Our civilization has existed for many thousands of years. We have had the expression of what you call an evolutionary path, but we started out with what you refer to as “a leg up.” So, we never really did explore the deep dive and depths of the degree of limitation that members of your species boldly explore.
In this way, in order for us to understand your culture sufficiently enough to be able to communicate, and to know that what we share will actually work in your realm, we allow ourselves to have what you refer to as an “incarnation” upon your planet.
อารยธรรมของเรามีมานานหลายพันปี เรามีการแสดงออกของสิ่งที่พวกคุณเรียกว่า เส้นทางวิวัฒนาการ แต่เราเริ่มต้นด้วยสิ่งที่พวกคุณเรียกว่า “ได้เปรียบ” ดังนั้น เราจึงไม่เคยสำรวจการดำดิ่งลึกและความลึกของระดับข้อจำกัดที่สมาชิกในสปีชีส์ของคุณสำรวจอย่างกล้าหาญ ไร้ซึ่งความหวั่นเกรง (boldly) ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้เราเข้าใจวัฒนธรรมของพวกคุณเพียงพอที่จะสามารถสื่อสารได้ และรู้ว่าสิ่งที่เราแบ่งปันจะได้ผลจริงในอาณาจักร(แห่งประสบการณ์/ความจริง)ของพวกคุณ* (*realm/ระดับของจิตสำนึกในการเข้าใจความจริง)
We experience a human life firsthand in order to study and explore your unique expression of consciousness, and also to vet the effectiveness of the insights that we are sharing with you. Most basically, this allows us to gain a broader understanding of your actual expression and experience, while affording us the direct opportunity to literally “reality test” our mindset in your reality, upon your planet, as one of you.
เราจึงอนุญาตให้ตัวเองมีสิ่งที่พวกคุณเรียกว่า “การจุติ (การอวตารมาเป็นมนุษย์)” บนดาวเคราะห์ของพวกคุณ★👇 เราประสบกับชีวิตแบบมนุษย์โดยตรงเพื่อศึกษาและสำรวจการแสดงออกของจิตสำนึกที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกคุณ และเพื่อตรวจสอบประสิทธิผลของข้อมูลเชิงลึกที่เราแบ่งปันกับคุณ ในแบบพื้นฐานที่สุด★★👇
สิ่งนี้ช่วยให้เราได้รับความเข้าใจที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับการแสดงออกและประสบการณ์ที่แท้จริงของพวกคุณ ขณะเดียวกันก็มอบโอกาสโดยตรงให้เราสามารถ “ทดสอบภาคปฏิบัติ” ด้วยการนำแนวคิดของเราไปใช้ในความจริงของพวกคุณ บนดาวเคราะห์ของพวกคุณ ในฐานะที่เป็นคนหนึ่งในพวกคุณอย่างแท้จริง
★incarnation มันแปลได้ว่า การเป็นอวตาร ด้วย คือ การไปเป็นอีกตัวตนหนึ่ง ซึ่งในที่นี้ก็คือมนุษย์ ในขณะที่ก็เป็นอีกตัวตนหนึ่งอยู่ด้วย ซึ่งในที่นี้ก็คือ ชาวเอสแสสซานี่ เพื่อมีประสบการณ์ในแบบหนึ่งๆ คิดถึงหนังเรื่อง อวตาร ก็ได้ครับ นั่นแหละ ซึ่งพุทธเราเรียกสิ่งนี้ว่า การกลับชาติมาเกิด ซึ่งในแง่หนึ่ง เราก็พูดแบบนี้ได้อยู่ครับ เพราะชาติหรือชีวิตหรือตัวตนหนึ่งที่เป็นอยู่คือ ชาวเอสแสสซานี่ แล้วกลับชาติ ไปเป็นมนุษย์ด้วยในขณะเดียวกัน
★★ในแบบพื้นฐานที่สุด ก็ประมาณว่า พวกเราทำแบบที่ทำอยู่นี้ ไปทำไม ในทุกๆด้านนะครับ คือตีกรอบจำกัดตัวเองอย่างสุดขั้วเนี่ย ทำไปทำไม อะไรงี้ครับ
—ผู้แปล
When we incarnate upon your planet we do so under the same strict conditions that you adhere to. In coming into our human life, we impose the same degree of “forgetfulness” upon ourselves as you do, in order to have our experience be completely authentic.
We are born, and grow up as you do, completely human, with none of the memory of our expanded consciousness, none of the memory of our connectedness to all things, and none of our memory about the existence of other planets and other sentient societies such as our own.
When we live this human life, we take the deep dive that you experience as your daily reality. We allow ourselves to experience the same extreme forgetfulness, isolation, conditional love, judgement, and all of the emotions that you consider to be negative.
เมื่อเราจุติบนดาวเคราะห์ของคุณ เราทำภายใต้เงื่อนไขที่เข้มงวดเช่นเดียวกับที่พวกคุณยึดถือ ในการเข้าสู่ชีวิตมนุษย์ของเรา เรากำหนดระดับของ “การลืมเลือน” ในระดับเดียวกับที่พวกคุณทำ เพื่อให้ประสบการณ์ของเราเป็นของแท้โดยสมบูรณ์ เราเกิดและเติบโตเหมือนพวกคุณ เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ โดยที่ไม่มีความทรงจำใด ๆ เกี่ยวกับจิตสำนึกที่ขยายออกไปแล้วของเรา ไม่มีความทรงจำใด ๆ เกี่ยวกับการเชื่อมโยงของเรากับทุกสิ่ง และไม่มีความทรงจำใด ๆ เกี่ยวกับการมีอยู่ของดาวเคราะห์ดวงอื่นและสังคมที่มีความรู้สึกนึกคิดอื่น ๆ เช่นของเรา
เมื่อเราใช้ชีวิตแบบมนุษย์เช่นนี้ เราดำดิ่งลึกอย่างที่พวกคุณประสบในความเป็นจริงในชีวิตประจำวันของพวกคุณ เราอนุญาตให้ตัวเองประสบกับการลืมเลือนอย่างสุดขั้ว ความโดดเดี่ยว ความรักที่มีเงื่อนไข การตัดสิน และอารมณ์ทั้งหมดที่พวกคุณถือว่าเป็นลบ
The living of these lives is how we know, beyond the shadow of a doubt, that what we share with you can and does work, though we have also learned in no uncertain terms, that our understandings only work in the intended way if they are applied. It is not enough to simply “know” or ponder the possibility of the information we share, the information must be applied as action, consistently, and with patience and persistence at first.
การใช้ชีวิตเหล่านี้★👇 เป็นวิธีที่เราทราบได้อย่างปราศจากข้อสงสัยว่าสิ่งที่เราแบ่งปันกับคุณนั้นสามารถและใช้งานได้จริง แม้ว่าเราจะเรียนรู้มาอย่างชัดเจนว่าความเข้าใจของเราจะได้ผลตามที่ตั้งใจไว้ก็ต่อเมื่อมีการ นำไปใช้ เท่านั้น การที่เพียงแค่ “รู้” หรือใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ของข้อมูลที่เราแบ่งปันนั้นไม่เพียงพอ ข้อมูลจะต้องถูกนำไปใช้เป็นการกระทำอย่างสม่ำเสมอ และต้องใช้ความอดทนและความเพียรพยายามอย่างต่อเนื่องในช่วงแรก★★
★คำพูดตรงนี้ที่ว่า “ชีวิตเหล่านี้” แสดงให้เห็นว่า พวกเขาไม่ได้อวตารมาเป็นมนุษย์แค่ชาติเดียวหรือชีวิตเดียว ซึ่งเรื่องนี้จะมีอธิบายถึงเพิ่มเติมในบทต่อๆไปครับ
★★นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ช่วงหลังๆผมชอบพูดว่า ใครๆก็พูดได้ แต่พูดแล้วทำได้อย่างที่พูดไหมนั่นเป็นอีกเรื่องที่ต่างไป ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ มันได้ผลจริงๆตามแบบที่พูดไหม นั่นก็เป็นอีก
สเต็ปหนึ่ง หรือขั้นกว่าของการพูดแล้วทำ
คือพูดแล้วทำ ทำแล้วได้ผลอย่างที่พูด โอเค แบบเนี้ยก็น่าทำตาม ซึ่งพวกเขาก็ทำแล้วให้เห็นเป็นตัวอย่าง ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับพวกเรา เหล่าคนที่กำลังรับข้อมูลพวกนี้อยู่ ว่าจะลองเอาแนวคิดของพวกเขาไปปฏิบัติกันดูไหม?
–ผู้แปล–
To give full disclosure, the lives that we live on your planet do not generally dive as deeply as what you consider to be the worst of the human experience. While we allow ourselves during our human life to be aware of these extremes, we generally do not experience what you consider to be the worst of conditions available on your planet.
This is mainly because we retain some of our frequency to be able to later identify with our Sassani selves, and this frequency will only allow our human experience to go to a certain threshold of extreme negativity.
เพื่อเปิดเผยข้อมูลอย่างเต็มที่ ชีวิตที่เราใช้บนดาวเคราะห์ของคุณโดยทั่วไปจึงไม่ได้ดำดิ่งลึกเท่าสิ่งที่พวกคุณถือว่าเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายที่สุดของมนุษย์ แม้ว่าเราจะอนุญาตให้ตัวเองรับรู้ถึงความสุดขั้วเหล่านี้ในระหว่างชีวิตมนุษย์ของเรา แต่โดยทั่วไปแล้ว เราไม่ได้ประสบกับสิ่งที่พวกคุณถือว่าเป็นสภาวะที่เลวร้ายที่สุดที่มีอยู่บนดาวเคราะห์ของคุณ
สาเหตุหลักเป็นเพราะเรายังคงรักษาความถี่บางส่วนของเราไว้เพื่อให้สามารถระบุตัวตนกับตัวตนชาว เอสแสสซานี่ (Sassani) ของเราได้ในภายหลัง และความถี่นี้จะอนุญาตให้ประสบการณ์มนุษย์ของเราไปถึงระดับขีดจำกัดของความเป็นลบที่รุนแรงเท่านั้น★
[★ประมาณว่า ถ้าพวกเขาปล่อยให้ชีวิตมนุษย์ของพวกเขาจมลึกลงไปถึงขั้นนั้น พวกเขาจะจำหรือระลึกถึงภารกิจที่พวกเขามาที่นี่เพื่อทำไม่ได้ ภารกิจที่ก็คือการช่วยยกระดับหรือขยายจิตสำนึกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ประมาณนั้นครับ —ผู้แปล]
However, in dealing with other humans who do dive to the utter depths of limitation, and who have the more extreme expressions of negativity during this life, we witness how they can comprehend, incorporate, and apply our messages, and have confirmed that they still get a complete transformation of their circumstances.
Thus, we have also “reality tested” our message with these more extreme examples and have witnessed that our mindset does still completely work in all of the situations that we have encountered, both personally and by proxy.
อย่างไรก็ตาม ในการติดต่อกับมนุษย์คนอื่น ๆ ที่ดำดิ่งลงไปสู่ความลึกสุดของข้อจำกัด และผู้ที่มีการแสดงออกถึงความเป็นลบที่รุนแรงมากขึ้นในชีวิตนี้ เราเห็นว่าพวกเขาก็สามารถเข้าใจ รวบรวม และนำข้อความของเราไปใช้ได้อย่างไร และได้ยืนยันว่าพวกเขายังคงได้รับการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของตนเองได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น เราจึงได้ “ทดสอบกับความเป็นจริง” ของข้อความของเราด้วยตัวอย่างที่รุนแรงเหล่านี้แล้ว และได้เห็นว่าแนวคิดของเรายังคงใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ในทุกสถานการณ์ที่เราเคยพบเจอ ทั้งด้วยตนเองและโดยอ้อม★
[★โดยอ้อมตรงนี้ก็คงประมาณสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่นี่แหละครับ คือมีพี่ท่านนึง (พี่มี่) มาจ้างให้ผมแปลงานนี้ โดยพี่เค้าบอกว่าพี่เค้ารับสารมาอย่างนั้น ซึ่งพี่เค้าก็ไม่เคยอธิบายอย่างกระจ่างให้ผมฟังนะครับว่าเรื่องมันเป็นมายังไงตรงนี้ แฮ่ 😅 และผมก็มาแปลเป็นภาษาไทยให้พวกคุณที่ได้เข้ามาอ่าน (ไม่ว่าพวกคุณจะมาอยู่ตรงนี้โดยวิธีใดก็ตาม) ได้อ่านกัน และมันไปถึงขั้นที่ผมไลฟ์อ่านหนังสือเล่มนี้ให้พวกคุณฟังอยู่ในตอนนี้ด้วยซ้ำ ฮะๆ 😁
ซึ่งก่อนหน้านี้ผมแปลงานเล่มหนึ่งจบไปแล้ว ก็จากพี่คนนี้เช่นกันนี่แหละ ซึ่งเล่มนั้นชื่อ คำพยากรณ์จากเทียร์อูบาห์ และมันทำให้ผมอยากเอาตัวเองออกจากระบบทาสที่เรียกว่า ระบบการเงิน ไปทำเกษตรอะนะ เพราะผมมองว่ามันเป็นอะไรที่ยืดหยุ่นที่สุดล่ะ เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราผลิตของกินได้เอง เราก็ไม่ตายง่ายแน่นอน ไว้มีโอกาส ซึ่งมีแน่ๆผมจะไปไลฟ์อ่านเล่มนั้นด้วยเช่นกัน 🤔😄 —ผู้แปล]
In an upcoming chapter, I will share more about the mission parameters of our first contact interactions with your Earth. First, I will expound upon our own experience of our expanded expression of finite consciousness.
ในบทต่อๆไป ผมจะแบ่งปันเพิ่มเติมเกี่ยวกับภารกิจของการปฏิสัมพันธ์ครั้งแรกของเรากับโลกของพวกคุณ แต่ก่อนอื่น ผมจะขยายความเกี่ยวกับประสบการณ์ของเราเองในการแสดงออกที่ขยายออกไปของจิตสำนึกที่จำกัดของเรา
(((จบบทที่ 2️⃣)))

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา