16 ธ.ค. เวลา 02:39 • หนังสือ

#10 RomHW — บทที่ 3️⃣ สภาวะแห่งการตระหนักรู้ (จิตสำนึก) ของเรา : สภาวะแห่งการเป็นของเรา

▪️ผู้แปล : คุณ♾️อุดม
✴️ บทที่ 3️⃣ Our Consciousness— #จิตสำนึกของเรา
🔆Our State of Being🔆
#สภาวะแห่งการเป็นของเรา
Our daily lives will always include the full submersion of our consciousness in the splendor of our choice to create and experience ourselves in this expanded format. In doing so, our baseline emotionality is mainly comprised in what humans refer to as revelatory, celebratory, excitedly engaged, and experiencing delicious anticipation, while always remaining fully grounded to any moment that we are currently creating ourselves to experience and explore.
ชีวิตประจำวันของเราจะมีการดำดิ่งลงไปอย่างเต็มที่ของจิตสำนึกของเราในความงดงามของทางเลือกที่เราจะสร้างและมีประสบการณ์ถึงตนเองในรูปแบบที่ขยายออกไปนี้เสมอ ในการทำเช่นนี้ อารมณ์พื้นฐานของเราส่วนใหญ่ประกอบขึ้นจากสิ่งที่มนุษย์อ้างถึงว่าเป็น การเปิดเผย (revelatory), การเฉลิมฉลอง (celebratory), การมีส่วนร่วมอย่างตื่นเต้น (excitedly engaged), และ การประสบกับความมุ่งหวังที่แสนอร่อย, ในขณะที่ยังคงยึดโยงอยู่กับทุกขณะที่เรากำลังสร้างตนเองขึ้นเพื่อมีประสบการณ์และสำรวจ*
(*ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องใดๆที่ปรารถนาที่จะสำรวจ)★
★เช่นหาก—อยากสำรวจเรื่องความเมตตา เราก็สร้างประสบการณ์ของโลกความจริงให้ตัวเองได้สำแดงความเมตตานั้นออกมา ให้ตัวเองได้เห็น ได้รู้สึก ได้สัมผัส มันก็เลยต้องมี “เวที” หรือพื้นที่ ให้ความเป็นเมตตานั้นได้ปรากฏ ไม่ต่างอะไรกับการออกแบบความจริงขึ้นมา เพื่อให้ตนเองได้มีประสบการณ์ตรงตามที่ใจปรารถนาที่จะสำรวจ
❖ พระเทวทัต: ตัวอย่างของ “พื้นที่” ให้ความรักปรากฏ
ยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวชาวพุทธอย่างเราที่สุด—พระเทวทัต
ถ้าพระเทวทัตไม่มารับบท “ตัวร้าย” ที่ทุกคนรู้กันดี
คำถามคือ…พระสมณโคดมจะได้สำแดงความเมตตาอันไร้ประมาณออกมาให้คนรุ่นหลังได้เห็นหรือไม่?
และถ้าทุกคน “ดีหมด” ประพฤติชอบหมด
ทุกชีวิตเดินในทางบวกหมด
แล้ว “ความเมตตา” จะปรากฏให้รับรู้ได้อย่างไร?
เพราะมันไม่มีที่ให้แสดงออก—ใช่ไหมครับ?
มองในมุมนี้ บทบาทของพระเทวทัตก็สำคัญพอๆกับบทของพระสมณโคดม เพราะขั้วตรงข้าม คือเวทีหรือพื้นที่ที่ทำให้ความรักอันยิ่งใหญ่ปรากฏได้จริง
พระเทวทัตเลือกอาสามารับบทของ “ความเกลียดชัง ความริษยา ความหวาดกลัว” ซึ่งทั้งหมดคือรูปแบบหนึ่งของ “ความขาด” และสิ่งที่ขาดจริงๆก็มีแค่สิ่งเดียว—ความรัก
สิ่งที่ท่านทำทั้งหมด จริงๆคือการแย่งชิงความรักที่ผู้คนมีให้พระสมณโคดม และการแย่งชิงนี้ เริ่มขึ้นตั้งแต่ยังเป็นเจ้าชายแล้วด้วยซ้ำ ไม่ใช่เพิ่งเกิดตอนออกบวช
❖ เมตตาแท้ คือการปล่อยวาง และการปล่อยวางแท้ ก็คือความรักไร้เงื่อนไข
ความเมตตาอันยิ่งใหญ่ที่ให้อภัยได้แม้แต่คนที่หมายเอาชีวิตเรา โดยรากแล้ว คือ “การปล่อยวาง” คือ “การไม่ยึดติด”
Detachment ที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นการวางเฉย แท้จริงแล้ว มันคือการปลด ปล่อย ตัวเองให้เป็นอิสระจากความคิดปรุงแต่งทั้งหมด กระทั่งเป็นอิสระแม้จาก “ตัวเอง” ที่เรายึดไว้ด้วย
ในสภาวะแบบนั้น ไม่มีผู้ให้ความรัก ไม่มีผู้รับความรัก มีแต่ “ตัวความรักเอง” เท่านั้นที่ดำรงอยู่ ทั้งหมดคือความรัก ไม่มีส่วนไหนแยกจากส่วนไหน
นี่แหละครับ Unconditional Love หรือ “รักที่ไม่มีเงื่อนไข” ที่ใครๆชอบพูดถึง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะ เข้าใจจริง
เพราะรักที่ไม่มีเงื่อนไข คือการปล่อยทุกฝ่ายให้เป็นอิสระ รวมถึงปล่อยใจของเราเอง จากความยึดติด และจากความคาดหวังทั้งปวง
และนี่แหละครับ—คืออิสรภาพที่แท้จริง
(ส่วนเรื่อง “ความคาดหวัง” กับ “ความมุ่งหวัง” ที่ไม่เหมือนกัน เดี๋ยวเราจะไปลงลึกกันในบทหลังครับ)
❖ โคตมพุทธเจ้า กับ พระคริสต์: สองประตู สู่ที่เดียวกัน
โดยสรุป…ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ซึ่งพระคริสต์ตรัสว่าเป็น “ธรรมชาติเดิมแท้ของเรา” เราทุกคนล้วนถือกำเนิดขึ้นจากคลื่นความถี่นี้ ที่ก็คือสภาวะแห่งอิสรภาพที่แท้จริง
และสภาวะนี้ จะเข้าถึงได้ ก็ต่อเมื่อเราปล่อยวาง
ปลดตัวเอง (Detachment) ออกจากพันธนาการทั้งปวง
เห็นไหมครับว่า…จริงๆแล้ว โคตมพุทธเจ้าและพระคริสต์สอนเรื่องเดียวกัน แต่สอน “คนละกลุ่ม” “คนละบริบท” “คนละภาษา” ของยุคสมัยนั้น
อินเดียยุคนั้นเน้นการฝึกจิต พระพุทธองค์จึงสอนผ่านทาง การไม่ยึดติด เพราะความรักไร้เงื่อนไข เป็นสภาวะที่ไม่มีตัวตน ตัวตนที่แบ่งแยก เป็นเราเป็นเขา ในแง่นั้น จึงเป็นทั้งหมด เป็นหนึ่ง เป็นความรัก
ส่วนพระคริสต์ ทรงสอนผ่านทาง รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง เราทุกคนล้วนคือพี่น้องกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าพระองค์ไม่สอนเรื่องการไม่ยึดติด เพราะพระองค์ก็เคยกล่าวไว้ชัดว่า
> “เจ้าอยู่ในโลกนี้ แต่ไม่ใช่ของโลกนี้”
เห็นไหมครับ? นี่คือการสอนเรื่องไม่ยึดติดทางโลกเต็มๆ
ดังนั้น…ใช่ครับ ที่แก่นแล้ว ทั้งสองพระองค์สอนเรื่องเดียวกัน ต่างกันแค่ “ผู้ฟัง” เท่านั้น
แต่คำถามที่สำคัญกว่าเสมอคือ—ใครบ้าง ที่เข้าใจ?
❖ ความหนาแน่นที่ 3: เวทีแห่งทวิภาวะ เพื่อประสบการณ์อันไม่มีที่สิ้นสุด
และนี่คือเหตุผลที่ความหนาแน่นที่ 3 ต้องเป็นแบบทวิภาวะ ต้องมีขั้ว ต้องมีเลือก ต้องมีความหลากหลาย เพื่อให้เราทุกคนได้ “สำรวจ”
สนามแห่งประสบการณ์นี้ไม่ได้มีไว้ให้แค่มนุษย์ แต่มีไว้ให้สรรพชีวิตในความหนาแน่นอื่นๆมาสังเกตการณ์ หรือแม้แต่ลงมา “เล่น” เอง เพื่อมีประสบการณ์ตรงของการเลือกไปในด้านลบ
มองแบบนี้แล้ว…เราทุกคนบนโลกใบนี้—ใช่ครับ ทุกคน—คือผู้เสียสละ ผู้กล้าหาญ และผู้ที่ “รักมากพอ” ถึงได้กล้าลงมาเล่นเกมที่หนักที่สุดเกมหนึ่งในจักรวาล
คุณรู้ตัวหรือยังว่าคุณเจ๋งแค่ไหน? โคตรเจ๋งเลยด้วย และถ้าคุณไม่รัก—รักแบบไม่มีเงื่อนไขจริงๆ—คุณก็คงไม่ยอมเสียสละมาทำสิ่งนี้หรอก จริงไหมครับ?
❖ “ไม่มีที่ไหนให้ต้องไป ไม่มีอะไรให้ต้องทำ ไม่มีใครให้ต้องเป็น”
นี่แหละครับที่ สนทนากับพระเจ้า ถึงพูดว่า…
> “ไม่มีที่ไหนให้เธอต้องไป
ไม่มีอะไรให้เธอต้องทำ
ไม่มีใครให้เธอต้องเป็น
นอกจากคนที่เธอเป็นอยู่ ในตอนนี้”
เพราะที่ที่เราปรารถนาจะไป
เราก็อยู่ “ตรงนี้” แล้ว
ไม่มีอะไรให้ทำ
เพราะมันไม่ใช่เรื่องของการ ทำ
แต่มันคือเรื่องของการ เป็น
เราจะเป็นสภาวะไหนในสองขั้วหลัก—
รับใช้ตนเอง หรือ รับใช้ผู้อื่น
หรือสภาวะใดๆที่หมุนอยู่รอบสองขั้วนี้
ก็เลือกเป็นได้ทั้งหมด
ถ้าไม่ชอบประสบการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้?
ก็แค่ “เปลี่ยน” เรียบง่ายเท่านี้เอง
ส่วนเรื่อง “จะเปลี่ยนยังไง” ไม่ต้องห่วงครับ
เราจะไปลงลึกกันในหนังสืออีกเล่มของนีล ในโอกาสถัดไป
{ผู้แปล}
We are the ultimate expression of what humans refer to as being fully and completely mindful at all times, with absolutely no exception.
เราคือที่สุดของการแสดงออกถึงสิ่งที่มนุษย์อ้างถึงว่าเป็น การมีสติรู้สึกตัวอย่างเต็มที่และสมบูรณ์อยู่ตลอดเวลา โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น* (*เอาจริงๆนี่คือสภาวะที่พุทธเราแสวงหาใช่หรือไม่? จากการปฏิบัติใดๆที่เรารับการถ่ายทอดสืบต่อกันมา?)
Our direct experiences, by choice, are only positive. As I mentioned, we are still aware of negativity through the experiences of other Beings, societies, and cultures from other planets, but we, ourselves, no longer experience sorrow, sadness, loneliness, depression, anger, judgement, anxiety, or fear. All of these emotions are a result of beliefs and belief systems that we simply no longer express in any form.
Instead, we experience the positive pole of the polarity of emotions such as happiness, joy, contentment, connectedness, elation, amusement, being in synch, reveling and a constant deep sense of unconditional love, gratitude and appreciation for everyone and everything that we experience.
ประสบการณ์โดยตรงของเรานั้น, ด้วยการเลือก, มีแต่ ด้านบวก เท่านั้น ดังที่ผมได้กล่าวไปแล้ว เรายังคงตระหนักถึงแง่ลบผ่านประสบการณ์ของสิ่งมีชีวิต, สังคม, และวัฒนธรรมอื่น ๆ จากดาวเคราะห์ดวงอื่น, แต่ เราเองไม่ประสบกับความเศร้าโศก, ความเสียใจ, ความเหงา, ความซึมเศร้า, ความโกรธ, การตัดสิน, ความวิตกกังวล, หรือความกลัวอีกต่อไป อารมณ์เหล่านี้ทั้งหมดเป็นผลมาจากความเชื่อและระบบความเชื่อที่เราเพียงแค่ไม่แสดงออกในรูปแบบใด ๆ อีกต่อไป
แต่เราประสบกับ ขั้วบวกของความเป็นขั้วของอารมณ์ เช่น ความสุข, ความปิติ, ความพึงพอใจ, ความรู้สึกเชื่อมโยง, ความอิ่มเอมใจ, ความสนุกสนาน, การอยู่ร่วมกันอย่างสอดคล้อง (being in synch), ความปีติยินดีอันยิ่ง และความรู้สึกที่ลึกซึ้งอย่างต่อเนื่องของ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข, ความกตัญญูหรือสำนึกรู้คุณ และความซาบซึ้ง ต่อทุกคนและทุกสิ่งที่เราประสบ
As we move throughout our days and nights on our planet, we do so with this fully engaged, immersed, and committed attitude. This commitment is the full commitment to fully express who we are, knowing that the uniqueness of our individuality is a gift that dances with the gift of the uniqueness of all other members of our society.
Although we still experience ourselves as unique individuals, we simultaneously experience ourselves as part of everything else. Although this does not easily translate to terms that are familiar, comprehensible, and accessible to human beings, it is beginning to, as we interact with one another, and this understanding will continue to evolve and expand within you and members of your species.
ในขณะที่เราดำเนินชีวิตไปในแต่ละวันและคืนบนดาวเคราะห์ของเรา เราทำเช่นนั้นด้วยทัศนคติที่ มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่, ดำดิ่งอย่างสมบูรณ์, และทุ่มเทหมดทั้งตัวและหัวใจ ซึ่งความมุ่งมั่นทุ่มเทแบบที่ว่านี้คือ ความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ที่จะแสดงออกอย่างเต็มเปี่ยมว่าเราคือใคร, โดยรู้ว่าความเป็นเอกลักษณ์แห่งความเป็นปัจเจกของเราคือของขวัญที่เต้นรำ (มีประสบการณ์ร่วม) ไปกับของขวัญแห่งความเป็นเอกลักษณ์ของสมาชิกคนอื่น ๆ ทั้งหมดในสังคมของเรา
แม้ว่าเราจะยังคงมีประสบการณ์ถึงตนเองในฐานะปัจเจกบุคคลที่มีเอกลักษณ์ แต่เราก็มีประสบการณ์ถึงตนเองในฐานะ ส่วนหนึ่งของทุกสิ่งทุกอย่าง ไปพร้อมกันด้วย แม้ว่าสิ่งนี้จะไม่ได้แปลออกมาเป็นคำศัพท์ที่คุ้นเคย, เข้าใจได้, และเข้าถึงได้โดยง่ายสำหรับมนุษย์, แต่มันก็เริ่มจะเป็นเช่นนั้นแล้ว ในขณะที่เรามีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน, และความเข้าใจนี้จะยังคงพัฒนาและขยายออกไปภายในตัวคุณและสมาชิกในเผ่าพันธุ์ของคุณ
___
🔆Reveling — #ภาวะปีติยินดีอย่างยิ่ง🔆
And so, in this way, we revel. Reveling is a basal part of the makeup of our steady state of being. In the next book, “Masters of Integration,” I will expand upon the definition and description of our state of reveling, how it looks and feels, and describe how you can begin to revel, even at your present state of conscious awareness. For now, use your imagination to envision what this might look like from your present understanding of your own concept of reveling.
For now, understand it to be a state of mind whereby we continuously celebrate our direct knowingness and experience of the perfection of all things, and move through this perfection with clarity, while expressing a celebratory, deeply grateful, highly committed and engaged enthusiastic foundational mindset.
ด้วยเหตุที่กล่าวไป เราจึง ปีติยินดีอย่างยิ่ง (revel) ซึ่งภาวะปีติยินดีอย่างยิ่งนี้เป็นส่วนพื้นฐานขององค์ประกอบแห่งการสร้างสภาวะแห่งการเป็นที่มั่นคงของเรา (steady state of being) ในหนังสือเล่มถัดไปที่มีชื่อว่า “ผู้เชี่ยวชาญแห่งการบูรณาการ (Masters of Integration)”★👇 ผมจะขยายความหมายและคำอธิบายของสภาวะแห่งความปีติยินดีอย่างยิ่งของเรา ว่ามันดูเป็นอย่างไรและให้ความรู้สึกอย่างไร และจะอธิบายว่าคุณสามารถเริ่มต้นปีติยินดีอย่างยิ่งได้อย่างไร แม้ในสภาวะการตระหนักรู้ในปัจจุบันของคุณ
สำหรับตอนนี้ ขอให้คุณใช้ จินตนาการ ของคุณเพื่อวาดภาพว่าสิ่งนี้อาจมีลักษณะอย่างไรจากความเข้าใจปัจจุบันของคุณ เกี่ยวกับแนวคิดเรื่องความปีติยินดีอย่างยิ่งในแบบของคุณ และในตอนนี้ โปรดเข้าใจว่า มันคือ สภาวะทางจิตใจ (state of mind) ที่เรารู้สึกเฉลิมฉลองอย่างต่อเนื่อง ถึงความรู้โดยตรงและประสบการณ์ของเราเกี่ยวกับ ความสมบูรณ์แบบของสรรพสิ่ง และเคลื่อนผ่านสภาวะแห่งความสมบูรณ์แบบของสรรพสิ่งนี้ด้วยความชัดเจน ด้วยความกระจ่างแจ้ง ด้วยความรู้ชัด
และในขณะเดียวกันก็แสดงออกถึงทัศนคติพื้นฐานแห่งการเฉลิมฉลอง, ความกตัญญูหรือสำนึกรู้คุณอย่างสุดซึ้ง, ความมุ่งมั่นอย่างสูง, และความกระตือรือร้นในการมีส่วนร่วมอย่างเต็มเปี่ยม ไปพร้อมกันด้วย
👉★หนังสือเล่มถัดไปที่เอลันว่า ถ้ามีโอกาสผมจะแปลเล่มนั้นด้วยในอนาคต แต่ในตอนนี้ตัวหนังสือเองยังไม่มีฉบับ ดิจิตอล วางจำหน่ายนะครับ มีแต่แบบเป็นเล่ม และต้องสั่งให้ส่งมาจาก อเมริกา ผมก็เลยจะปล่อยไปก่อน ให้เป็นไปตามจังหวะ หรือ การซิงโคร นะครับ — {ผู้แปล}
___
🔆It's About Time — #มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเวลา🔆
As I already mentioned, our experience of time is far different than your own, it is far less “fixed.” You have a saying that, “time flies by when you are having fun” which is actually an effect that results in less time being created when one is fully engaged and mindful in the moment.
Therefore, because we are always fully engaged, and always fully appreciatively aware of the advantages in each moment, we always effectively create “less time.” Thus, our experience of time is extremely fluid and variable. We have discussed this idea many times before with members of your society.
ดังที่ผมได้กล่าวไปแล้ว ประสบการณ์ที่เรามีต่อเวลานั้นแตกต่างจากของคุณมาก มัน “ไม่คงที่ (หรือถูกยึดอยู่กับที่)” น้อยกว่ามาก พวกคุณมีคำกล่าวที่ว่า “เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อคุณมีความสุข(หรือสนุก)” ซึ่งแท้จริงแล้วสภาวะเช่นนี้เป็นผลที่ส่งให้ มีการสร้างเวลาน้อยลง เมื่อคนผู้นั้นมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่และมีสติรู้สึกตัวอยู่ในขณะนั้น* (*อยู่กับปัจจุบันขณะ)
ดังนั้น เนื่องจากเรามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่อยู่เสมอ และตระหนักถึงข้อได้เปรียบหรือข้อดีในแต่ละขณะ ในทุกขณะอย่างซาบซึ้งอยู่เสมอ เราจึงสร้าง “เวลาน้อยลง” ได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ ประสบการณ์ที่เรามีต่อเวลาจึง ลื่นไหลและแปรผันอย่างยิ่ง เราได้พูดคุยถึงแนวคิดนี้หลายครั้งแล้วกับสมาชิกในสังคมของคุณ
When we create less time, another resulting effect is that we age differently. For instance, and this is colloquial because we do not have clocks and timepieces, if an hour were to pass, and we experience it as 15 minutes due to full engagement, then our body would only age the 15 minutes.
This is only an example, and our aging is different than your own for other reasons than this as well. Reveling is the base mindset that results in our unique experience of our flow of time. Reveling creates the flow of time in a most harmonious, aligned, and meaningful way.
เมื่อเราสร้างเวลาน้อยลง ผลกระทบที่ตามมาอีกประการหนึ่งก็คือ เรามีอายุที่แตกต่างออกไป ยกตัวอย่างเช่น (นี่เป็นคำพูดทั่วไปเพราะเราไม่มีนาฬิกาหรือเครื่องบอกเวลา) หากหนึ่งชั่วโมงผ่านไป และเราสัมผัสประสบการณ์นั้นเป็นเพียง 15 นาที เนื่องจากการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ ร่างกายของเราก็จะแก่ลงเพียง 15 นาทีเท่านั้น
นี่เป็นเพียงตัวอย่าง และการที่เรามีอายุแตกต่างจากคุณนั้นก็มีสาเหตุอื่นนอกเหนือจากนี้ด้วยเช่นกัน ความปีติยินดีอย่างยิ่งคือกรอบความคิดพื้นฐาน ที่ส่งผลให้เรามีประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครในการไหลของเวลาของเรา ความปีติยินดีอย่างยิ่งสร้างการไหลของเวลาในลักษณะที่ กลมกลืน สอดคล้อง และมีความหมายที่สุด★
✦ถ้าสังเกตดีๆ สิ่งที่เอลันพูดมีพลังอย่างมหาศาล เพราะมันไม่ได้อธิบายแค่ “เวลาไหลอย่างไร” แต่กำลังอธิบายว่า ทำไมบางคนดูอ่อนกว่าวัย ทำไมบางคนแก่เร็ว และมันสัมพันธ์โดยตรงกับ “ปริมาณเวลาที่เราสร้างขึ้นในแต่ละวัน”
ลองค่อยๆคลี่สิ่งที่เอลันพูดออกมาแบบนี้ครับ…
❖ 1. เอลันบอกว่า “เวลาของพวกเขาไม่คงที่เหมือนพวกเรา”
พวกเขาไม่ถูกผูกติดกับเวลาเท่ามนุษย์ เพราะพวกเขา มีส่วนร่วมกับทุกขณะอย่างเต็มที่ และ มีสติอยู่กับประสบการณ์ในขณะนั้นอย่างหมดใจ
ผลลัพธ์คือ พวกเขา “สร้างเวลาน้อยลง” เวลาสำหรับพวกเขาจึงลื่นไหล เปลี่ยนแปลง แปรผันได้ตลอดเวลา
นี่คือหัวใจนี่สำคัญที่สุดของการแบ่งปันตอนนี้ เพราะมันแก้ปริศนาทั้งหมดว่า ทำไมจิตที่สงบ มีสมาธิ มีสติ จึงทำให้มนุษย์ดูอ่อนกว่าวัย
❖ 2. “เวลาผ่านไปเร็วเมื่อเรามีความสุข” — มันไม่ใช่คำเปรียบเปรย
เอาจริงๆนี่คือ หลักฟิสิกส์ของจิต เอลันกำลังบอกเราว่า เมื่อเรามีความสุข เมื่อเรามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ เมื่อเราดื่มด่ำกับปัจจุบัน เรากำลังสร้าง “เวลาน้อยลง”
ตัวอย่างที่เอลันยกมา เรื่องหนึ่งชั่วโมงที่รู้สึกเหมือน 15 นาที คือรูปธรรมที่ชัดที่สุดของสิ่งนี้ ถ้าร่างกายเราสัมผัส “หนึ่งชั่วโมง” เป็น “15 นาที” กายเราก็แก่ลงแค่ 15 นาทีจริงๆ
นี่คือกฎของเขา นี่คือความจริงของมิติที่ละเอียดกว่าเรา และเอลันก็บอกอีกว่า พวกเขาทำสิ่งนี้ได้เสมอ เพราะทุกขณะของพวกเขาเอิบอาบไปด้วยความปีติยินดีอันยิ่ง ซึ่งเป็น “พื้นฐานของการรับรู้เรื่องเวลา”
❖ 3. เมื่อเอาสิ่งนี้มาวางในชีวิตมนุษย์ มันชัดเจนมาก
ถ้าเราอยากแก่ช้าลงจริง ๆ เราไม่ต้องเริ่มจากคลินิก แต่เริ่มจากจิตของเราเอง
ไม่ว่าคุณทำอะไร—ให้ทุ่มทั้งตัวและหัวใจ—กวาดบ้าน…ล้างจาน…รีดผ้า…เดินไปขึ้นรถไฟฟ้า…ออกกำลังกาย…กินข้าว…อาบน้ำ…เข้าห้องน้ำ…อ่านหนังสือ…
ถ้าคุณทำสิ่งเหล่านี้อย่างมีสติ โดยไม่ให้ใจฟุ้งไปที่อื่น คุณกำลัง “สร้างเวลาน้อยลง” เหมือนที่พวกเขาทำ
แม้การมองต้นไม้ ท้องฟ้า ผืนหญ้า น้ำไหล ก็ใช้หลักเดียวกัน ตราบใดที่คุณ อยู่กับมันอย่างเต็มที่ โดยไม่ฟุ้ง
❖ 4. และนี่คือเหตุผลจริงๆว่าทำไมแนวคิดจิตวิญญาณยุคใหม่ถึงพูดว่า
“จงทำตาม passion”, “จงทำในสิ่งที่รัก”
เพราะเวลาที่เราทำสิ่งที่เรารัก เวลาจะหายไปแบบไร้ร่องรอย เรารู้สึกว่าเราเพิ่งเริ่ม—ทั้งที่ผ่านไปทั้งวันแล้ว นั่นหมายความว่าเรากำลัง “สร้างเวลาน้อยมาก”
ตัวอย่างง่ายที่สุดคือ ความรักครั้งแรก ช่วงที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็รู้สึกสุขไปหมด อยู่ด้วยกันตั้งหลายชั่วโมง แต่เหมือนหนึ่งนาที เย็นแล้ว…ต้องกลับแล้วเหรอ ยังอยากอยู่ตรงนี้ต่ออีกนิด ยังไม่อยากกลับ… ยังไม่อยากแยกจาก ยังไม่อยากแยกจากเธองั้นหรือ? มันก็ใช่ แต่โดยแก่นแท้แล้วคือ ยังไม่อยากแยกจากความรู้สึกเป็นสุขยิ่งนั้นต่างหาก
ประสบการณ์แบบนี้ทุกคนเคยเจอ แต่ประเด็นก็คือ มันอาจอยู่ได้ไม่นาน เพราะเราไม่ได้มีรักแบบรักครั้งแรกไปตลอดชีวิต แต่ถ้าใครมี และทุกวันนี้ยังมีอยู่ ผมก็ยินดีกับพวกคุณด้วยอย่างสุดหัวใจเลยครับ
แต่ passion อยู่นานได้—ได้ตลอดชีวิตด้วยซ้ำ
นี่คือความแตกต่างสำคัญ
❖ 5. เมื่อเรามีความสุขทุกวัน—เวลาที่เราสร้างก็ลดลงทุกวัน
นี่คือคำตอบว่าทำไม หลวงปู่ หลวงตา หรือผู้ฝึกจิตทั้งหลาย “ดูอ่อนกว่าวัย” ไม่ใช่เพราะบุญ ไม่ว่าเก่าหรือใหม่ คำตอบว่าเแ็นเพราะบุญมันกำปั้นทุบดินหรือเลื่อนลอยเกินไป และมันก็ไม่ใช่เพราะสมาธิอย่างเดียว แต่เพราะจิตของท่านอยู่กับปัจจุบันอย่างลึกแน่น ท่านจึงสร้างเวลาน้อยกว่าคนทั่วไปอย่างมหาศาล
ก่อนหน้านี้เรายังไม่รู้ “กลไก” แต่ตอนนี้เราเข้าใจแล้ว
❖ 6. ดังนั้น ถ้าคุณไม่อยากแก่เร็ว
ไม่อยากเสียเงินฉีดนั่นนี่ หรือเจ็บตัวกับมีดหมอ
การเริ่มต้นที่ง่ายที่สุด—กลับมามีสติรู้สึกตัว
และถ้าอยากไปให้สุด—หา passion ให้เจอ แล้วใช้ชีวิตตามนั้นทุกวัน
เพราะนั่นไม่ใช่แค่ความสุข แต่มันคือ “การหยุดสร้างเวลา” ในระดับลึกกว่าที่มนุษย์ส่วนใหญ่รู้ตัว
และเมื่อคุณสร้างเวลาน้อยลง…อายุของคุณก็จะเดินช้าลง ชีวิตคุณจะสดใสขึ้น และตัวคุณ…จะอ่อนเยาว์ลงอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด และเวลาที่คุณเคยคิดว่ามันคอยทำร้ายคุณ เป็นศัตรูของคุณ จะเริ่มกลายเป็นเพื่อนแท้ของคุณแทน.
{ผู้แปล}
...
...
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา