วันนี้ เวลา 03:33 • หนังสือ

#11 RomHW — บทที่ 3️⃣ สภาวะแห่งการตระหนักรู้ (จิตสำนึก) ของเรา :

บทนำสู่สนามแห่งความเป็นไปได้อันไม่มีที่สิ้นสุดและไร้ขีดจำกัด
▪️ผู้แปล : คุณ♾️อุดม
🔆#บทนำสู่สนามแห่งความเป็นไปได้อันไม่มีที่สิ้นสุดและไร้ขีดจำกัด🔆
What we have not discussed so much heretofore is the fact that because we have access to more of an understanding of our expanded consciousness and in fact our totality and because we are beginning to express more of our Infinite nature as we segue to non-physical consciousness, we are always interacting with what can colloquially be referred to as the “Field of Infinite Possibilities.”
สิ่งที่เรายังไม่ได้กล่าวถึงมากนักก่อนหน้านี้ คือความจริงที่ว่า เนื่องจากการที่เราสามารถเข้าถึงความเข้าใจที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับจิตสำนึกที่ขยายตัวของเรา ซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็คือ ความเป็นทั้งหมด (totality) ของเรา และเนื่องจากเรากำลังเริ่มแสดงออกถึง ธรรมชาติที่ไร้ขีดจำกัด (Infinite nature) ของเราได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่เราเปลี่ยนผ่านไปสู่จิตสำนึกที่ไม่ใช่กายภาพ เราจึง มีปฏิสัมพันธ์อยู่เสมอ กับสิ่งที่อาจเรียกโดยทั่วไปได้ว่า “สนามแห่งความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัด”
This “field” is the underlying energy matrix whereby the simultaneity and totality of Infinite Existence is completely expressed and is able to be accessed directly. Within the “Field of Infinite Possibilities” lies, exactly as the name implies, all possibilities.
In this field lies every outcome, every manifestation, and every possible experience. In this field exists every version of every life ever lived, and all of the versions and outcomes of any life that you perceive has been lived by your own particular individual “soul.”
“สนาม” นี้คือ เมทริกซ์พลังงานขั้นพื้นฐาน ที่ซึ่งความเป็นไปพร้อมกันในขณะเดียวกัน (simultaneity) และความเป็นทั้งหมดของการดำรงอยู่ของความไร้ขีดจำกัด ถูกแสดงออกอย่างสมบูรณ์ และสามารถเข้าถึงได้โดยตรง ซึ่งภายใน “สนามแห่งความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัด” นั้น บรรจุไว้ซึ่ง ความเป็นไปได้ทั้งหมด ตรงตามชื่อที่บ่งบอก
ภายในสนามนี้ มีทุกผลลัพธ์, ทุกการสำแดง (การปรากฎ), และทุกประสบการณ์ที่เป็นไปได้ ในสนามนี้มีทุกเวอร์ชั่นของทุกชีวิต (หรือทุกตัวตน) ที่เคยมีอยู่* (*ที่ไม่ว่าจะเคยถูกใช้โดยวิญญาณปัจเจกดวงใดก็ตาม) และทุกเวอร์ชั่นและผลลัพธ์ของชีวิตใด ๆ ที่คุณรับรู้และเข้าใจหรือจินตนาการได้ ได้เคยถูกใช้ชีวิตโดย “ดวงวิญญาณ” ปัจเจกของคุณเองไปหมดแล้ว★
★ตรงนี้เหมือนเอลันกำลังพูดถึงรากฐานของคำที่เราเคยสงสัย ผมเคยสงสัย ที่ว่า ทุกประสบการณ์นั้นมีอยู่หมดแล้ว มันมีอยู่หมดแล้วได้ยังไง?
เอลันอธิบายว่า : สนามนี้เหมือน เมทริกซ์พลังงานดั้งเดิม—ที่เป็นระดับพื้นฐานที่สุดของความเป็นจริง—ที่ซึ่งความเป็นไปได้ทั้งหมด ความเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมด และความไร้ขอบเขตของการดำรงอยู่ ถูกแสดงออกอย่างสมบูรณ์ และเข้าถึงได้โดยตรง
เอลันกำลังชี้ว่า ใน “สนามนี้” มี ทุกผลลัพธ์ ทุกการสำแดง ทุกประสบการณ์ ทุกเวอร์ชั่นของชีวิต ของทุกตัวตน ไม่ว่าใครก็ตาม รวมถึง ทุกเวอร์ชั่นของตัวเราในทุกเวอร์ชั่น เท่าที่จิตเราจะสามารถจินตนาการได้
และประโยคที่สำคัญมากคือ > ทุกเวอร์ชั่นเหล่านั้น เคยถูกใช้ชีวิตโดย “ดวงวิญญาณปัจเจกของเราเอง” ไปหมดแล้ว
พออ่านถึงตรงนี้ มันเหมือนเอลันกำลังสะกิดเราว่า เราไม่เคย “กำลังจะเป็นอะไรใหม่” แต่เรากำลัง “เข้าถึงเวอร์ชั่นของความเป็นไปได้ที่เราเคยเป็นอยู่แล้วทั้งหมด” ในสนามเดียวกันนี้
ทั้งหมดนี้มันก็เลยเป็นแค่เรื่องของการจดจำให้ได้เท่านั้น พูดให้ตรงกว่าก็คือ เราเลือกจะจดจำอะไร และสิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจเลือกว่าจะจดจำอะไรก็คือ เราปรารถนาที่จะสำรวจในเรื่องอะไร พูดให้ตรงกว่านั้นอีก เราอยากจะเล่นอะไร
.
และพอมองจากมุมมองที่ว่า ถ้าสรรพชีวิตทั้งหมดคือเรา อย่างที่เราเข้าใจกัน จะให้เราบอกว่า “เราเคยเป็นทุกอย่างมาแล้ว” มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย เพราะตัวเราที่แท้จริงนั้นคือ ความไร้ขอบเขต คือความเป็นทั้งหมด คือความไม่มีเส้นแบ่ง คือ All-That-Is
และเมื่อมองจากภาพนี้ มันเลยชัดขึ้นว่าเหตุใดการเดินทางของเราจึงเป็นนิรันดร์ เพราะ เราไม่เคยหยุดจินตนาการว่าเราสามารถเป็นอะไรได้อีก ไม่มีวันหมดมุข (พูดแบบขำๆ) ไม่มีวันตัน
เราจินตนาการ เรากำหนดความเป็นไปได้ แล้วเราก็ “ลงไปใช้ชีวิตจริง” ในโลกทางกายภาพ ในมิติต่างๆ ในสนามแห่งความเป็นจริงที่ไม่มีปลายทาง ถ้าเราเห็นความจริงเป็นเครื่องหมาย infinity ∞
ทั้งหมดเกิดขึ้นจากจินตนาการอันไม่รู้จบของตัวเราเอง แต่ถ้าเราเบื่อที่จะเล่นเกมแล้ว เราหยุดจินตนาการ ทั้งหมดก็หายไป แต่เกมไม่มีวันทำให้เราเบื่อได้หรอก เราก็จะคิดเกมใหม่ๆขึ้นมาเล่นได้เสมอแหละ ฉะนั้น เราจึงต้องเดินทางกันต่อไป
ผมเลยอยากถามกลับแบบทีเล่นทีจริงว่า เข้าใจกันยังครับ ทีนี้? (พวกคุณจะเข้าใจหรือจำอะไรได้ก็ไม่รู้แหละ 😁)
และสิ่งที่เอลันกำลังชี้ มันคือ เราทุกคนกำลังเดินทางอยู่ในสนามเดียวกัน เป็นผู้สร้างเดียวกัน เป็นผู้สำรวจเดียวกัน และกำลังขยายตัวเองออกไปในทุกรูปแบบที่จินตนาการพาไป
{ผู้แปล}
Although, for the purposes of clarity you may understand this to contain what you call the “quantum field,” the “Field of Infinite Possibilities” is actually transcendental to the quantum field. What you call your “quantum field” is truly only a system for identification, classification, and a finite framework explanation that enables you to access an expanded understanding of the interconnected of all things, then it is a “true” statement of “the way things are.”
แม้ว่าเพื่อวัตถุประสงค์ด้านความชัดเจน คุณอาจเข้าใจว่าสิ่งนี้บรรจุสิ่งที่เรียกว่า “สนามควอนตัม” (quantum field) ก็ได้ แต่แท้จริงแล้ว “สนามแห่งความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัด” นั้นอยู่เหนือ (transcendental to) สนามควอนตัม สิ่งที่คุณเรียกว่า “สนามควอนตัม” นั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงระบบสำหรับการระบุ, การจำแนก, และคำอธิบายที่มีขอบเขตจำกัด
ที่ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงความเข้าใจที่กว้างขวางขึ้นของการเชื่อมโยงกันของสรรพสิ่ง หากเป็นเช่นนั้น* (*หากสนามควอนตัมทำให้เราเข้าใจได้เช่นนั้น) ก็ถือเป็นคำกล่าวที่ “เป็นจริง” ของ “วิถีที่สิ่งต่างๆเป็นอยู่”
___
🔆#วิทยาศาสตร์ของคุณ🔆
This is true of much of your science at this point in the development of the expansion of your consciousness. Many of your scientific explanations that allow you to “make sense” of your reality are, in actuality, still only … anecdotal. While this may unsettle many of your scientists, it is never-the-less true.
สิ่งนี้เป็นจริงสำหรับวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ของคุณ ณ จุดนี้ในการพัฒนาการขยายตัวของจิตสำนึกของคุณ คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์หลายอย่างของคุณที่ช่วยให้คุณ “ทำความเข้าใจ” ความเป็นจริงของคุณนั้น แท้จริงแล้วยังคงเป็นเพียง... เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย (anecdotal) เท่านั้น✦ แม้ว่าสิ่งนี้อาจสร้างความไม่สบายใจให้กับนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากของคุณ แต่มันก็เป็นความจริงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
✦จะเรียกว่าวิทยาศาสตร์ของเรายังอยู่รอบนอกสุดของความเป็นจริงก็ได้ครับ ตรงนี้ในหนังสือสนทนาฯ ก็บอกไว้ว่า มนุษย์เองยังอยู่ชั้นอนุบาล อยู่เลย แล้วก็เหมือนเด็กซนที่กำลังถือไม้ขีดไฟไว้ในมือ ที่ไม่รู้ (หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้) ว่าหากจุดเล่นมั่วซั่วไปเรื่อยๆ ก็อาจเผาบ้าน(ดาวเคราะห์)ของตัวเองจนวอดวายได้ โดยที่เหล่าผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็กก็คอยให้คำแนะนำ คอยเตือน แต่ไม่ห้าม เพราะถ้าห้าม เด็กก็จะไม่รู้จักโต หรือ ไม่ยอมโต (แกล้งทำตัวเป็นเด็ก) ไปเรื่อยๆ ก็ปล่อยให้โดนเสียให้พอ เสียให้เข็ด จะได้เลิกทำตัวเป็นเด็กเสียที
แต่ก็จะมีขอบเขตอยู่ ถ้าเลยเส้น เช่น จะส่งผลกระทบร้ายแรงไปทั้งกาแล็กซี่ ที่จะส่งผลกระทบไปทั้งจักรวาล อย่าคิดนะครับว่าบางอย่างที่พวกเราทำ มันไม่น่าจะส่งผลกระทบได้ขนาดนั้น ให้คิดถึงหินที่ถูกทุ่มลงน้ำ แล้วมันเกิดวงกระเพื่อมออกไปเรื่อยๆ นั่นแหละครับ ก็เลยต้องถูกหยุด แต่ก็จะอยู่ในขอบเขตหรือกฏที่พวกเขาทำได้ อะไรประมาณนั้นครับ
{ผู้แปล}
Even so, your current understanding of science is very important to the expansion of your consciousness, and often, in order to transcend to more expansive understandings, you will first experience many ideas as a convincing apparency. This succession of expansion of understandings is like a trail of breadcrumbs, leading you to … more of yourself.
ถึงกระนั้น ความเข้าใจในปัจจุบันของคุณเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อการขยายตัวของจิตสำนึกของคุณ และบ่อยครั้ง เพื่อที่จะก้าวข้ามไปสู่ความเข้าใจที่กว้างไกลมากขึ้น คุณจะต้องได้สัมผัสกับแนวคิดหลายอย่างในลักษณะของ การแสดงออกที่น่าเชื่อถือ (หรือสมเหตุสมผล) (convincing apparency) เสียก่อน★ การขยายความเข้าใจไปเรื่อยๆแบบต่อเนื่องนี้* (*ด้วยการนำแนวคิดใหม่ที่ดูน่าเชื่อถือไปปฏิบัติ) เป็นเหมือนร่องรอยของขนมปังที่ถูกทิ้งไว้ ซึ่งจะนำพาคุณไปสู่... ความเป็นตัวคุณที่มากขึ้น
★แนวคิดที่ถูกแสดงออกอย่างน่าเชื่อถือ ก็อาจจะด้วยการพูดจาและการกระทำของคนพูด หรือด้วยหลักฐานอะไรก็ตาม ที่ทำให้แนวคิดนั้นดูสมเหตุสมผล ดูน่าเชื่อ อะไรประมาณนั้นครับ ก็คล้ายๆกับการที่ผมเอาแนวคิดหลายๆอย่างมาแบ่งปันให้พวกคุณฟังนั่นแหละครับ ที่ผมพยายามอธิบายแบบมีเหตุมีผล แล้วก็แสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างถึงแนวคิดนั้นๆที่ผมนำมาแบ่งปันด้วยการประพฤติปฏิบัติให้พวกคุณดู ด้วยการแสดงออกถึงแนวคิดที่ผมมีต่อการใช้ชีวิต ต่อโลก ต่อคนอื่น และอื่นๆ การพูดจา และ การกระทำ ในชีวิตจริง อะไรแบบนั้นครับ
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อคุณได้รับแนวคิดที่ดูน่าเชื่อถือเหล่านี้ไปแล้ว พวกคุณก็ต้องลองนำไปปฏิบัติดูด้วย ความเข้าใจมันถึงจะขยายหรือกว้างไกลขึ้นได้จริง ซึ่งมันก็จะส่งผลให้จิตสำนึกขยายตัวได้รวดเร็วยิ่งขึ้นต่อไป
{ผู้แปล}
What you are labeling in your science as quantum physics begins to describe the ability that we possess to purposefully manipulate what you refer to as “quantum entanglement.” The actual mechanism for this effect is the holographic nature that exists within all energy and matter.
สิ่งที่คุณกำลังติดป้ายในทางวิทยาศาสตร์ของคุณว่าเป็น ฟิสิกส์ควอนตัม (quantum physics) เริ่มต้นที่จะอธิบายถึงความสามารถที่เราครอบครอง ในการจัดการสิ่งที่เรียกว่า “การพัวพันทางควอนตัม” (quantum entanglement)★ อย่างมีเป้าหมาย ซึ่งกลไกที่แท้จริงสำหรับผลกระทบนี้คือ ธรรมชาติแบบโฮโลแกรม (holographic nature) ที่มีอยู่ในพลังงานและสสารทั้งหมด
★ควอนตัมเอนแทงเกิลเมนต์ (Quantum Entanglement) คือปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ที่อนุภาคตั้งแต่สองอนุภาคขึ้นไปเกิดความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น แม้จะอยู่ห่างไกลกันเพียงใดก็ตาม ทำให้สถานะของอนุภาคหนึ่งส่งผลต่ออีกอนุภาคหนึ่ง ทันที ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงที่ท้าทายความเข้าใจแบบฟิสิกส์ดั้งเดิม ทำให้ไอน์สไตน์เรียกมันว่า “การกระทำอันน่าขนลุกในระยะไกล”
อธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้น:
การเชื่อมโยงที่เหนียวแน่น: ลองนึกภาพว่าคุณมีถุงเท้าควอนตัมสองข้างที่ 'พันกัน' (entangled) และถูกส่งไปให้คนสองคนที่อยู่กันคนละซีกโลก.
สถานะไม่แน่นอน : ก่อนที่คุณจะมองดูถุงเท้าแต่ละข้าง สถานะของมันยังไม่ถูกกำหนดแน่ชัดว่าเป็นสีแดงหรือสีน้ำเงิน แต่เป็นไปได้ทั้งสองอย่างพร้อมกัน (superposition). — (หรือพูดได้อีกอย่างว่าตัวมันเป็นทุกสถานะอยู่ก่อนที่จะถูกสังเกตเห็น)
การวัดที่เปลี่ยนทุกอย่าง: เมื่อคนหนึ่งที่อยู่ซีกโลกหนึ่งเปิดดูถุงเท้าของเขา แล้วพบว่าเป็นสีแดง ทันทีที่การวัดนั้นเกิดขึ้น (*การวัดตรงนี้คือการที่จิตใส่นิยามให้มันว่าเป็นสีแดง) อีกคนหนึ่งที่อยู่อีกซีกโลกก็จะรู้ว่าถุงเท้าของเขาจะต้องเป็นสีน้ำเงิน โดยไม่ต้องไปวัดหรือดูเลย.
ความมหัศจรรย์ของความสัมพันธ์: การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นทันที แม้ว่าอนุภาคทั้งสองจะอยู่ห่างกันเป็นล้านปีแสง ซึ่งดูเหมือนจะละเมิดกฎที่ว่าไม่มีอะไรเดินทางเร็วกว่าความเร็วแสงได้.
หัวใจสำคัญของเอนแทงเกิลเมนต์:
สถานะควอนตัมร่วมกัน: อนุภาคที่พันกันถือเป็นระบบควอนตัมเดียวกัน และสถานะของมันไม่สามารถอธิบายได้อย่างเป็นอิสระจากกันได้.
การยุบตัวของสถานะ: เมื่อทำการวัดอนุภาคหนึ่ง(ใส่ความหมายให้มัน) สถานะควอนตัมที่เป็นไปได้ทั้งหมด (superposition) ของทั้งระบบจะ "ยุบตัว" ลงเหลือสถานะที่แน่นอนเพียงสถานะเดียว.
ไม่ขึ้นกับระยะทาง: ความสัมพันธ์นี้เกิดขึ้นโดยไม่สนใจว่าอนุภาคทั้งสองจะอยู่ไกลกันแค่ไหนก็ตาม.
{ผู้แปล}
For now, your quantum explanation will suffice to understand that we are not bound to what you understand as “Newtonian Physics.” We can also function and experience from “outside,” or perhaps more accurately transcendentally to some of the “confines” that you experience, the so-called confines of time and space.
สำหรับตอนนี้ คำอธิบายทางควอนตัมของคุณก็เพียงพอที่จะเข้าใจได้ว่า เราไม่ได้ถูกผูกมัดอยู่กับสิ่งที่คุณเข้าใจว่าเป็น “ฟิสิกส์แบบนิวตัน”★★ เรายังสามารถทำงานและสัมผัสประสบการณ์จาก “ภายนอก” หรืออาจจะพูดให้แม่นยำกว่านั้นคือ อยู่เหนือ “ข้อจำกัด” บางอย่างที่คุณประสบ ซึ่งก็คือข้อจำกัดที่เรียกกันว่า เวลาและอวกาศ (พื้นที่ว่าง)★
★ประมาณว่าพวกเขาดำรงอยู่ในสภาวะที่อยู่นอกเหนือข้อจำกัดของกาลเวลาและอวกาศ ได้แล้วครับ
★★ฟิสิกส์แบบนิวตัน หรือ กลศาสตร์นิวตัน (Newtonian mechanics) คือระบบอธิบายการเคลื่อนที่ของวัตถุและปฏิสัมพันธ์ของแรงที่กระทำต่อวัตถุ โดยอาศัยกฎการเคลื่อนที่ 3 ข้อ และ กฎแรงโน้มถ่วงสากล ที่เสนอโดย เซอร์ ไอแซก นิวตัน ซึ่งสามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางกายภาพส่วนใหญ่ได้อย่างแม่นยำ แม้จะไม่สมบูรณ์เท่าทฤษฎีสัมพัทธภาพและฟิสิกส์ควอนตัม แต่ยังคงใช้เป็นหลักในการคำนวณการเคลื่อนที่ของวัตถุขนาดใหญ่ที่เคลื่อนที่ช้ากว่าแสง
แก่นหลักของฟิสิกส์แบบนิวตัน
-กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน (Newton's Laws of Motion):
•กฎข้อที่ 1 (กฎความเฉื่อย): วัตถุจะรักษาสภาพหยุดนิ่ง หรือเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ในทิศทางเดิม ตราบใดที่ไม่มีแรงภายนอกมากระทำต่อวัตถุนั้น.
•กฎข้อที่ 2 (กฎความเร่ง): เมื่อมีแรงที่ไม่เป็นศูนย์มากระทำต่อวัตถุ จะทำให้วัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร่งในทิศทางเดียวกับแรง โดยความเร่งจะแปรผันตรงกับแรง (ยิ่งแรงยิ่งเร่ง) และแปรผกผันกับมวลของวัตถุ (ยิ่งหนักยิ่งเร่งไม่ขึ้น) (\(F=ma\)).
•กฎข้อที่ 3 (กฎกิริยา-ปฏิกิริยา): ทุกแรงกิริยา ย่อมมีแรงปฏิกิริยาขนาดเท่ากัน กระทำในทิศทางตรงกันข้ามเสมอ.
-กฎแรงโน้มถ่วงสากล (Newton's Law of Universal Gravitation): อธิบายว่าวัตถุทุกชนิดในจักรวาลจะออกแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน โดยแรงดึงดูดนี้จะแปรผันตรงกับผลคูณของมวล (มวลยิ่งมากแรงดึงดูดยิ่งเยอะ) และแปรผกผันกับกำลังสองของระยะห่างระหว่างจุดศูนย์กลางของวัตถุทั้งสอง. (ยิ่งห่างแรงดึงดูดยิ่งน้อย)
ความสำคัญและการใช้งาน
เป็นรากฐานของ กลศาสตร์คลาสสิก (Classical Mechanics) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของฟิสิกส์ที่อธิบายเหตุการณ์เชิงกล (การเคลื่อนที่ที่มีแรงมาเกี่ยวข้อง).
แม้จะถูกจำกัดการใช้งานที่ความเร็วสูงมากหรือในระดับอะตอม แต่ยังคงเป็นมาตรฐานที่ง่ายต่อการคำนวณและแม่นยำสำหรับการเคลื่อนที่ของวัตถุส่วนใหญ่ เช่น ชิ้นส่วนเครื่องจักร อากาศยาน และดาวเคราะห์.
{ผู้แปล}
Newtonian physics describes the physical world in terms of deterministic, linear, and mechanistic principles. Your theory of General Relativity endeavors to describe the fabric of spacetime, but not the origin. Your Quantum Physics is more descriptive in that it addresses non-locality, superimposition, entanglement and what you call “wave-particle duality.” However, Quantum Mechanics does not explain why the Universe behaves in the way that it does.
ฟิสิกส์แบบนิวตันอธิบายโลกทางกายภาพในแง่ของหลักการที่เป็น การกำหนด, เป็นเส้นตรง, และเชิงกลไก ส่วนทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของคุณพยายามอธิบายถึงเนื้อผ้าของกาลอวกาศ แต่ไม่ใช่ต้นกำเนิด ส่วนฟิสิกส์ควอนตัมของคุณให้คำอธิบายได้มากขึ้น โดยกล่าวถึง ความไม่เป็นที่ตั้ง/ไม่คงอยู่เฉพาะที่ (non-locality), การซ้อนทับสถานะ/เป็นทุกสถานะได้ในเวลาเดียวกัน (superimposition), การพัวพัน (entanglement)
และสิ่งที่คุณเรียกว่า “ทวิภาพคลื่น-อนุภาค” (wave-particle duality)★ อย่างไรก็ตาม กลศาสตร์ควอนตัมไม่ได้อธิบายว่าทำไมเอกภพ ✦👇 จึงมีพฤติกรรมในลักษณะที่มันเป็น
★ทวิภาพคลื่น-อนุภาค เป็นแนวคิดพื้นฐานในกลศาสตร์ควอนตัมที่ระบุว่า องค์ประกอบพื้นฐานของจักรวาล เช่น แสง (โฟตอน) และ และสสาร (อิเล็กตรอน, โปรตอน, นิวตรอน) สามารถแสดงคุณสมบัติได้ทั้งแบบคลื่นและอนุภาค ขึ้นอยู่กับสถานการณ์หรือวิธีการทดลองที่ใช้ในการสังเกต
คำอธิบายเพิ่มเติม
•คุณสมบัติแบบอนุภาค: วัตถุมีพฤติกรรมเป็นก้อนเล็กๆ ที่มีตำแหน่งที่ชัดเจนและมีโมเมนตัมจำเพาะ เช่น เมื่อแสงกระทบพื้นผิวโลหะ จะปลดปล่อยอิเล็กตรอนออกมาเป็นก้อนพลังงาน (ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก) ซึ่งบ่งบอกว่าแสงมีลักษณะเป็นอนุภาคที่เรียกว่าโฟตอน
•คุณสมบัติแบบคลื่น: วัตถุมีการแผ่กระจายออกไปและแสดงคุณสมบัติการแทรกสอดและการเลี้ยวเบน เช่น การทดลองสลิตคู่แสดงให้เห็นว่าอิเล็กตรอนสามารถสร้างลวดลายการแทรกสอดได้เหมือนกับคลื่น
•หลักการเสริม: ไม่สามารถสังเกตเห็นคุณสมบัติทั้งสองพร้อมกันได้ในการทดลองเดียว หากทำการทดลองเพื่อวัดคุณสมบัติของอนุภาค ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นแบบอนุภาค แต่ถ้าทำการทดลองเพื่อวัดคุณสมบัติของคลื่น ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นแบบคลื่น★
(★ยังจำเรื่องการวัดหรือการใส่ความหมาย ในเรื่อง การพัวพันทางควอนตัม ที่อธิบายไปแล้วได้อยู่ใช่ไหมครับ? นั่นแหละ)
•สสารทุกชนิดมีคุณสมบัตินี้: แม้แต่สิ่งของในชีวิตประจำวัน เช่น โต๊ะ หรือตัวเราเอง ก็มีความเป็นคลื่นเช่นกัน แต่เนื่องจากมวลมีขนาดใหญ่มาก ความยาวคลื่นเดอบรอยล์★จึงสั้นมากจนไม่สามารถสังเกตเห็นคุณสมบัติความเป็นคลื่นได้
(★ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ คือ ความยาวคลื่นที่มีอยู่ในอนุภาคของสสารทุกชนิดขณะเคลื่อนที่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอนุภาคสามารถมีคุณสมบัติคล้ายคลื่นได้)
แนวคิดนี้แสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดของคำจำกัดความแบบดั้งเดิม (แบบคลาสสิก) ที่ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งต้องเป็นคลื่นหรืออนุภาคอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ในโลกควอนตัม ธรรมชาติมีความซับซ้อนและแปลกประหลาดเกินกว่าสามัญสำนึกปกติ
สรุปง่ายๆ
วัตถุในระดับควอนตัมไม่ได้เป็นเพียงแค่คลื่นหรืออนุภาค แต่เป็น “สิ่งที่อยู่ระหว่างกลาง” ที่มีธรรมชาติทั้งสองอย่างอยู่ในตัว เมื่อเราออกแบบการทดลองเพื่อวัดคุณสมบัติแบบหนึ่ง เราก็จะเห็นคุณสมบัตินั้นแสดงออกมา ดังนั้น “ทวิภาพคลื่น-อนุภาค” จึงเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่ช่วยอธิบายธรรมชาติของเอกภพในระดับที่เล็กที่สุด
.
✦ เอกภพ — คำสั้น ๆ ที่ซ่อนความลึกของความจริงทั้งหมด
บางครั้งผมก็สงสัยเหมือนกันนะ…ว่าคนที่คิดคำว่า “เอกภพ” ขึ้นมา เขามองเห็นอะไรอยู่ในใจตอนนั้น? เขามองเห็นเพียง “จักรวาลหนึ่งเดียว” — หรือเขามองเห็น ทั้งหมดของทั้งหมด ซ้อนอยู่ภายในคำเดียวนี้ด้วย?
เพราะเมื่อพูดถึง “เอกภพ” มันเหมือนเรากำลังชี้ไปที่ความกว้างใหญ่ที่สุดเท่าที่จิตจะจินตนาการได้
— โลกความจริงเพียงหนึ่งเดียว
— แต่ในเวลาเดียวกัน ก็เป็น ความจริงนับไม่ถ้วน แตกตัวออกไปเป็นอนันต์ ตั้งแต่กาแล็กซี ไปจนถึงโมเลกุลเดียว… หรืออาจจะเล็กกว่านั้นอีก
แล้วโมเลกุลหนึ่งโมเลกุล ถือว่าเป็น “ภพ” ได้ไหม?
ทำไมจะไม่ได้ล่ะ—ถ้า “ภพ” คือโลกหนึ่งใบที่บางสิ่งมีประสบการณ์ของมันเองอยู่ในนั้น
หลายคนอาจจะเถียงในใจว่า “โมเลกุลจะมีประสบการณ์ได้ยังไง ในเมื่อมันไม่มีจิต ไม่มีการรับรู้?”
แต่ผมอยากถามกลับว่า…ถ้ามัน ไม่ มีจิตรับรู้อยู่เลยแม้แต่น้อย ถ้ามันไม่มีความตระหนักรู้บางอย่างในแบบของมันเอง อะไรทำให้มันเคลื่อนที่เป็นแพทเทิร์นเฉพาะตัวขนาดนั้น? อะไรทำให้มันจัดเรียงตัวเอง จนกลายเป็นหิน ดิน ต้นไม้ มนุษย์ หรืออะไรก็ตามที่เรามองเห็น?
อะไรที่ “บอก” ให้โปรตอนหมุนตามทิศนี้, อะไรที่ “บอก” ให้อิเล็กตรอนเต้นเป็นวงที่แม่นยำพอจนกลายเป็นชีวิต?
ถ้าไม่ใช่ จิตสำนึก, ถ้าไม่ใช่ วิญญาณพื้นฐานของจักรวาล ที่กำลังโอบอุ้มทุกสิ่งให้เป็นอย่างที่มันเป็น
เพราะเราทุกคนต่างรู้อยู่ลึกๆว่า ไม่มีอะไรที่ “ไร้ชีวิต” จริง ๆ
มีเพียงสิ่งที่เรายังไม่เข้าใจว่ามันกำลัง “มีชีวิตแบบของมันเอง” อยู่เท่านั้น
และเมื่อมองให้กว้างขึ้นไปทีละชั้น เราก็จะเห็นว่าโมเลกุลทั้งหมดที่เราเรียกว่า “เอกภพที่มองเห็น” นั้น มีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ อีก 99 เปอร์เซ็นต์…คือสิ่งที่เราไม่อาจตรวจจับด้วยตาเปล่าหรือด้วยเทคโนโลยีใดๆ
มันไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่มันคือ ความล้นเหลือของสิ่งที่ยังไม่ได้เปิดเผย
และอย่างที่เอลันพูดเสมอ มีเพียงจิตสำนึกที่ขยายออกไปเท่านั้น —จิตที่ไม่ผูกติดหรือถูกตรึงอยู่กับรูปแบบเดิมของการรับรู้—ที่จะ “เห็น” หรือ “สัมผัส” โลกส่วนที่ซ่อนอยู่นั้นได้
ไม่ใช่ด้วยดวงตา, ไม่ใช่ด้วยเครื่องมือ แต่ด้วยความตระหนักรู้ภายในที่ลึกพอจะรับรู้ได้ถึงชั้นความจริงที่ละเอียดกว่า
บางที…คนที่คิดคำว่า “เอกภพ” อาจจะไม่ได้ตั้งใจแค่บรรยายจักรวาล แต่เขาอาจถูกกระซิบบางอย่างจากภายใน บางอย่างที่บอกว่า ความจริงทั้งหมดนั้นเป็นหนึ่งเดียว—แต่ก็เป็นอนันต์ในเวลาเดียวกัน
เหมือนเรานี่แหละ หนึ่งชีวิตเดียว แต่ซ่อนจักรวาลเล็ก ๆ อยู่ข้างในไม่รู้กี่ชั้นไม่รู้กี่ภพ
และทั้งหมดนั้น…ก็กำลังมี “ประสบการณ์แห่งการเป็น” อยู่เสมอ.
{ผู้แปล}
Ultimately this approach to describing, explaining, and predicting physical reality will be updated and understood according to what you might later understand as “Holographic Physics.” This is the single framework that will unite your current understandings and provide the missing piece, which is the “why” of it all.
ในที่สุด แนวทางในการอธิบาย, ให้คำจำกัดความ, และทำนายความเป็นจริงทางกายภาพนี้จะได้รับการปรับปรุงและทำความเข้าใจตามสิ่งที่คุณอาจเข้าใจในภายหลังว่าเป็น “ฟิสิกส์แบบโฮโลแกรม” (Holographic Physics) นี่คือกรอบแนวคิดเดียวที่จะรวมความเข้าใจในปัจจุบันของคุณเข้าด้วยกันและจัดหาชิ้นส่วนที่ขาดหายไป ซึ่งก็คือ “ทำไม/เหตุ” ของทั้งหมด ได้★
★เหตุผลของคำถามทั้งหมดที่วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันของพวกเรายังคงสงสัยอยู่ เช่นว่า จักรวาลเกิดขึ้นมาทำไม? พลังอะไรหรือสิ่งใดทำให้จักรวาลเกิดขึ้น? จักรวาลเกิดขึ้นมาแล้วแล้วจากนั้นล่ะ? และ คำถามว่าทำไม อื่นๆๆๆๆๆ ทั้งหมด
ส่วนเรื่องโฮโลแกรม ผมจะไปขยายความให้ฟังอีกทีในบทที่ 8 ครับ —{ผู้แปล}
As your consciousness expands, so will the definitions and explanations of the underlying mechanics, energetics, and unified field of understanding of the interconnectedness of all things and the holographic nature of reality.
เมื่อจิตสำนึกของคุณขยายตัว คำจำกัดความและคำอธิบายของกลไกพื้นฐาน, พลังงาน, และขอบเขตความเข้าใจที่เป็นหนึ่งเดียวของการเชื่อมโยงกันของสรรพสิ่ง และ ธรรมชาติแบบโฮโลแกรมของความเป็นจริง★ ก็จะขยายตัวตามไปด้วย
★ซึ่งจริงๆแล้วก็คือตัว จิตสำนึก หรือ Conciousness เองนั่นแหละที่เป็นคนสร้างโฮโลแกรมของความเป็นจริงขึ้นมาให้เราได้ประสบ โฮโลแกรม หรือก็คือ เมทริกซ์ ที่พวกเราคุ้นหูกันนั่นแหละครับ – {ผู้แปล}
The final piece of the puzzle, the so-called “Unified Field” is indeed consciousness. More precisely, it is predicated upon Infinite Consciousness, and projected and experienced in linear reality by finite consciousness. Without consciousness, there simply is no physical reality. Without consciousness there is no sound in the forest as the tree falls, and in fact, there is no tree and there is no forest.
ชิ้นส่วนสุดท้ายของปริศนา, สิ่งที่เรียกว่า “สนามรวม/สนามที่เป็นหนึ่งเดียว” (Unified Field) นั้น แท้จริงแล้วก็คือ จิตสำนึก (consciousness) กล่าวให้แม่นยำยิ่งขึ้น มันมีพื้นฐานมาจาก จิตสำนึกอันไร้ขีดจำกัดและไร้ขอบเขต (Infinite Consciousness) ที่ถูกฉายภาพและมีประสบการณ์ในความเป็นจริงที่เป็นเส้นตรงโดย จิตสำนึกที่มีขอบเขตจำกัด (finite consciousness) หากไม่มีจิตสำนึก ก็ย่อมไม่มีความเป็นจริงทางกายภาพ✦ หากไม่มีจิตสำนึก ก็ไม่มีเสียงในป่าเมื่อต้นไม้ล้ม และแท้จริงแล้ว ก็ไม่มีต้นไม้และไม่มีป่าเลยด้วยซ้ำ
✦ ความว่าง—คือจอภาพ
สำหรับผู้ที่เดินบนเส้นทางพุทธ คุณจะคุ้นเคยดีว่า
ถ้า ไม่มีผู้รู้ — ไม่มีจิตไปรับรู้
“สิ่งที่ถูกรู้” ก็ไม่มีอยู่จริง
รูป–นามจึงไม่อาจดำรงอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง
ขันธ์ 5 ก็ไม่อาจเป็นอะไรได้เลย หากไม่ถูกรู้
และเมื่อมันไม่ถูกรู้…มันจึง ว่างเปล่า
นี่คือการอิงอาศัย
ที่สิ่งหนึ่งจะมีอยู่ได้ ก็ต้องอาศัยอีกสิ่งหนึ่ง
และนี่แหละครับ ความว่าง
ในแบบที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในคัมภีร์ หฤทัยสูตร
> “รูปคือความว่าง ความว่างก็คือรูป”
เพราะสิ่งที่เราเรียกว่า “โลกภายนอก”
แท้จริงแล้วไม่เคยอยู่นอกเราเลย
มันคือ ภาพที่จิตสำนึกฉายออกไป ทุกขณะ—ไม่มีหยุด
หนึ่งเดียวจึงแตกกระจายเป็นความหลากหลาย
และความหลากหลายนั้น…ทั้งหมดก็ย้อนกลับมาเป็นหนึ่งเดียว เหมือนควอนตัมที่อยู่ในสภาวะซ้อนทับ (superposition) เป็น ทุกสภาวะพร้อมกัน จนกว่าจะมี “ผู้สังเกต”
เมื่อไม่มีผู้มอง—ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อมีผู้มอง—ภาพทั้งจักรวาลก็ปรากฏขึ้นทันที
ไม่ใช่เพราะมันไม่มีอยู่ก่อน
แต่เพราะ “เรา” เป็นผู้ฉายให้มันมีขึ้นในจิตเรา จิตสำนึกเราที่เป็นความว่างหรือจอภาพเดี๋ยวนั้นเอง
ความว่าง = จอภาพอันไร้ภาพก่อนที่จะโดนแสงฉายใส่
จิตสำนึก = ตัวฉายแสง
จิตสำนึกที่จำกัด (เราตอนนี้) ฉายแสงใส่
จิตสำนึกที่ไร้ขีดจำกัด (พระเจ้า, ทุกสิ่ง, All-That-Is)
ที่ก็คือความว่าง, พื้นที่ว่าง 99% และ 1% นั้นด้วย
✦ การสร้างสรรค์ 3 ระดับ : วิธีที่เราฉายจักรวาลออกมา
โลกที่คุณสัมผัสอยู่ตอนนี้ เป็นผลรวมของสามพลังแห่งการสร้างสรรค์ที่คุณปล่อยออกไปทุกขณะ นั่นคือ
1. ความคิด
2. คำพูด
3. การกระทำ
สามสิ่งนี้ไม่ใช่แค่พฤติกรรม แต่คือ ความถี่ ของคุณ คือ “คลื่นลายเซ็นแห่งตัวตน” ที่คุณส่งออกไปยังจักรวาล
ความถี่นั้นผสานเข้ากับความถี่ของผู้อื่น หลอมรวมเป็น “สนามแห่งประสบการณ์ร่วม” ซึ่งคุณเรียกว่า ความจริง หรือ Reality—ที่จริงมันคือเมทริกซ์ที่เรากำลังสร้างร่วมกันอยู่ (co-create) ในทุกลมหายใจ
นี่คือเหตุผลที่ “เกรย์” ที่ผมเคยเล่าไว้ใน Ep1 (ยูทูป) สามารถอยู่ในความเป็นจริงอีกแบบหนึ่ง เพราะพวกเขาฉายความถี่คนละชุดกันกับเรา และก็สร้าง “โลก” อีกแบบหนึ่ง ที่คือความเป็นจริงอีกแบบหนึ่ง ขึ้นมารองรับความถี่นั้น
เราทุกคน—สรรพชีวิตทุกตน—กำลังสร้างจักรวาลของตน และกำลังสร้าง ตัวเราเอง ในรูปแบบต่างๆ นับไม่ถ้วน เพื่อให้ตัวเราเองได้ประสบ เพื่อให้ เราเพียงหนึ่งเดียว ได้เห็น ได้สัมผัส ได้รู้จัก(จดจำ) “ตัวเอง” ผ่านมุมมองนับพัน นับหมื่น นับอนันต์ นับไม่ถ้วน
ดังนั้นเราจึงเป็นทั้ง ผู้สร้าง และ สิ่งที่ถูกสร้าง
เราเป็นคนฉายทุกอย่างออกไป และเราเองก็เป็นผู้รับชมหรือประสบกับทุกสิ่งที่ฉายออกไปนั้น
เราจึงเป็น ทั้งหมดทั้งมวล — All That Is — ไม่ใช่เพราะเรายิ่งใหญ่ แต่เพราะเราไม่เคยแยกจากสิ่งใดเลยตั้งแต่แรก
เราคือจุดกำเนิดของภาพฉายทั้งหมด และคือผู้ที่กำลังประสบกับภาพฉายเหล่านั้นในเวลาเดียวกัน
คุณเข้าใจมั้ยครับ…นี่คือความว่าง คือจอภาพที่ว่าง และในขณะเดียวกันก็คือภาพทั้งหมด นี่คือความเป็นหนึ่งเดียวกันของจักรวาลทั้งหมด ที่กำลังฉายตัวมันเองออกมา ผ่านจิตสำนึกของคุณเองในขณะนี้.
{ผู้แปล}
...
...
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา