16 ธ.ค. เวลา 20:55 • ข่าวรอบโลก

'อะห์หมัด อัล-อะห์หมัด' บุรุษมุสลิมท่ามกลางความรุนแรงในบอนได

“ความรุนแรง...และแสงแห่งความหวัง”
เหตุการณ์กราดยิงที่หาดบอนได นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) ไม่ใช่แค่เรื่องอาชญากรรมสะเทือนขวัญระดับประเทศ แต่เป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้เราต้องกลับมาคิดใหม่เรื่องความขัดแย้งทางเชื้อชาติและศาสนาในยุคนี้
#เกิดอะไรขึ้นที่บอนได
หาดบอนไดเดือนธันวาคมคือภาพความสุขและอิสระแบบออสซี่แท้ๆ แต่ในวันที่ 14 ธ.ค. 2568 ที่นี่กลับกลายเป็นสนามสังหารที่มีความหมายร้ายแรงซ่อนอยู่ การเลือกโจมตีในช่วงเย็น ขณะที่ชุมชนชาวยิวกำลังฉลอง เทศกาลฮานุคคา (Hanukkah) คืนแรก แสดงว่าผู้ก่อเหตุจงใจเล่นงานด้านจิตใจอย่างชัดเจน ทำให้เทศกาลแห่งแสงสว่างถูกเลือกให้เป็นฉากหลังของความมืดมิด ผู้คนกว่า 1,000 คน ทั้งครอบครัว เด็ก และผู้สูงอายุ ต่างผ่อนคลายอยู่ริมหาด ทำให้การระวังภัยต่ำ ซึ่งผู้ก่อเหตุใช้ประโยชน์จากจุดนี้เพื่อสร้างความเสียหายให้มากที่สุด
ผู้ก่อเหตุคือคู่พ่อลูกตระกูลอัคราม คือ นายซาจิด อัคราม (50 ปี) และนายนาวีด อัคราม (24 ปี) การทำงานร่วมกันแบบ "เซลล์ครอบครัว" (Family Terror Cell) ทำให้หน่วยความมั่นคงจับได้ยากมาก เพราะไม่มีการสื่อสารภายนอก จุดที่น่าช็อกและกลายเป็นปัญหาใหญ่ของหน่วยงานความมั่นคงคือ: นายนาวีด อัคราม เคยถูกหน่วยข่าวกรอง (ASIO) สอบสวนมาแล้วในปี 2019 เกี่ยวกับการเชื่อมโยงกับกลุ่มรัฐอิสลาม (IS)
ทว่าเจ้าหน้าที่สรุปในตอนนั้นว่า เขา "ไม่มีภัยคุกคามด้านความมั่นคงในระดับที่ต้องเฝ้าระวังต่อเนื่อง" นี่คือ "ความล้มเหลวในการประเมินความเสี่ยง" ที่ถูกวิจารณ์หนักที่สุด เพราะคนหัวรุนแรงสามารถเล็ดรอดไปได้ และสะสมอาวุธปืนถูกกฎหมายถึง 6 กระบอก!
คนร้ายใช้ปืนยาว (ปืนไรเฟิลและลูกซอง) กราดยิงจากสะพานลอย ซึ่งเป็น "จุดยุทธศาสตร์ที่ได้เปรียบ" ทำให้สร้างความเสียหายต่อฝูงชนข้างล่างได้มากและเร็ว ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ตำรวจเจอ ระเบิดแสวงเครื่อง (Improvised Explosive Device - IED) ในรถคนร้ายด้วย ซึ่งแปลว่าแผนโจมตีเดิมอาจจะรุนแรงกว่าแค่การกราดยิงหลายเท่าตัว ถ้าหากระเบิดถูกใช้ ความสูญเสียจะทวีคูณขึ้นแน่นอน
#บุรุษชื่อ 'อะห์หมัด อัล-อะห์หมัด'
ท่ามกลางความโหดร้ายและเสียงปืนที่ดังสนั่น... มีเหตุการณ์ที่เปลี่ยนสถานการณ์ทั้งหมด คือการต่อต้านอย่างกล้าหาญของพลเมืองดีคนหนึ่ง นายอะห์หมัด อัล-อะห์หมัด
จากการตรวจสอบข้อมูลทั้งหมด ยืนยันได้ว่า: คุณอะห์หมัด อัล-อะห์หมัด คือชายวัย 43 ปี เป็น ชาวมุสลิมเชื้อสายซีเรีย ที่เข้ามาตั้งรกรากในออสเตรเลีย และประกอบอาชีพเป็นเจ้าของร้านขายผลไม้ในย่านซัทเธอร์แลนด์/บอนได
(ภูมิหลังของเขามีความสำคัญมาก: การที่เขาเป็นผู้อพยพจากซีเรีย ซึ่งเป็นประเทศที่บอบช้ำจากสงคราม ทำให้การกระทำของเขามีความหมายทางศีลธรรมที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม เขาเข้าใจความเจ็บปวดจากความรุนแรงและเลือกที่จะยุติมันด้วยชีวิตของตัวเอง)
ในขณะที่นายซาจิด อัคราม (ผู้เป็นพ่อ) เดินลงจากสะพานลอยเพื่อเข้าใกล้เหยื่อที่กำลังหลบซ่อน คุณอาห์หมัดซึ่งอยู่ในบริเวณนั้น ตัดสินใจโดยสัญชาตญาณที่จะไม่หนีเอาตัวรอด เขาฉวยจังหวะที่คนร้ายเปลี่ยนเป้าหมายหรือมีจุดบอด แล้ววิ่งเข้า ชาร์จตัวนายซาจิดด้วยมือเปล่า! นี่ไม่ใช่ความบ้าบิ่น แต่เป็นความกล้าที่เหนือกว่าสัญชาตญาณเอาตัวรอด ลุงของเขายืนยันว่า "หลานชายของเขาทำไปเพื่อช่วยชีวิตเหยื่อ โดยไม่สนว่าพวกเขาจะเป็นยิว อิสราเอล หรือชาติใด"
ในระหว่างการยื้อแย่งปืน คุณอะห์หมัดถูกยิง 4-5 นัดที่แขนและไหล่ บาดเจ็บสาหัส แต่เขาสามารถแย่งปืน หรืออย่างน้อยก็เบี่ยงเบนความสนใจคนร้ายได้สำเร็จ ทำให้ตำรวจเข้าถึงตัวและวิสามัญคนร้ายได้ในที่สุด
ในช่วงแรก มีคลิปคุณอาห์หมัดถือปืนที่แย่งมาจากคนร้าย ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเขาคือหนึ่งในผู้ก่อเหตุ นี่คือปรากฏการณ์ "ม่านหมอกแห่งสงคราม" (Fog of War) ในยุคโซเชียลมีเดีย แต่โชคดีที่สื่อและตำรวจเร่ง "เช็กข้อเท็จจริง" และแก้ไขข้อมูลอย่างรวดเร็ว ยืนยันสถานะของเขาในฐานะผู้ช่วยเหลือ ไม่ใช่ผู้ทำลาย
#สื่อนำเสนออย่างไร?
การตรวจสอบพบว่ามีความแตกต่างอย่างชัดเจนในวิธีการที่สื่อตะวันตกจัดการกับอัตลักษณ์ของคุณอะห์หมัด เมื่อเทียบกับผู้ก่อเหตุ
นักวิเคราะห์ชี้ให้เห็นประเด็นที่น่าคิดว่า สื่อกระแสหลักมักจะ ไม่พูดถึง ความเป็น "มุสลิม" และ "อาหรับ" ของคุณอาห์หมัด ในขณะที่ถ้าคนร้ายเป็นมุสลิม อัตลักษณ์เหล่านี้จะถูกเน้นทันที นี่อาจไม่ได้เกิดจากเจตนาร้าย แต่อาจเกิดจาก "อคติโดยไม่รู้ตัว" (Unconscious Bias) ที่สื่อตะวันตกไม่คุ้นชินกับการนำเสนอเรื่องเล่าที่ "มุสลิมปกป้องชาวยิว" การกระทำของคุณอะห์หมัดจึงกลายเป็น "ความจริงที่น่าอึดอัด" (Inconvenient Truth) สำหรับคนที่ต้องการสร้างเรื่องเล่าความเกลียดชัง
เพื่อตอบโต้เรื่องนี้ ชุมชนมุสลิมและสื่อทางเลือกได้พยายามขยายเสียงและเรื่องราวของคุณอาห์หมัด เพื่อแสดงให้เห็นว่า "การก่อการร้ายไม่มีศาสนา และความเป็นวีรบุรุษก็ไม่มีพรมแดน"
นอกจากนี้ ยังมีการปล่อย ข่าวปลอม (Disinformation) ในโซเชียลฯ เช่น คลิปพลุไฟที่อ้างว่า "อิสลามิสต์" กำลังฉลองกราดยิง ซึ่งจากการเช็กข้อมูลพบว่า เป็นพลุฉลองคริสต์มาสหรือเทศกาลอื่นที่ไม่เกี่ยวกัน การชี้แจงนี้สำคัญมากเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเกลียดชังระลอกสองตามมา
#ผู้สูญเสียและผลกระทบ
โศกนาฏกรรมครั้งนี้มีผู้เสียชีวิต 16 ราย (รวมผู้ก่อเหตุ 1 ราย) และบาดเจ็บอีกประมาณ 43 ราย รวมถึงคุณอาห์หมัดด้วย เหยื่อในเหตุการณ์สะท้อนถึงความหลากหลายของสังคมที่ตกเป็นเป้าหมายของความเกลียดชัง ตั้งแต่เด็กหญิงผู้บริสุทธิ์วัย 10 ปี, ช่างภาพ, ผู้นำทางจิตวิญญาณ ไปจนถึง อเล็กซ์ เคลย์ตมัน ชายผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Holocaust Survivor) ที่กลับต้องมาจบชีวิตลงด้วยความเกลียดชังรูปแบบเดิมในศตวรรษที่ 21 ขณะพยายามปกป้องภรรยา
#เหตุการณ์นี้ทิ้งบทเรียนสำคัญให้แก่โลก:
ในวันที่ความมืดมิดจากความเกลียดชังปกคลุม แสงสว่างไม่ได้มาจากอาวุธหรืออำนาจรัฐ แต่มาจากความกล้าหาญของมนุษย์คนหนึ่งที่มองเห็นเพื่อนมนุษย์สำคัญกว่าความแตกต่างทางเชื้อชาติ วีรกรรมของคุณอะห์หมัดไม่ได้เป็นเพียงการช่วยชีวิตผู้คนในหาดบอนได แต่ยังเป็นการกอบกู้ความหวังและศรัทธาในมนุษยธรรมกลับคืนมาสู่สังคมโลกในยามวิกฤตอีกด้วย

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา