30 ส.ค. 2020 เวลา 12:59 • หนังสือ
สรุปหนังสือ เกิดเป็นกระต่ายต้องคิดให้ได้อย่างหมาป่า
Dave Trott ผู้แต่งเป็นนักโฆษณาระดับ Top ของโลก
ผู้เขียนหนังสือ 1+1=3 👉🏻https://www.blockdit.com/articles/5f4c64ff38d7bf0c9bf8651b
“ไม่มีปัญหาใดที่แก้ไม่ได้ ถ้าคุณหั่นมันจนชิ้นเล็กพอ”
เฮนรี่ ฟอร์ด
ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของปัญหา หั่นออกเป็นชิ้นเล็กๆ ให้เห็นว่าอะไรเป็นจุดสำคัญ
ถ้าเปลี่ยนมันแล้ว ทุกสิ่งอย่างจะเปลี่ยนตามไปด้วย
บทเรียนที่เราได้พบเองย่อมทรงพลังกว่าการท่องจำเหมือนนกแก้วนกขุนทอง
ไม่มีสิ่งไหนดำรงอยู่ในความว่างเปล่า ทุกสิ่งล้วนดำรงอยู่ในบริบทแวดล้อมทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งไหนดีหรือแย่โดยตัวมันเอง มันแค่ดีกว่าหรือแย่กว่าเมื่อเปรียบกับอะไรบางอย่าง
เมื่อเผชิญกับปัญหาที่แก้ไม่ตก จงย้อนกลับไปที่จุดเริ่ม ต้นและเปลี่ยนบริบทแวดล้อมเสีย
👉🏻วิธีคิดที่อยู่นอกตำรา
✅ความคิดคือสื่อกลางของมนุษย์
การคิดสิ่งที่ไม่มี แล้วดัดแปลงสิ่งที่มีอยู่แล้วให้เกิดขึ้นมา โดยจินตนาการจากในหัวก่อน แล้วลงมือทำ
ความคิดสร้างสรรค์คือการสร้างบางสิ่งขึ้นมาจากความว่างเปล่า
✅ความรู้ของเราจำกัดอยู่แค่สิ่งที่ตาเห็น และข้อจำกัดของประสบการณ์ของเรา
สิ่งที่เรายังไม่รู้เราก็จะคิดว่ามันไม่มีอยู่จริง
เมื่อเรารู้แล้วก็คิดว่าคนอื่นจะรู้เหมือนกัน แต่ก็มีบางครั้งที่ไม่มีใครรู้อะไรเลย
✅การพูดว่าฉันไม่รู้ เปิดทางไปสู่สิ่งใหม่ๆ
(เราคิดว่าการออกความเห็นเกี่ยวกับทุกเรื่องได้ทันทีเป็นจุดแข็ง ความจริงมันปิดกั้นไม่ให้เราออกค้นหา)
✅ความคิดสร้างสรรค์อย่างแท้จริง คือความมุ่งมั่นที่จะทำให้เกิดขึ้นและทำออกมาให้ได้
(เรามีความคิดดีๆ แต่กลับหยุด ไม่ทำ รอคนอื่นมาทำให้มันเป็นจริง)
✅สิ่งที่ทำให้นักคิดสร้างสรรค์ต่างจากนักออกแบบก็คือ นิสัยชอบตั้งคำถาม “ทำไม”
👉🏻ชีวิตคือเกมที่มีคนแพ้คนชนะ
1
✅การตลาดก็เหมือนการทำสงคราม เป็นการแข่งขันที่ต้องมีคนแพ้คนชนะ ถ้าอยากได้อะไร ก็ต้องแย่งมาจากคนอื่น ใครสักคนจะเป็นผู้ชนะก็ต่อเมื่อมีผู้แพ้
การแข่งขันก็เหมือนการดวลมีดในตู้โทรศัพท์
ไม่มีที่ให้หลบ ไม่มีที่ให้ยืนดูเฉยๆ
ทุกคนต้องเลือก
เลือกว่าจะเป็นนักล่าหรือเป็นเหยื่อ
เพราะถ้าไม่เลือก คนอื่นก็จะเลือกให้
adam morgan
✅ไอไซยาห์ เบอร์ลิน นักปรัชญาชาวอังกฤษกล่าวว่า อิสรภาพมีอยู่ 2 แบบ เชิงบวกกับเชิงลบ
เชิงบวก=การมีอิสระที่จะทำสิ่งต่างๆ
เชิงลบ=การเป็นอิสระจากสิ่งต่างๆ
ยิ่งมีอิสรภาพแบบหนึ่งมากเท่าไหร่ เรายิ่งมีอีกแบบหนึ่งลดลงเท่านั้น
✅สสารไม่มีวันสูญหาย หัวใจสำคัญของเกมที่ต้องมีคนแพ้คนชนะ สิ่งใหม่ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นเอง ถ้าอยากได้ ก็ต้องเอามันมาจากที่ไหนสักแห่ง
1
✅ยิ่งเยอะก็ยิ่งแย่ ไม่มีทางยัดอะไรจนเกิน100%ได้
เหมือนแก้วที่มีน้ำอยู่เต็ม หากเติมอะไรลงไปอีกน้ำก็จะล้นออกมา
มันเป็นแค่การแทนที่ ถ้าเติมรสเค็มลงในรสหวาน จะไม่ได้ 200% แต่จะได้รสเค็ม 50% และรสหวาน 50%
ขีดจำกัดอยู่ที่ร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอ
✅ยิ่งมีสิ่งหนึ่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีอีกสิ่งหนึ่งน้อยลงเท่านั้น
การสื่อสารจึงต้องมีความแน่วแน่
การสื่อสารที่ซับซ้อนยุ่งเหยิง จะทำให้ประเด็นหลักแตกออกเป็นประเด็นเล็กประเด็นน้อย
ซึ่งไม่ช่วยส่งเสริมการสื่อสาร แถมยังบั่นทอนพลังของประเด็นหลักอีกด้วย
การเอารถขุดถนนมาเชื่อมเข้ากับรถเฟอร์รารี่ไม่ช่วยให้ได้รถที่ขุดถนนด้วยความเร็วเกิน 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่จะกลายเป็นบางสิ่งที่ทำหน้าที่ไม่ได้เรื่องทั้งสองอย่าง
จึงต้องตัดสินใจว่า อะไรคือสิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริง ไม่ใช่นึกอะไรออกก็อัดลงไป
👉🏻โฆษณา 90% คว้าน้ำเหลว
✅โจทย์ที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ว่า โฆษณาของเราสื่อสารได้อย่างเหมาะสม ได้ผลหรือเปล่า
แต่อยู่ที่ว่า ต้องทำอย่างไรให้ผู้คนสังเกตเห็นต่างหาก
✅ทุกสิ่งล้วนเป็นโจทย์ในการทำโฆษณาได้
ให้เราได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์
ทำให้คนอื่นคิด ทำในสิ่งที่เราต้องการ
มัวแต่นะ่งเรียนแล้วรอให้คนอื่นมาสรุปประเด็นสำคัญให้ ก็ไม่ใช่มืออาชีพ
✅คนส่วนใหญ่ชอบจินตนาการมากกว่าเหตุผล มีพลังกว่า
การทำให้เขาสนใจคือ ต้องเข้าไปในโลกของเขา สร้างในสิ่งที่เขาพร้อมจะเชื่อ ไม่ใช่สิ่งที่เราเชื่อ
นี่แหล่ะคือสิ่งที่เราจะทำโฆษณา
✅เรามักประเมินสิ่งที่สามารถนับได้ เช่น เวลาทำงาน แต่ไม่ประเมินว่างานดีแค่ไหน ซึ่งความจริงต้องให้คุณค่ากับ คุณภาพ มากกว่าปริมาณ
✅จุดเริ่มต้นสำคัญ ให้มองในมุมของคนไม่รู้
เพราะพอเรารู้เรื่องใดแล้ว เราจะคิดว่าคนอื่นรู้แล้ว ซึ่งเขาต้องการสิ่งที่เขาไม่รู้เหมือนเราในตอนแรก
✅การโฆษณาคือสิ่งที่ช่วยให้เราได้เปรียบกว่าคู่แข่ง แต่ไม่ช่วยให้ขายสินค้าได้
ทำธุรกิจให้มองไกล ๆ ไม่ใช่จะเอาแต่กำไรระยะสั้นอย่างเดียว
👉🏻จะวิ่งหนีหรือจะเรียนรู้จากมัน
✅ถ้ารับมือกับการถูกปฏิเสธไม่ได้=ว่าจำกัดโอกาสประสบความสำเร็จของตัวเอง
สำเร็จมาก ก็ต้องยอมที่จะถูกปฏิเสธมากเช่นกัน
✅ คำวิจารณ์จะทำให้เราเติบโต
เราจะเป็นคนอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับว่า เราเปิดรับการเรียนรู้และการเติบโตมากแค่ไหน
คนเกียจคร้านไม่อยากเติบโต แค่อยากให้มีคนมาบอกว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นถูกต้อง
คนที่มีดีในตัวที่อยากเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เขามองหา ไม่ใช่คำชมแต่เป็นคำวิจารณ์
✅การคิดแก้แค้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น
เหมือนความพยายามเหยียบคันเร่งโดยที่เท้ายังคาอยู่ที่เบรก
✅เราสามารถเอาคำดูถูกมาเป็นพลังผลักดันให้เราประสบความสำเร็จ
👉🏻ยิ่งน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น
✅ยิ่งตัวเลือกมาก ยิ่งจัดการยาก
การจัดกลุ่ม=จัดการกับความคิด
ประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่การเพิ่มตัวเลือก
แต่เป็นการจัดการตัวเลือก
✅หากมีใจที่ปิดกั้นจะไม่เกิดการเรียนรู้
ไม่มีอะไรถูกหรือผิด มันขึ้นอยู่กับมุมมองนั้นเป็นของใคร
✅คิดก่อนว่าอะไรคือสิ่งสำคัญและทรงพลังที่สุด แล้วค่อยพูดออกมา (อาจจะเขียนเรียบเรียงออกมาก่อน)
✅ไม่ว่าจะใช้สื่อประเภทใด เราสื่อสารพูดคุยให้กับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น
👉🏻รสนิยมคือศัตรูของความคิดสร้างสรรค์
✅ศิลปินที่ใช้ชีวิตด้วยการหยิบฉวยทุกสิ่งที่ต้องการจากทุกหนทุกแห่ง จะมีแรงผลักดันให้สร้างสรรค์ผลงาน และไม่มีเวลามานั่งกังวลกับสิ่งที่ทำลงไป เพราะยังมีอย่างอื่นให้ทำอีกเยอะ
กล้าก้าวข้ามความกลัวที่มีต่อความคิดเห็นของผู้อื่น
✅งานเขียนที่ยอดเยี่ยม =งานเขียนที่ทำให้เรื่องซับซ้อนกลายเป็นเรื่องง่าย
✅ความไม่สบายใจ=ประสบการณ์ใหม่ๆ
ไม่เคยทำ เป็นเรื่องธรรมดา มันขึ้นกับว่าเราจะวิ่งหนี หรือจะเรียนรู้จากมัน เป็นแค่ความรู้สึก
✅เมื่อเราเลือกจะทำ ไม่ว่าเกิดจากความคิดเราหรือเชื่อผู้เชี่ยวชาญ เกิดอะไรขึ้นเราเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด
✅เราควรเปิดใจให้กว้างเสมอ
การตั้งข้อสงสัยกับการมองโลกในแง่ร้ายนั้นต่างกัน
ความรู้เกิดจากการตั้งข้อสงสัย
อคติและความเขลาเกิดจากการมองโลกในแง่ร้าย
การตั้งข้อสงสัยคือการบอกว่า “ฉันไม่เชื่อ จนกว่าคุณจะพิสูจน์ให้เห็น”
ส่วนการมองโลกในแง่ร้ายคือการบอกว่า “ฉันไม่เชื่อ ถึงแม้คุณจะพิสูจน์ให้เห็นแล้วก็ตาม”
✅อย่าพยายามทำตัวให้ใครชอบ
ถ้าอยากหลุดจากวิธีคิดแบบเดิม ๆ เตรียมใจได้เลยว่าจะมีคนต่อต้านและไม่ชอบสิ่งที่คุณทำ
✅ความแตกต่างเป็นที่มาของพลัง และผู้คนต้องการสิ่งแปลกใหม่
👉🏻ศิลปะแห่งการทำสงคราม
✅ทำตามทุกคำที่พูด
ไม่อย่างนั้นการขู่จะกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญ
✅เราไม่มีทางมั่นใจหรือประสบความสำเร็จได้เลยถ้าไม่รู้จักเสี่ยง
เราจะไม่สามารถทำอะไรแหวกแนวได้ หากเราแสวงหาการยอมรับ
ถ้าเราเรียนรู้ที่จะไม่สนใจความคิดเห็นของตัวเอง(ค.คิดเรามักขวางเราเอง) เราก็จะทำทุกอย่างได้ตามต้องการ
✅ทีมจะเดินหน้าไปได้อย่างราบรื่นเมื่อทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
สำรวจว่า เรากำลังทำงานกับใคร พวกเขาเก่งเรื่องอะไร ให้พวกเขาทำอะไรได้บ้าง แล้วก็ไว้ใจพวกเขา (คนเราเก่งไม่เหมือนกัน)
✅เอาตัวเองเป็นเดิมพัน เราจะทำอย่างที่ทำไหมถ้ารู้ว่าการเอาแต่ใจอาจทำให้ตัวเองต้องเสียบ้าน เสียลูกค้าทั้งหลายจะยังทำแบบนั้นหรือเปล่า
✅คนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ ไม่เพียงแค่มีส่วนร่วม แต่พวกเขาทุ่มสุดตัว
✅นักยุทธศาสตร์ชั้นยอดจะบอกว่า ต้องทำอะไร แล้วปล่อยให้นักยุทธวิธีหาคำตอบว่า จะทำอย่างไร
✅ถ้าอยากจะเอาชนะคนอื่นๆ ก็ต้องพยายามมากกว่าหลายเท่าตัว สนใจทุกรายละเอียด
👉🏻ประโยชน์ต้องมาก่อนรูปลักษณ์
✅อย่าเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปตามประโยชน์ใช้สอยที่ไม่เหมาะ อย่าซื้อปืนดีๆ เพื่อมาตัดลำกล้องออก
✅ รายละเอียดต่าง ๆ ที่เราใส่ใจ อาจจะทำให้เราชนะ
✅พูดให้น้อยฟังให้มาก มองภาพรวม
ทุกคนมักเชื่อว่าของตัวเองสำคัญที่สุด แต่ไม่มองภาพรวม
✅เราจะหาทางออกที่ถูกต้องไม่ได้เลยหากข้อสรุปผิดพลาด
✅ประสิทธิภาพ =การทำสิ่งต่างๆ อย่างถูกต้อง
ประสิทธิผล =การทำสิ่งที่ถูกต้อง
✅รวบรวมข้อมูล ทำงานเป็นทีม เปิดรับความคิดเห็นต่าง ๆ จะทำให้เราประสบความสำเร็จ
✅อย่าคิดเพียงแค่ว่าจะทำให้เหนือกว่าคนอื่น ให้พลิกเกมไปทั้งกระดานเลย
👉🏻ความคิดของมนุษย์คือสื่อกลาง
✅เราจะอยากได้บางสิ่งบางอย่างมากที่สุดก็ตอนที่รู้ว่าตัวเองจะไม่ได้สิ่งนั้น
✅แทนที่จะคะยั้นคะยอให้เขาใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา ให้เขามีโอกาสเลือกในสิ่งที่เขาชอบ เดี๋ยวเขาก็จะกลับมาซื้อผลิตภัณฑ์ของเราเอง
✅สิ่งที่เรากลัวมักจะเลวร้ายกว่าความเป็นจริงคือเหตุผลที่ว่าทำไมเสียงถึงมีพลังมากกว่าภาพ ทำไมข้อเสนอแนะถึงมีพลังมากกว่าคำบรรยาย
✅จินตนาการเป็นคนรับใช้ที่ยอดเยี่ยม แต่เป็นเจ้านายที่ไม่ได้เรื่อง
เราต้องควบคุมจินตนาการของเราให้ได้ อย่าถูกจินตนาการครอบงำ
✅ความรู้จำกัดอยู่ที่สิ่งที่เรารู้และเข้าใจ
จินตนาการรวมทุกสิ่งที่เรายังไม่รู้และไม่เข้าใจ
✅โลกไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด แต่เป็นเราที่ตีความและแต่งเติมเรื่องราวไปเอง
✅เราไม่ได้มองสิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็น แต่มองอย่างที่เราเป็นต่างหาก ตีความเอง
👉🏻การเดินทางคือจุดหมาย
✅ถามคำถามตัวเองว่า “ถ้าทุกอย่างสิ้นสุดลง มีอะไรที่เสียดายหรือเปล่า”
ถ้ามี คำถามต่อไปคือ “แล้วทำไมเราจึงไม่ทำตอนนี้ล่ะ”
✅เรามักจะเชื่อในสิ่งที่ “น่าจะ” ได้ผล มากกว่าสิ่งที่ได้ผลจริง ๆ
✅ถ้ามัวแต่พยายามหลีกเลี่ยงความล้มเหลว ก็จะไม่ประสบความสำเร็จ
✅อยากเป็นแบบไหนมากกว่าระหว่าง “รอให้คนอื่นแต่งตั้ง” หรือ “แต่งตั้งตัวเอง”
✅คนทำอะไรมีเหตุผล มักจะไม่ค่อยได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่นักหรอก
✅การเผชิญหน้ากับความโกรธด้วยความโกรธไม่ใช่วิธีที่ดี
ให้เผชิญกับความโกรธด้วยความเข้าใจ ด้วยเหตุและผล จะทำให้ความโกรธสลายตัวไปเอง เพราะปราศจากเชื้อไฟที่เติมเข้ามา
✅เวลาที่เราผิดหวัง จำไว้ว่า ยังมีคนที่แย่กว่าเราอีกเยอะ
✅เวลาเรายอมรับความจริง มีพลังมากกว่าปฏิเสธความจริงในเรื่องนั้น
✅ไม่ว่าอะไรก็ใช้เป็นสื่อได้ เรามีอำนาจการเปลี่ยนแปลงอยู่ในมือ
✅ความกล้าที่จะเสี่ยง + ความคิดสร้างสรรค์ = ความคิดแบบนักล่า
✅เราต้องมองหาวิธีที่แปลกใหม่ คิดให้เหนือชั้นกว่าคนอื่น
ความกล้าที่จะเสี่ยง+ความคิดสร้างสรรค์ =การคิดแบบนักล่านั่นเอง
เพิ่มการพัฒนาตัวเองวันละนิด
เหมือนเติมวันละ 1 องศา
1 วัน อาจจะไม่มีอะไร
10 วันไม่มีความต่าง
แต่ 100 วันล่ะ 1000 วันล่ะ
จะเปลี่ยนแปลงไปโดยแทบไม่เห็นร่องรอยเดิม
มาร่วมกันหา1องศา เพื่อเติมเต็มวงล้อชีวิตให้สมบูรณ์ไปกับเพจองศาที่หายไป
👍🏻เลื่อนนิ้วโป้งกด Like กด Share ให้จูลสักนิด..เพื่อชีวิตที่มีกำลังใจให้จูลนะคะ..ขอบคุณค่ะ
💎หากชอบบทความ..สามารถมอบเพชรเป็นขวัญและกำลังใจให้จูลได้นะคะ^^
⭐️ติดตามที่ Blockdit
❤️ติดตามที่ Youtube
💙ติดตามที่ Facebook
#เกิดเป็นกระต่ายต้องคิดให้ได้แบบหมาป่า #สรุป #สรุปหนังสือ #รีวิว #welearn #Dave Trott

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา