27 ต.ค. 2020 เวลา 11:12 • ไลฟ์สไตล์
มุกเก่าวันนี้ไม่ต้องการเห็นความรุนแรงเกิดในประเทศไทย
ดังนั้นจึงขอออกตัวว่า บทความนี้ ผมมองในมุมมองของผู้สังเกตการณ์นะครับ ไม่มีแนวทางในการชักนำแต่อย่างใด
หากมีผิดกฏ หรือกระทบต่อความมั่นคง ส่งรายงานลบได้นะครับ
กัมพูชามีส่วนร่วมในการพนันเป็นหลัก
เมียนมาเกี่ยวข้องกับยาเสพติดเป็นหลัก
ไทยมีส่วนร่วมในการท่องเที่ยวเป็นหลัก
และเวียดนามมีส่วนร่วมในทุกๆอย่าง 555
หลังจากที่ผมเคยเขียนไว้ว่า...ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม กลุ่มต่างๆ
ยังคงเข้าร่วมและความขัดแย้งต่างๆในสังคมไทยก็มาบรรจบกัน
ยกตัวอย่างเช่นองค์กร LGBT ที่ต้องการแต่งงานของเกย์เป็นกฎหมาย​ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กลับจุดไฟลงที่กษัตริย์ด้วยสโลแกนของพวกเขาคือ"ประเทศเป็นของประชาชนที่ไม่ได้เป็นของพระมหากษัตริย์ "
รัฐบาลยังเปิดกว้างมากและถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นวิธีการ "ส่งออกและแลกเปลี่ยน" ประชาชนมองว่ามันเปิดเผยมากขึ้น และถ้าพวกเขามีเงินพวกเขาก็ไม่ทำเรื่องเลวร้าย
ซึ่ง​ผมค้นดูและพบว่าในประเทศไทย​ พวกเขา(LGBT )บอกว่าพวกเขามี 9 เพศด้วยกัน แต่อย่าถามผมๆจำไม่ได้ และไม่เชี่ยวชาญ
พูดออกไปคุณอาจไม่เชื่อว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่อนุรักษ์นิยมคนส่วนใหญ่ไม่สามารถยอมรับได้กับเด็กผู้หญิงที่แต่งตัวที่เปิดเผยผิวกายมากเกินไป
แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงเรื่อง shemales ผมก้อไม่สามารถกลั้นความรู้สึกซุบซิบนินทาได้
แม้ว่าจะมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และผลการวิจัยทางสถิติมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็ยืนยันคำกล่าวอ้างที่มีมายาวนานว่า"การตัดหำช่วยให้สุขภาพกายและใจดีขึ้น"
แอนโดรเจนในเพศชายไม่เพียง แต่ทำให้ผู้ชายศีรษะล้านและมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตในระยะต่อมาเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดโรคหัวใจและโรคอื่น ๆ อีกด้วยนี่คือสาเหตุที่โดยทั่วไปแล้วเพศชายมักมีอายุสั้นกว่าเพศหญิง...ยิ่งอายุมากก็ยิ่งมีความไม่สมดุลย์
อย่างไรก็ตามเด็กที่มาจากครอบครัวที่ยากจนในประเทศไทยอาจมีชีวิตที่ยุ่งยากขึ้นหลังจากการตัดอัณฑะ และพวกเขาจำเป็นต้องฉีดเอสโตรเจนจำนวนมากเพื่อรักษาลักษณะทางเพศของผู้หญิง แต่ฮอร์โมนเหล่านี้จะกลับทำให้อายุขัยไม่ยืนยาว
โดยเฉพาะในหมู่คนไทยข้ามเพศจำนวนมากที่อยากเป็นผู้สาว แต่จะแค่เก็บเงินไว้เปลี่ยนเพศก็เพียงพอ และพวกเขาไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร....งั้นเรามาที่ประเด็นขัดแย้งกันดีกว่า...
-------ประเทศ​เราเปิดกว้าง​ขนาดนี้-------
-----แล้วทำไมประเทศไทยถึงยุ่งเหยิง-------
ผมเริ่มตรวจสอบข้อมูลทุกที่และทันใดนั้นก็พบว่า
ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
--------แล้วตอนนี้ล่ะคุณทำอะไร?--------
ถ้าคุณรู้จักประเทศไทยจริงๆ
คุณจะรู้ว่าประเทศนี้มีประเพณีการแสดงออกได้อย่างพอเหมาะ​พอดี
ตั้งแต่ตอนที่ผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย มีคน"นิยม"
ใส่ชุดสีเหลืองและพบคนรากหญ้าใส่ชุดสีแดง
แล้วก็ผลัดกันเดินไปตามท้องถนนการเลือกตั้งทั่วไป
เกือบทุกครั้งไม่สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับคนไทย"ทั้งหมด"ได้
----เหตุผลไม่ซับซ้อนสำหรับในประเทศไทย-----
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการแบ่งขั้วอย่างมาก
และระดับของการแบ่งขั้วนั้นอยู่ในอันดับต้นๆของโลก เลยทีเดียว
ความแตกต่างนั้นใหญ่เกินกว่าจะบรรลุฉันทามติได้
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้จักตัวแทนของกันและกันดี
อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังเป็นประเทศพุทธศาสนา
ที่มีความเชื่อทางศาสนาควบคู่ไปกับประเทศในเขตร้อน
ในบริบทนี้ ทุกครั้งที่มีปัญหาในการเลือกตั้ง
คนครึ่งหนึ่งคิดว่าบุคคลที่ได้รับเลือกไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง(ประโยชน์)กับพวกเขา
เพราะโดยพื้นฐานแล้วมันไม่มีอะไรมากไปกว่า
การเลือก(ผลประโยชน์)ของคนสองประเภท
อย่างแรกคือ ตัวแทนระดับกลางและระดับบน
คนประเภทนี้รู้สึกว่าสถานะของการแบ่งขั้วในปัจจุบันค่อนข้างดี
และทุกคนยังคงผสมผสานกัน
คนเหล่านี้มักจะถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจาก "คนเสื้อแดง"
ที่ก่อตั้งโดยคนยากจน คนจนต้องการให้รัฐบาลมีลักษณะเป็นรัฐบาล
และทำอะไรเพื่อคนรากหญ้าเช่นการให้ประกันสุขภาพขั้นพื้นฐาน
อีกคนเป็นตัวแทนระดับล่าง อย่างทักษิณ ยิ่งลักษณ์
ที่ต้องการรับใช้ประชาชนและเปลี่ยนแปลงสถานการณ์
ที่โชคร้ายในประเทศไทย (หรือเปล่าว???)
แต่เงินที่ให้บริการประชาชนมาจากไหน? ชนชั้นกลางในเมืองจะต้องถูกโจมตีจนเสียผลประโยชน์ดังนั้น "คนเสื้อเหลือง" ที่ประกอบด้วยชนชั้นกลางในเมืองจึงออกไปตามท้องถนนและ.......เดินประท้วงตามท้องถนน
ทุกครั้งก็คือ "ไม่รับผลการเลือกตั้ง" -> "เดินประท้วงตามท้องถนน" -> "เลือกตั้งใหม่" -> "อีกกลุ่มไม่รับผลการเลือกตั้ง" -> "เดินประท้วงต่อไปที่ถนน" (อีกแล้ว)
จนกระทั่งทหารต้องกระโจนออกมาและกล่าวว่าคุณ หยุดสร้างความเดือดร้อน แล้วรัฐบาลทหารก้อเข้ามามีอำนาจ มันเป็นวงจรที่แปลกมากตั้งแต่ประเทศไทยใช้ระบอบประชาธิปไตยมันก็มีคุณธรรมเช่นนี้และไม่ได้มีความก้าวหน้าใดๆ ในรอบกว่า 80 ปี
ประเทศตะวันตกเรียกประชาธิปไตยแบบนี้ในประเทศไทยว่าประชาธิปไตยครึ่งใบ
เด็กเป็นเพียงเด็ก หากเด็กไม่มีความสุขเขาจะสร้างปัญหาและเขาไม่มีสติที่จะ "ตระหนักถึงการวางเดิมพันและการพ่ายแพ้"
อย่างไรก็ตามไม่น่าแปลกใจที่ประชาธิปไตยในสหรัฐอเมริกา มันเป็นกระบวนการที่แท้จริง ในตอนแรกให้สิทธิในการลงคะแนนเสียงแก่ชายผิวขาวที่ร่ำรวยเท่านั้น
ต่อมาได้แพร่กระจายไปยังผู้หญิง
ต่อมามีคนผิวดำรวมอยู่ด้วย
มีกระบวนการเรียนรู้ทุกคนต้องเรียนรู้ว่าผู้ใหญ่ที่ร่ำรวยควรปฏิบัติอย่างไร ในระบอบประชาธิปไตย
----ในทางกลับกันวัฒนธรรมสหรัฐอเมริกาได้ขยายออกไป-----
ในตอนแรกก็ออกปล้นชาวอินเดียเพื่อชิงดินแดน
จากนั้นก็คือเม็กซิโก
ต่อจากนั้นก็ยุโรป
และในที่สุดก็เป็นบัลลังก์เหล็กของอังกฤษ
โดยรวมแล้วเป็นแนวโน้มของการขยายตัวมาโดยตลอด
มันจึงไม่มีปัญหาใหญ่ว่าจะเลือกใคร
สถานการณ์ของทุกคนดีขึ้น...หลังจากที่ได้รับเลือก
จากผู้นำแต่ละคน และเนื่องจากดีขึ้น..ทุกคนๆจึงจะไม่ถูกคดโกง
นี่เป็นสาเหตุที่ในช่วงสองศตวรรษที่ผ่านมา
การเลือกตั้งของสหรัฐฯโดยทั่วไป...ไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆ
ยกเว้น....ฝ่ายใต้ที่ดันไม่รู้จักลินคอล์นในก่อนสงครามกลางเมือง
แต่ครั้งอื่นๆ ผมถือว่าเป็นเรื่องปกติ...
จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ผลประโยชน์ของนายทุนชาวอเมริกัน มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ผลประโยชน์ของคนที่เหลือก็มีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีปัญหาใหญ่ๆ เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา
การแบ่งชนชั้นแต่ละคนต่างก็พูดคำพูดของตัวเอง
และมันก็เริ่มแตกระดับออกไปจนเป็นที่น่าเหลือเชื่อ
---จะเห็นได้ว่าเบื้องหลังประเด็นทางการเมืองคือประเด็นทางเศรษฐกิจ---
---มาดูในประวัติศาสตร์ทั้งหมดของประเทศไทย-----
ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ไม่ได้เติบโตขึ้นและถูกควบคุมโดยคนกลุ่มเล็ก ๆ
นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้คนปฏิเสธที่จะยอมรับทุกครั้งหลังการเลือกตั้งทั่วไป
ประเทศไทยตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายมาโดยตลอด
หลังจากไม่กี่ปีของภาวะปกตินี้ และเมื่อเกิดความโกลาหลก็เรียกทหารออกมา
นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของไทยเป็นสมาชิกของกองทัพในการรัฐประหารในปี 2557 เขาได้แก้ไขรัฐธรรมนูญหลังจากเข้ารับตำแหน่งเพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถเลือกตั้งได้ในครั้งต่อไป
-----ดังนั้นประเทศไทยจึงเป็นประเทศที่อยู่ในจุดเปลี่ยนเสมอ-----
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาความต้องการจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก
ต้องขายข้าวและยางพาราในต่างประเทศเพื่อขอรับอัตราแลกเปลี่ยนที่จำเป็น
อย่างไรก็ตามชาวต่างชาติสามารถเดินทางมาที่ประเทศไทย
เพื่อรักษาการจ้างงานและ รักษาทางการเงินขั้นพื้นฐาน
ในปีนี้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ช่วงหยุดการเติบโตโดยธรรมชาติ(โควิด-19)
แล้วผู้คนซื้อของในประเทศไทยน้อยลง
และไม่มีใครไปเที่ยว
ด้วยเหตุนี้เศรษฐกิจไทยจึงอาจแย่ที่สุดในเอเชีย
คุณจะได้ค้นพบว่าปัญหาใหญ่ที่สุดของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มันไม่ใช่ "คนตาย" และอัตราการเสียชีวิตไม่สูง แต่กลับเป็น "อนาคตที่คาดเดาไม่ได้" ประเทศต่างๆไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะอยู่นานแค่ไหน หรือจะทำให้สูญเสียมากแค่ไหน
ที่สำคัญการลงทุนและการบริโภคของทุกคนส่วนใหญ่มักจะเป็นแบบอนุรักษ์นิยม
สถานการณ์นี้ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยตกต่ำลงอย่างมาก
นักท่องเที่ยวจีนไม่ได้มาท่องเที่ยว แล้วนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นและเกาหลีก็กลัวที่จะเดินทางไปยุโรปและสหรัฐอเมริกา
และ...สิ่งนี้ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยก็ไม่สามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนได้อย่างไม่เคยปรากฏนี้มาก่อน โรงแรมห้างสรรพสินค้าสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว บริษัท ท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมทางเพศทุกแห่งในประเทศไทย
ตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ธุรกิจหลายพันแห่งปิดตัวลง
ผู้คนจำนวนมากที่ทำงานในเมือง เดินทางกลับไปบ้านเกิด
80% ของคนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทยตอนนี้ว่างงาน
ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่า GDP จะหดตัว 8.1% ในปี 2563
ซึ่งเป็นประวัติการณ์ของประเทศไทย (รุนแรงกว่าวิกฤตการเงินปี 2541)
ไม่น่าแปลกใจที่ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศที่มีผลการดำเนินงานแย่ที่สุดในเอเชียในปีนี้ คาดว่าปีนี้มีคน 8.4 ล้านคนตกงานและอัตราการว่างงานของไทยทุบทำลายสถิติในอดีตจนหมดสิ้น
จากภูมิหลังนี้ผู้คนจากทั่วทุกมุมทุกชีวิตในประเทศไทย ไม่พอใจอย่างมาก
---โดยเฉพาะนักศึกษาที่พวกเขาตกงานทันทีที่จบการศึกษา----
อย่างที่ทราบกันดีว่าชนชั้นที่ร่ำรวยในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นคนจีนหรือมีเชื้อสายจีน แต่ไม่มีความสัมพันธ์กับจีนเช่นพี่น้องตระกูลยิ่งลักษณ์
เช่นเดียวกับในประเทศไทยคนรวยเต็มใจที่จะจัดตั้งพรรคการเมืองบางพรรคแล้วปล่อยให้พรรคเหล่านี้มีส่วนร่วมในการเลือกตั้งทั่วไป เช่นเดียวกับพี่น้องยิ่งลักษณ์
พี่น้องยิ่งลักษณ์เป็นยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมของไทยและต่อมาได้ตั้งพรรคการเมืองเพื่อไปสู่การเลือกตั้งทั่วไป ให้คำขวัญอีกคำว่า "ปกป้องเพื่อคนรากหญ้า" และคนยากจนจึงสนับสนุนไปโดยธรรมชาติ
นี่ก็เป็นฉากในประเทศไทยเช่นกัน..คนจนและนายทุนรายใหญ่ปะปนอยู่วันยังค่ำ
คนจนเหล่านี้สวมชุดแดงทุกครั้งที่มาชุมนุมกันเรียกว่า "คนเสื้อแดง"
คนชั้นกลางในประเทศไทยเกลียดทุกนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อคนจน (ถ้าผลประโยชน์ไม่ใหญ่ขึ้นต้นทุนนโยบายเหล่านั้นก็จะต้องแบกรับไปด้วย) พวกเขามักจะ "สบายใจกับสภาพที่เป็นอยู่" รวมตัวกันสวมเสื้อผ้าสีเหลืองเรียกว่า "คนเสื้อเหลือง"
นายทุนยิ่งลักษณ์เข้ามามีอำนาจด้วยการสนับสนุนของคนยากจนและถูกคนเสื้อเหลืองขับไล่ในปี 2557
หลังจากนั้นปี 2557 รัฐบาลทหารเข้ามามีอำนาจและแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยปิดกั้นไม่ให้พรรคการเมืองอื่นเข้ามามีอำนาจ
ปัจจุบันประชาชนตกอยู่ในความคับแค้นและนายทุนต้องการมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งทางการเมือง แต่ถูกปิดกั้นโดยกองทัพและทุกคนก็พร้อมที่จะเคลื่อนไหว
ในช่วงเวลาต่อมา ในตอนแรกความไม่ชอบกษัตริย์ของคนหนุ่มสาวถูกกล่าวขานกันในโซเชียลมีเดีย ต่อมากระแสก็รวมตัวเป็นแม่น้ำสายเล็กและแม่น้ำสายเล็กก็กลายเป็นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว
ในที่สุดก็ไม่สามารถระงับความต้องการที่จะไปที่ท้องถนน
ลึกๆ ภายใต้การยุยงของบางคน เขาจึงพากันไปที่ท้องถนน...
เมื่อเห็นเช่นนี้ทุกคนก็เข้าใจดีว่าประเทศไทยเป็นเช่นเดียวกับเบลารุส
โดยพื้นฐานแล้วการพัฒนาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ได้ปกปิดความขัดแย้งภายในโดยธรรมชาติ
เมื่อการพัฒนาหยุดชะงัก แล้วความขัดแย้งก็....เกิดขึ้นทันที
เท่าที่ผมทราบหลายคนบอกว่าสหรัฐอเมริกาอยู่เบื้องหลังนี่ก็เป็นไปได้
เท่าที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกาทำเรื่องเลวร้ายมากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
และประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งผลงาน(หรือเปล่า)​
แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้อีกเหมือนกันที่ไทย ปากีสถานและฟิลิปปินส์
เป็นพันธมิตรที่สำคัญที่สุดของสหรัฐอเมริกาในเอเชีย(รอดตัวแล้วตู)
นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของสงครามเย็นความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและไทยก็ดีมาก
และได้ร่วมกันปกป้องเวียดนามและจีน นี่คือเหตุผลที่ผมได้กล่าวไว้ในบทความก่อนหน้านี้ว่า
เวียดนามบุกกัมพูชา และสหรัฐฯก็เข้ามา
ส่วนจีนก็เป็นห่วงว่าเวียดนามจะทำลายกัมพูชาและเอาชนะไทยได้
แต่ในความเป็นจริงเวียดนามได้เตรียมการไว้เช่นนั้นจริงๆ
และถูกขัดขวางโดยการตอบโต้ด้วยการป้องกันตนเองในปี 2522 ต่อเวียดนาม
ทหารไทยเป็นป้อมปราการที่สำคัญของสหรัฐอเมริกาในเอเชียมาโดยตลอดกองกำลังจำนวนมากได้รับการฝึกฝนโดยตรงจากกองทัพสหรัฐและจัดหาฐานทัพให้กับกองทัพสหรัฐเป็นเวลานาน
---ดังนั้นจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่สหรัฐฯจะมาป่วนประเทศไทย---
เว้นแต่จะมีความลับแปลก ๆ ที่ต้องการผลักดันหอคอยของตัวเองให้พังลงมา นอกจากนี้เรารู้สึกว่าสหรัฐฯกำลังสร้างปัญหาอยู่เบื้องหลัง
และคนไทยหลายคนคิดว่าประเทศของเรามีปัญหาเพราะคนที่อยู่เบื้องหลังปัญหาส่วนใหญ่ยกตัวอย่างเช่น ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่กระโดดขึ้นอย่างแข็งกร้าวที่สุดในครั้งนี้
ในส่วนของอินเทอร์เน็ตที่บอกว่าเหตุการณ์ในประเทศไทยมีความคล้ายคลึงกับสถานการณ์ในฮ่องกงก่อนหน้านี้ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฮ่องกงคนหนุ่มสาวทั่วโลกได้เรียนรู้จากฮ่องกง
เมื่อพวกเขาเดินประท้วง พวกเขาหยิบร่ม สวมหมวกกันน็อค จักรยานและเสื้อกันฝนและใช้โซเชียลมีเดียเพื่อกำกับการทำงานร่วมกัน จากมุมมองของ "ประสิทธิภาพการจลาจล" นี่เป็นวิธีที่น่าจะมีประสิทธิภาพที่สุดในปัจจุบัน
-----มวลชนต้องการอะไร?-----
แทนที่จะพูดว่ามวลชนต้องการอะไรควรพูดว่า..กองกำลัง..ที่อยู่เบื้องหลังมวลชนต้องการอะไรดีกว่า
ผมได้อ่านบทความมากมายที่บอกว่ามวลชนต้องการ จำกัดความฟุ่มเฟือยและความสิ้นเปลืองของราชวงศ์...นี่เป็นสิ่งที่ผิดโดยสิ้นเชิง
เงินของราชวงศ์เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของมหากษัตริย์ยังไงคนไทยก็ไม่รังเกียจเรื่องนี้
อีกประการหนึ่งราชวงศ์ไทยมีเงินมากส่วนใหญ่เป็นเพราะราชวงศ์เองเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพท์รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และยังมีการลงทุนในต่างประเทศจำนวนมากและมีรายได้ทุกปีเช่นโรงแรมเคมปินสกี้ ที่เรามักเห็นราชวงศ์ไทยเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น
ยิ่งไปกว่านั้น มวลชนกำลังระบายความโกรธ กลุ่มที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาต้องการใช้โอกาสนี้ในการกดดันราชวงศ์และกองทัพเพื่อยกเลิกข้อจำกัด ในสิทธิ์ส่วนตัวและอำนวยความสะดวกให้พวกเขาเข้าสู่รัฐบาลผ่านการเลือกตั้งทั่วไป
หลังจากทำความเข้าใจภูมิหลังเหล่านี้แล้ว...
เมื่อมองไปที่ข้อเรียกร้องของมวลชนก็ชัดเจน
แต่ติดตลกที่บอกว่า"จำเป็นต้องเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ"ซึ่งมัน.."เป็นลักษณะไทย"ของพวกเขาด้วย
อย่างที่บอกไปในบทความก่อนหน้านี้ประเทศไทยมีวงจรที่ไม่สามารถหลุดออกมาได้เสมอมามันซ่อนเป็นระบอบรัฐธรรมนูญมา 80 ปีแล้ว และอยู่ในสถานะ "ปกติและวุ่นวาย" ในที่สุดการรัฐประหารโดยกองทัพจะถูกใช้เพื่อยุติความโกลาหลนี้
แต่มีน้อยคนที่จะคิดได้ว่าประเทศไทย
เกือบจะเป็นประเทศที่มีการรัฐประหารมากที่สุดในศตวรรษนี้
จากสถิติของนักวิชาการด้านการเมือง
ประเทศไทยมีการรัฐประหาร 21 ครั้ง
ตั้งแต่ปี 2473 ซึ่งประสบความสำเร็จ 13 ครั้ง
และมีการรัฐประหารโดยเฉลี่ย 1 ครั้งทุก 4 ปี
การรัฐประหารเหล่านี้เกือบทั้งหมดถูกกระตุ้นโดยการเมือง
ทุกครั้งที่ทหารทำรัฐประหารต้องเปลี่ยนรัฐธรรมนูญในปี 2523 เป็นต้นมามีการทำรัฐประหารโดยกองทัพจำนวนถึง 19 ครั้ง
และมีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ 19 ครั้ง
กองทัพครองอยู่ในอำนาจมา 50 ปี
และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยมีอำนาจเพียง 30 ปี
ในปี 2557 หลังจากที่ทหารและคนเสื้อเหลืองขับไล่ยิ่งลักษณ์ออกไปแล้ว
ทหารก็เข้ามามีอำนาจเพื่อการรักษาผลประโยชน์ เจ้าหน้าที่ทหารได้แก้ไขรัฐธรรมนูญ เนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงค่อนข้างยุ่งยาก แต่คุณจำเป็นต้องรู้เพียงสิ่งเดียวโดยพื้นฐานแล้วรัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดไว้ว่ากองทัพสามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างถูกกฎหมายในอนาคต และจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป
นี่ไม่ใช่พริบตา...หกปีผ่านไปไวเหมือนโกหก
ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปีที่แล้วกองทัพได้ผ่านพ้นการคัดเลือกไปได้สำเร็จ
ภายใต้สมมติฐาน“ การแก้รัฐธรรมนูญ” บรรดาพรรคอื่นๆ ได้แต่จ้องมอง...
ดังนั้นในปีนี้การใช้ประโยชน์จากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำนี้ทุกคนต่างก็ไม่พอใจ
ฝ่ายค้านจึงนำนักเรียนที่มีความกระตือรือร้นโค-ตรๆไปเป็นฐานและแพร่กระจายการประท้วงกันต่อไป
ตอนนี้มีพลเมืองกรุงเทพฯบางส่วนกลับเข้าร่วมด้วยเป้าหมายเร่งด่วนที่สุดของพวกเขาคือการยกเลิก "มาตราการโกง" ในรัฐธรรมนูญ และทำให้"แน่ใจ"ว่าพวกเขามีโอกาสในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า
-----คำของของมวลชนที่ยังน่าสนใจกว่า-----
ที่เรียกว่า "แก้ไขระบบราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ"
ความสนใจมันคือการปรับเปลี่ยนไม่ใช่การยกเลิก
ราชวงศ์ไทยเองไม่มีอำนาจกล่าวคือกษัตริย์ไทยไม่สามารถออกคำสั่งได้
มันเหมือนกับจักรพรรดิของญี่ปุ่นใน "สงครามโลกครั้งที่ 2"
เขาไม่สามารถสั่งคนที่อยู่เบื้องล่างได้โดยตรง
โดยปกติเมื่อผู้คนอยู่ในการประชุม
พวกเขาจะเรียกจักรพรรดิเขานั่งอยู่ที่นั่น
โดย"ไม่พูดอะไรสักคำ" บางครั้งถามสองสามคำ
และหลังจากหารือและลงมติแล้ว
เขาก็ประทับตราให้มีผลบังคับใช้
แต่จักรพรรดิสามารถใช้อิทธิพลของเขา...
ต่อเจ้าหน้าที่ระดับรากหญ้าเท่านั้น..
เพราะพวกเขาถือว่าจักรพรรดิเขาเป็นพระเจ้า
-----ประเทศไทยก็เช่นกัน-----
ประเทศไทยเป็นประเทศที่เดินตามวิถีศักดินาอย่างมั่นคง
คนหนุ่มสาวส่วนใหญ่ไปวัดเพื่อทำนุบำรุงศาสนาตั้งแต่เกิด
จนศาสนาจะนำพาพวกเขาไปสู่นิพพาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีอายุมากยิ่งมีความมุ่งมั่นมาก และพวกเขาจะเป็นเช่นนั้นในชีวิตนี้ ราชวงศ์ไทยผูกติดกับศาสนามันเป็นส่วนหนึ่งของศรัทธาในตัวเอง และไม่สามารถออกคำสั่งได้ แต่สามารถชักจูงใจผู้อื่นได้ด้วยอิทธิพลนี้
แต่คำถามคือสิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ไทยในใจคนไทยส่วนใหญ่หรือไม่?
ถึงมันจะมีผลกระทบ แต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร เช่นเดียวกับที่คริสตจักรคาทอลิกมักจะบุกทำลายสิ่งต่างๆอยู่เสมอ แต่ก็ยังคงเป็นองค์กรทางศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก
โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวที่มีการศึกษาไม่ชอบสิ่งเหล่านี้
ก็จะมีแต่"นักอนุรักษ์นิยมราชา" จำนวนมากพวกเขาไม่สนใจว่ากษัตริย์ของไทยเป็นอย่างไร อีกประการหนึ่งการใส่ร้ายพระมหากษัตริย์ไทยเป็นเรื่องผิดกฎหมายและประโยคที่ผมได้รับก็สุ่มเสี่ยงมาก...
ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาการเดินขบวนได้ปะทุขึ้นในส่วนต่างๆของประเทศไทยเพื่อสนับสนุนพระมหากษัตริย์ของไทยคำขวัญคือ "รวมพลังกันปกป้องราชวงศ์"
ข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมในกรุงเทพฯ โชคดีที่อยู่ในขอบเขต
หากเกินความอดทนพวกเขาจะหันหน้ากลับทันที
และสร้างความขัดแย้งซ้ำซาก
ระหว่างคนเสื้อแดงและเสื้อเหลือง
สิ่งที่เกี่ยวกับศาสนามักจะไม่มีเหตุผล
ดังนั้นทุกคนจึงกลัวที่จะขอให้ราชวงศ์ไทยออกไป
โดยตรงพวกเขาทำได้เพียง
ขอให้ราชวงศ์ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในอนาคต
----ถ้าราชวงศ์ไม่ลงรอยกันกับประชาชนจะมีผลใดๆหรือไม่?---
หลังจากเข้าสู่ยุคใหม่มีทหารจำนวนในประเทศที่มาเพื่อปกครอง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแนวความคิด หรือการพูดตามกฎหมาย
มีแต่..ทหารเท่านั้นจะคอยปกป้องประตูประเทศ
แต่...
เราบอกว่าแก่นแท้ของอำนาจคือหัวใจของมนุษย์
สาเหตุที่ทหารไทยยุ่งเหยิงคือราชวงศ์ให้การรับรองทหารและส่วนหนึ่งของอำนาจ
และความชอบธรรมของราชวงศ์ถูกโอนไปเป็นอำนาจของทหาร
ด้วยพรแห่งอำนาจของจักรพรรดิ
กองทัพได้รับการสนับสนุนจากคนทั่วไป
และมันก็ถูกผสมผสานด้วยความสบายใจ
ยิ่งไปกว่านั้นไม่น่าเชื่อว่ามีผู้ที่ไม่ฟังรัฐบาลแต่รับฟังเพียงกษัตริย์เท่านั้น
ตอนนี้บรรดาผู้ที่กำลังเดินขบวนในประเทศไทย
ต้องการแยกราชวงศ์ออกจากกันโดยสิ้นเชิง
เช่นเดียวกับจักรพรรดิ์ของญี่ปุ่น
เป็นที่คาดกันว่าคำขอนี้เป็นความฝัน
และจะถูกปฏิเสธเมื่อมีการต่อรอง
เช่นเดียวกับที่คุณขายราคา iPhone 12 ในราคา 25,900 บาท
จากนั้น 900 บาท จะถูกอีกฝ่ายต่อรองราคา
------ทุกคนต้องเข้าใจความสัมพันธ์นี้------
ราชวงศ์ผูกติดกับศาสนาและในสายตาของผู้ศรัทธาทางศาสนา
ราชวงศ์มีความชอบธรรมและความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง
กองทัพผูกติดกับราชวงศ์และเป็นส่วนหนึ่งของความชอบธรรม
รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
เป็นเพียงส่วนการลงคะแนนเสียงเท่านั้น
ส่วนประชาชนในใจมีความชอบธรรมประกอบอยู่แล้วในตนเอง
ผู้นับถือศาสนาในประเทศไทยมีมากกว่าการลงคะแนนเสียง
และราชวงศ์ก็มีอำนาจมากกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนไม่เชื่อในศาสนา
ก็มักจะไม่ส่งเสริมความศักดิ์สิทธิ์ในราชวงศ์อีกต่อไป
ในมุมของคนรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้น
และราชวงศ์ไทยก็จะกลายเป็นเช่นราชวงศ์ของญี่ปุ่น
นอกจากนี้อุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมข้อมูลของไทย
ยังอ่อนแอเกินไป และยังมีคนที่มีการศึกษาน้อย
---ส่วนข้อเรียกร้องประการที่สามค่อนข้างง่าย----
1
โดยกำหนดให้นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันลงจากตำแหน่ง
นี่ก็ยากขึ้นเช่นกันหลังจากนั้นยิ่งลักษณ์ถูกทหารขับไล่ครั้งที่แล้ว
นายกรัฐมนตรีคนนี้มาจากทหารและเป็นที่ประจักษ์ว่าทหารจะไม่เร่งรัดเขา
หากไม่ได้รับการกดดันจนเกินไป
ก็อาจถูกโยนทิ้งไปในฐานะเหยื่อ
ซึ่งถือเป็นกิจวัตรประจำวันในประวัติศาสตร์ไทย
---แล้วจะเกิดอะไรขึ้น?---
อย่างแน่นอนรัฐบาลสามารถให้สัมปทานในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ดีที่สุด
เป็นไปไม่ได้ที่กองทัพจะกวาดล้างผู้ชมนุมด้วยกำลังโดยตรง
แต่กองทัพไทยก็ไม่ได้ทำเช่นนี้เพียงครั้งหรือสองครั้ง
อย่างไรก็ตามหากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงดำเนินต่อไป
และเศรษฐกิจไทยตกอยู่ในภาวะถดถอยครั้งใหญ่ มีการว่างงานจำนวนมาก
ผู้คนไม่มีอะไรทำพวกเขาเบื่อหน่ายและจิตใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
และต้องหาคนรับผิดชอบ ภัยคุกคามอาจลุกลามไปทั่วประเทศและทำให้ควบคุมไม่ได้โดยสิ้นเชิง
สิ่งต่างๆ อาจจะกลายเป็นเรื่องยุ่งเหยิง
และอาจบังคับให้รัฐบาลทหารต้องให้การกวาดล้าง
อย่างไรก็ตามทหารไทยไม่ใช่คนไร้ยางอาย
หลายประเทศส่งทหารไปปราบปรามพวกเขา
และในที่สุดทหารก็เข้าร่วมกับมวลชน
ดังนั้นสาระสำคัญของสิ่งนี้ยังคงอยู่
ที่ผ่านมาทุกครั้งที่ปราบปรามผู้ก่อจลาจล
เราอาศัยกลุ่มหนึ่งต่อสู้อีกกลุ่มหนึ่ง
ขึ้นอยู่กับว่าครั้งนี้คนไทยจะรวมตัวกันเป็นแนวร่วมได้หรือไม่
หากคนธรรมดายังคงแบ่งออกเป็นสองฝ่าย
และทะเลาะกันก็มีโอกาสมากที่ทหารจะกวาดล้างด้วยกำลัง
แต่ส่วนตัวผมไม่คิดว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
เมื่อคุณมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์
คุณจะพบว่าการเคลื่อนไหวทางสังคมอื่นๆ
มักจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมได้ช้ามาก
แม้แต่ "เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ " (17-24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535)
ที่เรามักอ้างถึงในเวลานั้นทุกคนก็ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงใดๆ ต่อสังคม
หลังจากมองย้อนกลับไปหลายปี เมล็ดแห่งการเปลี่ยนแปลงได้งอกขึ้นในเวลานั้น
และในอีก 20 ปีต่อมาพวกเขาก็เติบโตขึ้น
สำหรับคนไทย ผมเห็นทางออกเดียวของพวกเขาคือหาวิธีทำให้โอกาสใหญ่ขึ้นและเพิ่มความต้องการของตลาดสำหรับผู้มีความสามารถ
ทุกคนควรอ่านหนังสือ ขยันเรียนและปรับปรุงความรู้พื้นฐาน สุดท้ายคือ...สติ.
แต่การแก้ปัญหาการแทรกแซงทางทหารไม่ใช่กุญแจสำคัญ
หากทหารได้รับการแก้ไขอย่างเรียบง่าย
และช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนไม่ได้รับการแก้ไข
อนาคตของประเทศไทยจะสามารถยุติความขัดแย้ง
ในคนเสื้อแดงและเสื้อเหลือง โดยไม่ต้องมีการต่อสู้
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรปี 2563 ถูกกำหนดให้เป็นปีแห่งการเตือนใจ
ที่น่าเศร้าปีแห่งความขัดแย้งที่รุนแรงที่เกิดขึ้น
และการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะไม่มีที่สิ้นสุด
และจะยิ่งยุ่งยากขึ้นในอนาคต ถ้ายังระบาดไปถึงปีหน้า
ไม่รู้จะมีโรคระบาดใหม่ตัวอื่นโผล่ออกมาอีกไหม
ตอนนี้ผมรู้สึกจริงๆว่า ถ้าในปีนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด....
ดั่งคำกล่าวที่ว่า...“สิ่งที่ผมมั่นใจคือ คนไทยทุกคน
ไม่ว่าจะมีมุมมองทางการเมืองแบบไหน แต่ทุกคนรักชาติ
รักวัฒนธรรม รักรากเหง้า และคุณค่าของความเป็นไทย
แต่ในเวลาเดียวกัน เราก็รู้ว่า ทุกคนต้องการอนาคตที่ดีสำหรับประชาชน
และประเทศ ซึ่ง 2 เรื่องนี้ คือ เรื่องรักในรากเหง้าความเป็นไทย
และเรื่องต้องการอนาคตที่ดีสำหรับลูกหลานเยาวชนไทย
รัฐบาลพยายามทำอย่างเต็มที่ เป็น 2 เรื่องที่เดินไปด้วยกันได้
เราต้องหาหนทางแก้ไขที่จะนำพาประเทศไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น
อย่างมีหลักการ มีเหตุผล และมีความถูกต้องตามกฏหมาย
โดยไม่ทำลายอดีตที่มีคุณค่าของเรา
แบบนั้น เราจะได้สังคมที่แข็งแรง
สังคมที่มีรากเหง้าที่ดีงามหยั่งรากลึก
และก็มีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนต่อไป”.....คำพูดจากใครเอ๋ย???
อ้างอิง...
-Thailand’s king seeks to bring back absolute monarchy, The Economist, 2020.
-Protests Grow in Thailand, Where Speaking Out Can Be Perilous, The New York Times, 2020.
-As Motorcade Rolls By, Thai Royal Family Glimpses the People’s Discontent, The New York Times, 2020.
-Young Women Take a Frontline Role in Thailand’s Protests, The New York Times, 2020.
-Explainer: What's behind Thailand's protests?, Reuters, 2020.
-Constitutional Court accepts treason complaint against protest leaders, Prachatai News, 2020.
-His party was banned. He faces jail. But Thailand's Thanathorn Juangroongruangkit vows to fight on, CNN, 2020.
-Future Forward: Thai pro-democracy party dissolved over loan, BBC News, 2020.
-Thai protests: Tens of thousands gather again in mass defiance of government, BBC News, 2020.
โฆษณา