18 ม.ค. 2021 เวลา 03:31 • หนังสือ
สรุปหนังสือ | หนังสือเสียง 13 | ใช้คนสองคนให้ได้ผลเท่า7คน | Full Engagement โดย Brian Tracy
เคล็ดลับเพื่อประสิทธิภาพในการทำงานด้วยการเปลี่ยนตัวคุณให้เป็นตัวคูณ
.....ไม่ว่าเราจะทำอะไร ทักษะที่ขาดไม่ได้เลยคือการใช้คน เราคงได้ยินมาว่า ยิ่งมากคน ยิ่งมากความ ขี้เกียจยุ่งกับคนเยอะ ทำอะไรคนเดียวดีกว่า แต่เราจะพบว่า หากเราอยากเติบโตมากกว่าเดิม เราหลีกเลี่ยงไม่ด้กับการทำงานกับคน แล้วจะทำอย่างไรให้คนที่เราร่วมงาน ทีม หรือลูกน้อง สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ คิดใหญ่ ไร้ความกลัว รู้สึกเหมือนผู้ชนะ ทำงานได้ผลลัพธ์ตามที่หวัง และมีความสุขในการได้ทำงานกับคุณ เพราะว่าไหมเส้นเดียวไม่เป็นด้าย ต้นไม้ต้นเดียวก็ไม่เป็นป่า หนังสือเล่มนี้มีเทคนิคมากมายที่รวมรวบให้คุณแล้ว อย่าลืมไปหาอ่านกันนะคะ
หนังสือเสียง 👉🏻https://youtu.be/m0_HD5j-FTE
มีความสุขด้วยเหตุผลที่ดี
....ความสำเร็จของธุรกิจวัดกันที่ บริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นได้สูงแค่ไหน และนานแค่ไหน (Return on equity : ROE) ด้วยการวางแผน กลยุทธ การดำเนินงาน โดยที่เป้าหมายคือ ทำให้พนักงานทำงานได้เต็มประสิทธิภาพสูงสุด
....พนักงานใช้ศักยภาพได้ 50% เพราะว่า เขาไม่รู้ว่าต้องทำอะไร สำดับความสำคัญคืออะไร ผลลัพธ์ที่ต้องการคืออะไร เส้นตายเมื่อไหร่ เพราะการมอบหมายงานไม่ชัดเจนและขาดการทวน
....สิ่งที่จะดึงศักยภาพสูงสุดของคนออกมาคือ วิธีที่ปฎิบัติกับเค้า ทำคำพูด การกระทำ ที่ส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึก มีคุณค่า มีความสำคัญ เป็นคนพิเศษ รู้สึกดีกับตัวเอง รู้สึกปลอดภัย มีความสุขกับตัวเอง และสิ่งที่ทำ รู้สึกว่ามีศักยภาพไร้ขีดจำกัด
....การประสานพลังคือ เอาความสามารถของคนกลุ่มนึงทำงานร่วมกันเพื่อสร้างผลงานให้ได้มากกว่าแยกกันทำ เหมือน ใช้คน 2 คน ได้ผลงาน = 7 คน ผลงานคน 7 คน = ผลงาน10 คน ยิ่งเอาทักษะคุณไปคูณ ผลลัพธ์จะยิ่งทวีคูณ คุณเป็นตัวเร่งปฎิกิริยาที่กระตุ้นและจูงใจให้ได้ผลลัพธ์สูงกว่าตอนที่ไม่มีคุณ คุณเหมือนช่างฝีมือที่มีลูกน้องเป็นเครื่องมือ ซึ่งคุณมีหน้าที่ดึงศักยภาพของลูกน้อง ให้คุณภาพทีมสูงขึ้น
....กฎที่ทำให้คุณสำเร็จในชีวิต
1. ชีวิตคุณดีขึ้นเมื่อตัวคุณดีขึ้นเท่านั้น
2. ลูกน้องคุณดีขึ้น เมื่อตัวคุณดีขึ้นเท่านั้น
*****ไม่มีข้อจำกัดว่าคุณดีขึ้นได้มากแค่ไหน
1
จิตวิทยาแรงจูงใจ
....คนเราใช้อารมณ์ตัดสินใจ100% แล้วค่อยหาเหตุผลมารองรับ เพื่อที่จะมีความสุข ซึ่งเป็นแรงผลักดันทางอารมณ์สูงสุด (รู้สึกมีความสุขที่ได้มาครอบครอง) เป้าหมายของนักการตลาดคือ เป็นการขายความหวัง เพราะฉะนั้น การสร้างและรักษาลูกค้าไว้ คือ ทำให้ลูกค้ามีความสุขที่ได้ทำธุรกิจกับคุณ ใช้สินค้าของคุณ มากกว่าที่ไปทำกับที่อื่น ตั้งแต่ครั้งแรกจนครั้งสุดท้าย
25 สูตรเร่งรัด ทำให้ลูกน้องมีความสุข
1. ยิ้ม
2. ถามคำถาม : สนใจเค้าอย่างแท้จริง อีกฝ่ายจะรู้สึกมีค่า มีเกียรติ รู้สึกดี จึงอยากทำให้คุณพอใจ
3. รับฟังผู้อื่น : เมื่ออีกฝ่ายรู้ว่าคุณตั้งใจฟัง ทำให้เขารู้สึกดีกับตัวเอง
4. ทำตัวสุภาพ : ปฎิบัติกับเขาราวกับว่าเขาเป็นคนเก่งกาจ ชาญฉลาด และ ประสบความสำเร็จ
5. กล่าวคำขอบคุณ ทุกเรื่องที่เขาทำให้คุณ
6. เปิดเผยข้อมูล : ให้เขารู้สึกว่าเป็นคนวงใน
7. ส่งเสริมการปรับปรุง : สนับสนุนให้เขาคิดวิธีปรับปรุง คิดอะไรใหม่ๆ ยิ่งสนับสนุนเขา ยิ่งมีแนวคิดมากขึ้น
8. ปฎิบัติต่อพวกเขาเหมือนเป็นอาสาสมัครที่ทำงานฟรี : มีความเกรงใจ ให้ความเคารพนับถือ
9. จินตนาการว่าพวกเขาเป็นลูกค้าเงินล้าน : ไม่ว่าลูกค้าเป็นอย่างไร คุณยังคงเอาใจใส่ อดทน เป็นมิตร
10. จ่ายค่าจ้างให้พนักงานอย่างสมน้ำสมเนื้อ : บริษัทเติบโตมากน้อย ขึ้นอยู่กับว่าสามารถดึงดูดและรักษาคนเก่งไว้ได้แค่ไหน เลือกที่จะจ่ายมาก บอกพวกเขาว่าเห็นผลงานและความทุ่มเทของเขา
11. ชมเชยผู้อื่น : ชื่นชมในรูปร่างหน้าตา รวมทั้งคุณสมบัติ (คนเราทุ่มเทเวลาและอารมณ์ให้กับรูปร่างหน้าตา ที่อยู่อาศัย รถยนต์ ความสำเร็จ และ พฤติกรรมของตัวเอง)
12. สร้างความสามัคคี : หากใครคิดลบ มีปัญหา จะเป็นเข็มพิษ ให้กำจัดออกไป
13. ชมเชยพวกเขาเป็นประจำ : เกิดแรงจูงใจที่จะได้รับคำชมอีก กฎของการชมเชยคือ A: ยิ่งชมเร็วเท่าไหร่ ผลกระทบยิ่งรุนแรง B: ยิ่งชมได้เจาะจงมากเท่าไหร่ พฤติกรรมนั้นยิ่งจะเกิดซ้ำ C: ชมต่อหน้าคนอื่น ยิ่งกระตุ้นพฤติกรรมอย่างทวีคูณขึ้นกับจำนวนคนที่ได้ยินคำชม
14. อย่าวิพากวิจารณ์ : ทำให้เขารู้สึกไม่มั่นคงและไม่มีความสุข ให้เราจดจ่อกับอนาคต วิธีแก้ปัญหา สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต
15. ฉลองความสำเร็จ : ให้กับทีม ให้กับใครบางคน ทำให้มีแรงจูงใจที่จะทำสิ่งนั้นซ้ำเป็นเท่าตัว
16. แสดงความสนใจในตัวผู้อื่น : มองเขาเป็นคนๆนึง สนใจชีวิตส่วนตัว ครอบครัว สนใจชีวิตเค้าอย่างแท้จริง
17. ทำตัวเป็นพี่เลี้ยง : ชี้ทางให้เขาเรียนรู้และเติบโต ปรับปรุงสิ่งที่ทำอยู่ให้ดีขึ้น แนะนำหนังสือให้เข้าสัมมนา (หนึ่งในความปราถนาสูงสุดของคนคือ การเรียนรู้ พัฒนา และ กลายเป็นคนที่มีคุณค่า)
18. ปล่อยให้มีอิสระ : ในการทำงานด้วยแนวทางของตัวเอง แค่บอกให้แน่ชัดว่าต้องการอะไร ไม่ต้องเข้าไปควบคุม
19. ปกป้องพวกเขา : ไม่ให้ใครมาข่มเหงเขาเหมือนที่เราปกป้องคนในครอบครัว
20. มองว่าพวกเขาเหมือนลูก : อดทนในช่วงที่พวกเขาเรียนรู้ได้ ใส่ใจว่าพฤติกรรมของคุณจะส่งผลต่อลูกอย่างไรในระยะยาว
21. ทำตัวให้น่าเข้าหา และ รู้จักโอนอ่อนผ่อนตาม : อารมณ์หัวหน้ากำหนดคนทั้งทีม เมื่อคุณคิดบวกและเป็นมิตรจะสร้างสภาพแวดล้อมให้เขารู้สึกปลอดภัย
22. ส่งเสริมพวกเขา : พูดเรื่องดีๆของคนแต่ละคน
23. มีความชัดเจนในเรื่องงาน : ทุกคนต้องการรู้แน่ชัดว่าคุณต้องการให้เขาทำอะไร วัดผลอย่างไร ทำเสร็จเมื่อไหร่
24. ให้ข้อมูลป้อนกลับ : พูดคุยถึงสิ่งที่พวกเขาทำอยู่ ถามความคืบหน้า ให้คำแนะนำ สร้างความเชื่อมั่น
25. ปฎิบัติต่อเขาให้เหมือนปฎิบัติต่อเจ้านาย : คุณจะกลายเป็นคนคิดบวก ใส่ใจ รอบคอบ สร้างสรรค์ ให้เกียรติอีกฝ่าย
4 หนทางสู่การเปลี่ยนแปลง คือ
....คุณอยากให้ฉัน ทำอะไรให้มากขึ้น
....คุณอยากให้ฉัน ทำอะไรให้น้อยลง
....คุณอยากให้ฉัน เริ่มทำอะไรที่ยังไม่ได้ทำในตอนนี้
....คุณอยากให้ฉัน เลิกทำอะไรไปเลย
เมื่อได้คำตอบมา ให้หาพฤติกรรม1อย่าง ที่สำคัญต่อคนอื่น ทำให้มันเป็นนิสัยถาวรของคุณ
....จุดเริ่มต้นในการดึงศักยภาพคนอื่นออกมามากสุดคิอ การเข้าใจตนเอง และสิ่งที่จูงใจคุณได้ (ถามตัวเองว่า มันเป็นจริงกับฉันหรือเปล่า)
ทำความเข้าใจว่าอะไรทำให้คุณกลายมาเป็นอย่างปัจจุบัน
ทำความเข้าใจว่าคนอื่นกลายมาเป็นอย่างที่เป็นอยู่ได้อย่างไร
คนเราคิด รู้สึก มีปฎิกิริยาตอบสนองอย่างไร ทำไม่ถึงทำ หรือไม่ทำสิ่งต่างๆ
.....ลำดับขั้นของมาสโลว์ "ความต้องการที่เกิดจากความขาดแคลน"
เราหมกมุ่นให้ได้สิ่งที่ต้องการก่อนจะนึกถึงสิ่งที่สูงกว่านั้น
1. ความอยู่รอด : การรักษาชีวิตไว้ การเอาชีวิตรอด
2. ความปลอดภัย : ทั้งร่างกาย เงิน อารมณ์
....ร่างกาย คือ มีทรัพยากรทางกายที่เพียงพอ ปัจจัย4
....เงิน มีมากพอที่จะเลี้ยงตัวเองและครอบครัว ความกลัวยิ่งใหญ่สุด คือ กลัวว่าจะสูญเสียเงินทอง
....อารมณ์ คือ ความมั่นคงในความสัมพันธ์ ต้องการการยอมรับนับถือ และเห็นคุณค่า
3. ความผูกพัน : สิ่งที่เราคิด รู้สึกกับตัวเอง มักถูกกำหนดจากสิ่งที่เรามองว่าผู้อื่นน่าจะคิดและรู้สึกกับเรายังไง
4. ความภูมิใจในตัวเอง : ความต้องการมีตัวตน ยิ่งชอบตัวเองมากแค่ไหน ยิ่งภูมิใจในตัวเองมากขึ้น ยิ่งทำงานดีขึ้น ยิ่งชอบผู้อื่นมากขึ้น คนอื่นยิ่งชอบเรามากขึ้น
5. การบรรลุศักยภาพสูงสุดของตัวเอง : ความรู้สึกว่าเราเป็นทุกสิ่งที่สามารถเป็นได้ มักมีความสุข สงบ คิดบวก มีความคิดสร้างสรรค์ มองตนเองตรงไปตรงมา ซื้อสัตย์ ได้รับความเคารพจากคนอื่นแท้จริง
จุดไฟในการทำงานให้กับพนักงานแต่ละคน
....เมื่ออยู่ใต้ความเครียด คนเรานอกจากจะไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว ยังจะเป็นอย่างที่เป็นอยู่มากขึ้นกว่าเดิม เช่น โลเลกว่าเดิม มาสายกว่าเดิม ขี้เกียจกว่าเดิม โดยเฉพาะ นิสัยใจคอบุคลิกภาพ ความสามารถพื้นฐาน
สิ่งที่เปลี่ยนได้ คือ พรสวรรค์ ทักษะ ความสามารถ
เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถเปลี่ยนเป็ดเป็นนกอินทรี มีแต่หานกอินทรี แล้วสอนให้มันบินเป็นฝูง
....อะไรคือ ตัวกำหนดพฤติกรรมและผลงานของคนในทุกด้าน คือ กรอบความคิดเกี่ยวกับตัวเอง (Self-concept) ซึ่งเกิดจาก....ความคิด ความรู้สึก อารมณ์ ความปราถนา การกระทำ ความสำเร็จ ความล้มเหลว ความกลัว การตัดสินใจ ประสบการณ์ในวัยเยาว์ ตั้งแต่วัยทารก ทำให้เราเป็นอย่างที่เป็น เป็นกุญแจสำคัญในการเข้าใจนิสัย พฤติกรรม ผลงาน ความสุข จะทำตามที่ตัวเองเชื่อ
(การปลดปล่อยศักยภาพใคร ต้องทำความเข้าใจกับกรอบความคิดของเขา และ มองให้ออกว่าจะชักนำไปทางบวกได้อย่างไร)
มี3ส่วนคือ
1. ตัวตนในอุดมคติ (Self-Ideal)
....คือ คนที่คุณอยากเป็นมากที่สุด คนสำเร็จ มีความสุข มีตัวตนในอุดมคติชัดเจน เขารู้ว่า เขาเชื่อ +ยึดมั่น+ ไม่ยึดมั่น+ ไม่เชื่อ ในสิ่งใด ซึ่งเกิดจาก คุณธรรม ค่านิยม หลักการ คุณสมบัติที่เห็นว่ามีความสำคัญ มีคุณค่าต่อตนเองและผู้อื่น เป้าหมาย ความฝัน ความหวัง ความทะเยอทะยาน ทัศนคติ เขาจะพยายามเปลี่ยนตัวเอง ให้เป็นตามบุคคลต้นแบบ
....สร้างบริษัทที่กระตุ้นตัวตนในอุดมคติ ตอบสนองความต้องการจากจิตใต้สำนึก โดย
A: กำหนดค่านิยมชัดเจน หัวหน้าเป็นแบบอย่างให้ลูกน้องได้ยึดถือ มนุษย์อยากไปอยู่จุดที่ดีที่สุด
B: สร้างวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ว่าวันนึง บริษัทคุณจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร จินตนาการภาพในอุดมคติ วางแผนล่วงหน้าอย่างน้อย 5ปี และ เขียนว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
C: ค้นหาภารกิจของคุณ ....ภารกิจที่มีเป้าหมายชัดเจน +ทำได้จริง +ประเมินผลได้ = คุณและองค์กรพยายามทำสิ่งใดให้สำเร็จ
D: ค้นหาจุดมุ่งหมายที่สร้างแรงบันดาลใจ ....ทำไมต้องทำ (ส่งผลต่ออารมณ์ ความรู้สึก)
E: กำหนดเป้าหมายของคุณ....สิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ มาพร้อมกับกรอบเวลา เป้าหมายชัดเจนเมื่อมีเหตุผลที่ชัดเจน
2. มุมมองที่มีต่อตัวเอง (Self-Image)
....คุณมองตัวเองยังไง กำหนดความคิด ความรู้สึก พฤติกรรมของเรา เป็นกระจกภายในของเรา
....คนจะแสดงออกจากภาพที่เห็นจากภายใน แม้จะต่างจากภายนอก เช่น คนไข้มาทำศัลยกรรมสวยหล่อแต่มองตัวเองแย่เหมือนก่อนมาทำ
....มุมมองที่มาต่อตัวเอง เกิดขึ้นตั้งแต่ที่พ่อแม่มองคุณมา และ ตอนเด็กได้รับอิทธิพลต่อคนที่คุณนับถือและเชื่อฟัง หากพ่อแม่ปฎิบัติกับคุณว่าเป็นคนที่มีค่า สำคัญ ชมเชยเสมอ จะมีมุมมองที่ดีกับตัวเอง แต่ตรงข้าม จะรู้สึกสงสัยในตัวเอง ขาดความมั่นใจ ไม่ชอบตัวเอง ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาบุคลิกภาพตนเองไม่ได้เต็มที่
....ยิ่งมีมุมมองต่อตัวเองบวกมากเท่าไหร่ ยิ่งมีแรงต้านต่อแง่ลบได้มากเท่านั้น เชื่อมโยงกับตัวตนในอุดมคติ ยิ่งรู้สึกว่าพฤติกรรมแต่ละวันของตัวเองกำลังก้าวไปสู่คนที่คุณอยากเป็นมากเท่าไหร่ ยิ่งชื่นชอบ และเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้นเท่านั้น
ประกอบด้วย 3 ส่วน
A: วิธีที่มองตัวเอง
....เป็นการรับรู้ที่สำคัญที่สุด อาจเป็นจริง/ไม่เป็นจริงก็ได้ ซึ่งเรื่องแย่ๆที่คนอื่นพูดถึงคุณตอนเด็ก ไม่ได้จริงตลอด
....เราเลือกได้ว่าจะเขียนบทชีวิตใหม่ คือเมื่ออดีตเราเคยเป็นแบบนี้ แต่จากนี้ไป เราจะเป็นแบบนี้
....เราสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมภายนอกโดยเปลี่ยนภาพในหัวเราก่อน เราสามารถปั้นตัวเองให้เป็นแบบที่เราอยากเป็นจริงๆ ยิ่งเรามองตัวเองเหมือนคนในอุดมคติยิ่งรู้สึกดีมากขึ้น
B: คิดว่าผู้อื่นมองคุณอย่างไร
....ถ้าคิดว่าคนอื่นมองคุณบวก เราก็จะแสดงออกในทางบวก แต่ในความเป็นจริง ไม่มีใครคิดอะไรเกี่ยวกับคุณเลย ผู้คนใช้เวลา 99% คิดถึงตัวเองและปัญหาส่วนตัว
C: จริงๆแล้วผู้คนมองคุณอย่างไร
....เจ้านายเหมือนพ่อแม่คนใหม่ ยิ่งปฎิบัติกับลูกน้องราวกับว่าเขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยม มุมมองของเขาที่มีต่อตัวเองยิ้งแข็งแกร่ง ผลงานยิ่งดี พุ่งเป้าไปที่ความภูมิใจต่อตัวเองของเค้า ให้เข้าใกล้คนในอุดมคติของเค้า
3. ความภูมิใจในตัวเอง (Self-esteem)
....คุณชอบตัวเองมากแค่ไหน ยิ่งชอบตัวเองมากเท่าไหร่ ยิ่งชอบคนอื่นมากเท่านั้น คนอื่นยิ่งชอบคุณกลับมากเท่านั้น ยิ่งทำงานเป็นทีมได้ดีขึ้นมากเท่านั้น ผลลัพธ์และคุณค่ามากขึ้นเท่านั้น คือ
....ความภูมิใจในตัวเอง (Self-Esteem) + การรับรู้ความสามารถของตัวเอง (Self-Efficacy) เชื่อมโยงกัน ยิ่งเรียนรู้ยิ่งฝึกทักษะใหม่ ยิ่งภูมิใจในตัวเอง
ทำให้ลูกน้องรู้สึกเป็นคนสำคัญ
....กุญแจสำคัญกระตุ้นให้คนทำงานสุดความสามารถ คือ สร้างความภูมิใจในตัวเอง (มั่นใจ+นับถือตัวเอง)
....เราจูงใจใครไม่ได้ แค่สร้างสภาพแวดล้อมให้เกิดแรงจูงใจ สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย มั่นคงทางรายได้ ความรู้สึกอบอุ่น เป็นที่ยอมรับในการทำงาน เอาปัจจัยที่เป็นอุปสรรคในการทำงานออก ทำให้เขาไม่กลัว ไม่มีคำวิจารณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าไว้วางใจได้ ให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้บริษัทกลายเป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยม พยายามให้เขารู้สึกว่ารู้ข้อมูลวงใน สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ส่งผลอะไรกับเขาบ้าง มีส่วนร่วมในบริษัทอย่างเต็มที่
3สิ่งที่ไม่ควรทำคือ
1. วิจารณ์ ตำหนิ ประมาฌพฤติกรรมส่วนตัวของคนอื่น
....การวิจารณ์เหมือนระเบิดนิวตรอน คือ ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่กับตัวเอง มองตัวเองในแง่ลบ น้อยใจ ด้อยค่า ไร้น้ำยา เหมือนซากเดินไปเดินมา แต่ภายในถูกทำลสยหมดแล้ว กระตุ้นให้กลัวความล้มเหลว กลัวถูกปฎิเสธ โกรธและปกป้องตัวเอง เกิดอารมณ์แง่ลบ อิจฉาคนที่เหนือกว่า
....หากเห็นคนที่ไม่มั่นใจ เอาแน่เอานอนไม่ได้ มองโลกในแง่ร้าย ขี้ระแวง สันนิษฐานได้เลยว่า เขาอาจถูกพ่อแม่ทำร้ายด้วยคำวิจารณ์บ่อยตอนเป็นเด็ก ถ้าลูกๆคุณโกหา ใครกันล่ะที่ทำให้พวกเขาไม่กล้าพูดความจริง (พ่อแม่จับผิด คิดแง่ลบ วิจารณ์ ตำหนิ)
2. เลิกโอดครวญ+พร่ำบ่น
....ทำให้ตัวเองอ่อนแอลง บ่มเพาะความรู้สึกไม่ดีพอ ต่ำต้อย โมโห ขุ่นเคือง ความมั่นใจ นับถือตัวเองลดลง หากไม่พอใจอะไร หน้าที่คุณคือ เข้าไปเพื่อปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น ดูความคาดหวังสอดคล้องกับความจริงมากแค่ไหน
3. การดูถูกคนอื่น
....ทำให้คู่สนทนาเสียขวัญ อย่าวิจารณ์คู่แข่ง ให้ชื่นชมถ้าเขาสำเร็จกว่า
6วิธี ในการสร้างความภูมิใจให้ตัวเอง
1. การยอมรับแบบไม่มีเงื่อนไข
....เด็กคนนึงมั่นใจ มั่นคง เพราะรู้ว่าตัวเองได้รับการยอมรับอย่างหมดใจและไม่มีเงื่อนไขจากพ่อแม่ เป็นรากฐานทางจิตใจ โตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุข และ มั่นใจในตัวเอง
....การยิ้มให้ผู้คนคือการยอมรับ ยิ้มอย่างอบอุ่นและจริงใจ ความสัมพันธ์ระยะยาวเริ่มจากรอยยิ้ม คนที่ทรงอิทธิพลและเป็นที่ชื่นชอบเป็นคนยิ้มอย่างจริงใจทุกสถานการณ์
2. แสดงความซาบซึ้งใจต่อสิ่งที่คนอื่นทำ
....คำขอบคุณเป็นการยอมรับคุณค่าและเอกลักษณ์ของคนนั้น เค้าจะภูมิใจในตัวเอง มั่นใจ มองตัวเองดี เมื่อขอบคุณเขาในเรื่องเล็กๆ เขาจะทำงานชิ้นใหญ่เพื่อเอาใจคุณ ขอบคุณโดยระบุสิ่งที่เขาทำอย่างเจาะจงเป็นการให้รางวัลทางอารมณ์
3. โอนอ่อนผ่อนตาม
....ความเป็นมิตร+นิสัยดี จูงใจให้คนอยากทำธุรกิจด้วย = น่าคบหา
....กุญแจสู่ความสำเร็จ คือ การเห็นแย้งโดยไม่ขัดแย้ง ...คุณไม่จำเป็นต้องทำตัวไม่น่าคบหา / พยายามใช้ความคิดครอบงำคนอื่น คนสำเร็จมักมีไหวพริบ มีวาทศิลป์ มีสติ มีความรอบคอบ หลีกเลี่ยงการทำ / คำพูดให้คนอื่นไม่พอใจ โดยเฉพาะการเจรจาต่อรอง
....หากมีความเห็นต่าง ให้ควบคุมความทะนงตน+เอาใจเขาใส่ใจเรา แทนที่จะโต้แย้ง ให้ถามว่า ทำไมถึงคิดเช่นนั้น
....หากต้องการพูดโน้มน้าวให้เปลี่ยนความคิด ให้อ้างถึงบุคคลที่3 จะทำให้เขาออกจากจุดยืนง่าย ทุกคนเลือกที่จะปกป้องจุดยืนของตัวเอง ไม่ว่าผิด/ถูก ทำให้เปลี่ยนความคิดยาก
....คนมีเสน่ห์ (สุภาพ น่าคบหา ใช้ประโยคคำถาม ตั้งใจฟัง ให้ความสนใจที่อีกฝ่ายพูด เป็นมิตร ใจเย็น ผ่อนคลาย มองโลกในแง่ดี น่าอยู่ใกล้) โน้มน้าวใจผู้อื่นได้มากกว่าคนที่ชอบพูดขัด+ขวานผ่าซาก
....ยิ่งทำให้คนอื่นรู้สึกดีกับตัวเองได้มากเท่าไหร่ ยิ่งโน้มน้าวใจให้เขาเปลี่ยนความคิดไปในทางที่คุณต้องการได้ง่ายขึ้น
4. เอ่ยปากชมอย่างสม่ำเสมอ
....ทำให้เขารู้สึกเป็นคนสำคัญ ชมได้ทุกเรื่อง ทั้งสิ่งของ คุณสมบัติ ความสำเร็จ โดยเฉพาะสิ่งที่เขาครอบครองและของส่วนตัวที่แสดงลักษณะเฉพาะของเขา
5. ยกย่องชื่นชมทุกครั้งที่มีโอกาส
....ความภูมิใจในตัวเอง ขึ้นกับว่า รู้สึกว่าได้รับยกย่องมากแค่ไหน เป็นการตอบสนองต่อความต้องการทางอารมณ์ลึกที่สุด
....ยกย่องทั้งเรื่องความพยายาม / ความสำเร็จ ยิ่งยกย่องสิ่งใดที่ทำ เขายิ่งทำพฤติกรรมนั้นซ้ำๆ เพาะฉะนั้น อยากให้ใครทำพฤติกรรมไหน ให้ยกย่องชื่นชมเขาทันที หากนานก็ไม่มีผล
....เราสามารถชื่นชมในพฤติกรรมที่หวังให้อีกฝ่ายแสดงออกมาได้ด้วย เช่น หากใครว่าเขาแย่ เราสามารถอ้างบุคคลที่3ว่าพูดชมเขาในพฤติกรรมที่เราต้องการ เขาจะแสดงพฤติกรรมตามสิ่งที่คุณชื่นชมมา เป็นการยัดเยียดคุณสมบัติให้เขาล่วงหน้า ผลักดันให้ทำงานดีกว่าเดิม เพราะไม่อยากให้คุณผิดหวัง
....ให้ยกย่องชื่นชมพนักงานต่อหน้าคนอื่น โดยเฉพาะต่อหน้าคนระดับสูงกว่า / ในระหว่างประชุม กล่าวชมถึงผลงานที่ยอดเยี่ยม ความลำบากในการทำ
6. ให้ความสนใจพวกเขา : การตั้งใจฟังระหว่างที่คุยกัน
....ปกติใครที่มีความสำคัญเรายิ่งตั้งใจฟัง คนไม่สำคัญเราก็ไม่ตั้งใจฟัง การตั้งใจฟังจึงเป็นการทำให้เขาเป็นคนสำคัญ พูดให้น้อยลง โน้มตัวเข้าไปใกล้ ฟังอย่างตั้งใจ จดบันทึก ตั้งคำถามให้ขยายความ ยกสิ่งที่ทำดีมาชื่นชมต่อหน้าคนอื่น ทำให้ทุกคนกระตือรือร้นที่จะพูดแลกเปลี่ยนประสบการณ์
กุญแจ 4 ดอกของการฟังอย่างมีประสิทธิภาพ (การฟังก่อให้เกิดความไว้ใจ)
....ใช้กฎ80/20 ใจความสำคัญคือ พฤติกรรมที่คุณทำ 20% ก่อให้เกิดผลลัพธ์80% คือทำให้คนอื่นรู้สึกเป็นคนสำคัญ
1. ฟังอย่างตั้งใจ โดยไม่ขัดจังหวะ ....โน้มตัวเข้าใกล้ มองหน้า พนักหน้า ยิ้ม โอนอ่อนผ่อนตาม
2. หยุดคิดสักนิดก่อนตอบ....(สัก3-5วินาที) อย่ารีบแสดงความคิดเห็นเร็วจนเหมือนไม่ได้ฟังฝ่ายตรงข้าม มีประโยชน์คือ
...ไม่เสียมารยาทด้วยการพูดแทรก
....แสดงให้เห็นว่ากำลังพิจารณาอย่างรอบคอบในสิ่งที่เขาพูด
....เข้าใจลึกซึ้งในสิ่งที่เขาพูด
3. ถามคำถามเพื่อความชัดเจน....คนตั้งคำถาม คือ ฝ่ายกุมอำนาจ เป็นฝ่ายควบคุมการสนทนา....ยิ่งตั้งคำถาม + ตั้งใจฟังคำตอบมากเท่าไหร่ อีกฝ่ายจะยิ่งชอบ ไว้ใจ เชื่อมั่น เปิดใจให้คุณมากขึ้น
4. ทวนประโยค....ด้วยคำพูดของเขาอย่างถูกต้อง
กำจัดความกลัว
....อุปสรรคใหญ่สุดของความสำเร็จ ความสุข ความมีประสิทธิภาพ คือ ความกลัว ....เราจะหนีจากความไม่สบายใจไปสู่ความสบายใจ ซึ่งการลด / กำจัด ความกลัว เป็นกุญแจสู่ ความเป็นมนุษย์+บรรลุศักยภาพสูงสุดของตัวเอง
....ความต้องการมีตัวตน คือ ต้องการใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่....บุคลิกภาพ = พรสวรรค์ ความสามารถ ความสนใจ การเรียนรู้ ศักยภาพในแบบตัวเอง
....การขาย ไม่ใช่การสร้างความต้องการใหม่ แต่ที่ซื้อสินค้า เพราะช่วยบรรเทาความไม่พอใจตอนนี้ ไปสู่ความพึงพอใจที่หวังไว้ เพราะฉะนั้น หากลูกค้าที่มีความต้องการอยู่แล้ว แต่กำลังไม่พอใจ
....การที่ลูกค้าไม่ซื้อสินค้า เพราะสัมผัสได้ถึงความเสี่ยง ความกลัว ไม่ได้รับความพอใจ / ประโยชน์จากสินค้า กลัวเลือกผิด กลัวคนอื่นไม่เห็นด้วย ....ต้องทำให้ลูกค้าเชื่อว่า ซื้อสินค้าเราดีกว่าเอาเงินไปใช้อย่างอื่น และตัดสินใจถูกต้องแล้ว
....การใช้คำรับรองจากบุคคลที่มีชื่อเสียง+ได้รับความเคารพนับถือ พูดถึงสินค้าในแง่ดี ช่วยขจัดความกลัวออกจากลูกค้า รู้สึกว่าสินค้านี้ได้รับการยอมรับแล้ว ลูกค้าจะซื้อ
.....การกำจัดความกลัวเพื่อดึงศักยภาพออกมา ต้องเข้าใจก่อนว่า ความกลัวทีจุดเริ่มต้นยังไง (พิจารณาตั้งแต่วัยเด็ก) ส่งผลต่อตัวเองอย่างไร ทำสิ่งใดเพื่อลดทอนความกลัวในตัวเอง + ผู้อื่นให้เหลือน้อยที่สุด คำถามคือ
1. ตอนนี้เราอยู่ตรงจุดไหน
2. เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร (พิจารณาต้นตอความกลัว)
3. เราต้องการจะอยู่ตรงจุดไหนในอนาคต
4. เราจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร
....ความกลัวเป็นสิ่งที่เรียนรู้จากทารกกับทางที่เราโตมา เป็นวิธีคิด+รู้สึกกับตัวเอง+โลกรอบตัว ซึ่งเด็กเกิดมาไม่มีความกลัวโดยสิ้นเชิง มีความเชื่อว่าฉันทำได้ และ ไม่เคยยับยั้งชั่งใจ ไม่สงวนท่าที ทำและพูดทุกอย่างที่ต้องการโดยไม่มีข้อจำกัด
....คำว่าไม่ได้ หยุด+อารมณ์โกรธ ทำให้เด็กรู้สึกตัวเองไม่ดีพอ ไร้ความสามารถ ไม่เอาไหน ทำให้ไม่กล้าลองสิ่งใหม่ที่แตกต่างจากเดิม ซึมซับคำว่าฉันทำไม่ได้ บ่มเพาะความล้มเหลว เกิดความคิดว่า ถ้ามันไม่ได้ผลล่ะ ทำแล้วล้มเหลวพ่อแม่จะโมโห ตำหนิ ไม่ยอมรับในตัวฉันไหม สั่นคลอนความมั่นคงปลอดภัย
....ปัญหาทุกอย่างในวัยผู้ใหญ่เกิดจากวัยเด็ก เด็กๆต้องการความรัก ทำให้ตอบสนองความต้องการส่วนลึก คือความมั่นคงปลอดภัย ไม่งั้นจะกลายเป็นคนขี้กังวล หวาดกลัว เขาวัดว่าตัวเองปลอดภัยแค่ไหนจากเวลาร้องไห้พ่อแม่มาปลอบเร็วแค่ไหน
....การควบคุมใครที่ง่ายและรวดเร็วคือ การไม่ให้ความรักและการยอมรับ ใช้ความรักเป็นเครื่องมือ ต้องทำในสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ ทำให้เกิดความกลัวในจิตใต้สำนึกว่าฉันต้องทำให้คนอื่นพอใจ พอโตจึงกลัวการถูกปฎิเสธ ให้ความสำคัญกับความคิดเห็น ไม่กล้าทำในสิ่งที่คนอื่นไม่พอใจ รู้สึกผิดเมื่อทำให้ใครไม่พอใจ พยายามทำให้ได้รับการยอมรับ+ความเห็นชอบ
....เพราะฉะนั้นพ่อแม่ควรให้ลูกตัดสินใจอย่างอิสระด้วยตนเองว่าอยาก / ไม่อยากทำอะไร + พ่อแม่สนับสนุน 100% เขาจะมีทางเดินเป็นของตัวเอง ไม่วิตก ไม่คล้อยตามคนอื่น ภูมิใจ มั่นใจในตัวเอง
....พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องสอนว่าลูกต้องทำอะไร แค่ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีเท่านั้นพอ
....เราสามารถทำลายความคิดแง่ลบได้โดยวิธีที่ทรงพลังที่สุด คือ พูดออกมาว่า ฉันทำได้ ความกลัวจะหายไปความมั่นใจจะมาแทนที่
....เปลี่ยนความกลัวว่าจะล้มเหลวในสายตาพนักงาน ให้เป็นเรื่องธรรมดา บอกว่าความคิดพลาดไม่ส่งผลเสีย การล้มเหลวเหมือนเป็นลมหายใจ ให้ทำสุดความสามารถ หากล้มเหลวใช้เป็นประสบการณ์ในการเรียนรู้และเดินหน้าต่อ ยินดีกับคนที่กล้าเสี่ยง ....การฉลองให้กับความผิดพลาด เป็นวิธีขจัดความกลัวความล้มเหลว
....สร้างสภาพแวดล้อมให้มีอิสระในการพูดคุย แสดงความคิดเห็นได้ชัดเจน เปิดเผย ไม่ต้องกลัวว่าจะโกรธ ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ จดจ่อกับวิธีแก้ปัญหามากกว่าตัวปัญหา มองสิ่งที่ทำได้ จดจ่อกับอนาคต เลิกหาคนผิดเพื่อมาตำหนิ เลิกวิจารณ์ หันไปรับผิดชอบ 100% ไม่งั้นจะไม่กล้าลองอะไรใหม่ๆ ไม่กล้าบอกข่าวร้ายกับคุณ เป็นการกำจัดอารมณ์แง่ลบที่ดีที่สุด เป็นการแทนที่ความคิดลบด้วยการคิดบวก (คนเราจดจ่ออะไรได้เพียงเรื่องเดียว) ทำให้ควบคุมความคิดที่มีต่อสถานการณ์ได้ทันที ทำงานราบรื่น ได้ผลงานดีสุด
....ธุรกิจเกิดจากปัญหา ใหญ่เล็ก หัวหน้าคือ นักแก้ปัญหา เอาชนะอุปสรรค ตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ขจัดความกลัว สร้างสภาพแวดล้อมแบบนี้
....ไม่มีคำล้มเหลวในความคิดผู้นำ มีแต่บทเรียนที่น่าสนใจและหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกธุรกิจ
....เมื่อเกิดการผิดพลาด รับรู้ว่าเราต้องรับผิดชอบเอง+ได้เรียนรู้อะไรบ้าง + มองไปยังอนาคต ว่าครั้งต่อไป จะทำสิ่งนี้ ไม่ทำสิ่งนั้น เราจะไปจดจ่อกับอนาคตแทน การไปวิจารณ์จ่อจ่อกับอดีตที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้จะโกรธ ปกป้องตัวเอง หวาดกลัว ไม่กล้าเสี่ยงในอนาคต
....คำถาม ....อะไรคือเป้าหมายที่คุณกล้าฝันถึง ถ้าคุณรู้ว่าไม่มีทางล้มเหลว
สร้างความรู้สึกเหมือนผู้ชนะ
....รู้สึกว่าตัวเองมีค่า มีประสิทธิภาพ
....หน้าที่ผู้นำคือ ทำให้อารมณ์ของพนักงานเกี่ยวเนื่องกับความสำเร็จ รู้สึกเป็นผู้ชนะตลอด (อารมณ์คนเราไม่มีว่างเปล่า มีแต่บวก / ลบ) จึงควรวางระบบให้พนักงานส่วนใหญ่ทำงานได้ตามเป้า + ได้รางวัล เหมือนโรงเรียนประถมที่จัดงานกีฬาสี
....สิ่งจูงใจที่ทรงพลังคือ การคาดหวังในแง่บวก ยิ่งหัวหน้าคาดหวังในแง่บวกเกี่ยวกับความสามารถของลูกน้องมากเท่าไหร่ ลูกน้องยิ่งทำงานได้ดี มองโลกในแง่ดี
....การเรียนแบบมอนเตสซอรี่ คือ ตลอด3 ปี นักเรียนจะได้ทำภารกิจที่ยากขึ้นเรื่อยๆ ต้องทุ่มเท+ทำให้สำเร็จ จะได้กำลังใจจากครู ทำให้เขารู้สึกเหมือนผู้ชนะ ไม่มีสอบผ่าน / สอบตก เด็กทุกคนรู้สึกชนะครั้งแล้วครั้งเล่า
5ขั้นตอน สู่การเป็นผู้ชนะ
1. เป้าหมายที่ชัดเจน
....คุณไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่มองไม่เห็น เราไม่รู้จะไปไหน จะให้รถขับไปทางไหน
....10% ช่วงแรก สร้างความชัดเจนว่าต้องทำอะไร เขียนออกมา มีกำหนดเวลา โดยใช้ SMART Model of goal setting
S = Specific = เฉพาะเจาะจง....ชัดเจน ไม่กำกวมในสายตาทุกคนที่ต้องทำ
M = Measurable = วัดผลได้ ....วัดเป็นตัวเลข / คุณค่าทางการเงิน (ขั้นตอนแต่ละขั้นก็ต้องวัดผลที่ง่ายจนเด็กน้อยก็ยังบอกได้ว่าอีกไกลแค่ไหนจะถึงเป้าหมาย)
A = Achievable = ทำให้สำเร็จได้....อยู่ภายใต้ข้อจำกัดของ เวลา เงินทอง สภาพแวดล้อม ทักษะ ความสามารถ
R = Realistic = ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง (อย่าแค่อยากให้เป็น)
T = Time-bounded = มีกำหนดเวลาแน่นอน
2. ตัวชี้วัดที่จับต้องได้
.....วิ่งมาราธอนมีป้ายบอกทุกครึ่งกิโล ทำให้รู้ว่าเหลือทางเท่าไหร่ ทุกครั้งที่บรรลุเป้าหมายเล็กๆ จะรู้สึกเป็นผู้ชนะ
....การบริหารแบบหลักชัย ....การขายก้อนใหญ่อาจต้องใช้เวลานาน ทำให้ไม่สามารถรู้สึกถึงผู้ชนะ ให้แบ่งย่อยๆเป็น
หลักชัยแรก = ระบุลูกค้าเป้าหมาย
หลักชัย2 = รวบรวมข้อมูล
หลักชัย3 = นัดหมายบุคคลสำคัญที่ตัดสินใจ
หลักชัย4 = ระบุความต้องการของลูกค้า
หลักชัย 5 = เตรียมการนำเสนองาน
....ทำให้สามารถจดจ่อทำงานทีละอย่าง จดจ่อกับหลักชัยเบื้องหน้า เป็นผู้ชนะทุกกระบวนการ
3. ประสบการณ์แห่งความสำเร็จ
....ช่วยให้พนักงานสัมผัสประสบการณ์ความสำเร็จโดยเริ่มจากงานชิ้นเล็กที่สอดคล้องกับประสบการณ์ และ ความสามารถของเขา
4. การยกย่องชื่นชมในความสำเร็จ
....ทำให้เกิดความทุ่มเทพิเศษ
5. รางวัลที่จับต้องได้ / จับต้องไม่ได้
....จับต้องได้ เช่น บัตรกำนัน เงินโบนัส ตั๋วหนัง คูปองทานข้าว
....จับต้องไม่ได้ เช่น วันหยุด (เขาจะทำงานเสร็จก่อนและรีบกลับมาเคลียร์งานที่ค้าง) , การฝึกอบรมเพิ่มเติม
การเลือกคนให้เหมาะกับงาน
1. พนักงานใหม่ / คนมีประสบการณ์ระดับต่ำ = ลงไปคลุกคลี แสดงวิธีทำงานแต่ละขั้นตอน
2. ประสบการณ์ทำงานระดับกลาง = บอกวัตถุประสงค์ เป้าหมาย ภารกิจ ให้ทำเอง
3. ประสบการณ์ทำงานระดับสูง = คุยงานแบบหลวมๆ บอกสิ่งที่จำเป็นที่ต้องทำให้สำเร็จ ถามสิ่งที่ต้องการจากคุณเพื่อความสะดวก ให้ทำเอง
กระบวนการมอบหมายงานอย่างมีประสิทธิภาพ
1. เลือกคนให้เหมาะกับงานตั้งแต่แรก
2. มอบภารกิจให้ทั้งหมด ให้รับผิดชอบ100%
3. ระบุผลลัพธ์ที่เฉพาะเจาะจง ทำให้วัดผลได้
4. มอบหมายงานโดยเน้นการมีส่วนร่วม พูดคุยว่าต้องทำอะไร เหตุผลในการทำ โดยเขียนออกมา ฟังให้เข้าใจ ให้เขาจด และทบทวนให้ฟัง
5. กำหนดเส้นตาย และเส้นตายย่อยที่ชัดเจน เส้นตายต้องกระชับ และแบ่งเป็นช่วงๆ
6. มอบอำนาจในการใช้ทรัพยากรที่จำเป็นต่อการทำงาน โดยเฉพาะเวลา และ งบประมาณ
7. เมื่อมอบหมายงานแล้วให้เขารับผิดชอบ อย่าไปก้าวก่ายหรือไปช่วยงานบางส่วน
เลือกคนที่เหมาะสม
....หน้าที่เราไม่ใช่รับคนไหนก็ได้ แล้วมาเปลี่ยนบางสิ่ง แต่เราต้องหาคนที่ใช่ แล้วสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้เขา
....หากจ้างคนผิด มีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งค่าอบรม เงินเดือน การคัดคน อีกอย่างหากเขาลาออกง่าย ทำให้พนักงานที่เหลืออยู่ ไม่มั่นใจในบริษัท อย่าเห็นใจไม่ถูกทาง ที่จะไม่กำจัดพนักงานที่ด้อยความสามารถ เพราะความขี้ขลาด ความเมตตาคือให้เขาเป็นอิสระ ไม่เกี่ยวกับดี / ไม่ดี แค่คุณต้องการกับความสามารถของอีกฝ่ายไม่สอดคล้องกัน การเลือกพนักงานคล้ายการเลือกคู่ครองมาก ให้เขียนรายละเอียดที่ชัดเจน เกี่ยวกับคนที่เราอยากรับมาช่วยงาน ระบุทักษะ ประสบการณ์ที่ต้องการ ลักษณะนิสัย คุณสมบัติที่ต้องการ (คนแบบเดียวกันย่อมอยู่ด้วยกัน ให้รับคนเข้าทำงานโดยพิจารณานิสัยใจคอพอๆกับความสามารถ)
....การวิเคราะห์แบบ KWINK (Knowing what I now Know) เมื่อพิจารณาจากสิ่ที่รู้ในตอนนี้ เช่น หากมีโอกาสเลือกพนักงานอีกครั้งจะไม่รับใครเข้ามทำงาน แล้วจะกำจัดคนนี้อย่างไร เมื่อไหร่
....วิธีดูง่ายมาก หากเรามีความเครียด หงุดหงิด โกรธ ผิดหวัง รู้สึกไม่ดีกับลูกน้องคนนึงอย่างต่อเนื่อง
กฎเลข 3 ในการจ้างบุคลากร
1. สัมภาษณ์ผู้สมัครอย่างน้อย 3 คน
2. สัมภาษณ์อย่างน้อย 3 ครั้ง (ผู้สมัครจะระวังตัวน้อยลง และเผยบางอย่างออกมา)
3. เลือกสถานที่นัดพบอย่างน้อย 3 แห่ง (ปรากฎการณ์กิ้งก่า คนเราจะเปลี่ยนนิสัยตามสถานที่ อาจนัดคนในครอบครัวมาทานข้าวด้วยกัน)
4. จัดให้มีผู้สัมภาษณ์อย่างน้อย 3 คน เช่น กรณีคิดจะรับคนนี้แล้ว ให้พาไปพบปะกับว่าที่เพื่อนร่วมงาน ให้เพื่อนร่วมงานแนะนำเพื่อนอีกคน อาจทานข้าวด้วยกัน พอผู้สมัครกลับ ให้โหวตคะแนน
5. ให้ลูกน้องคนอื่นมาสัมภาษณ์ด้วย อาจนัดกันสังสรรค์หลังเลิกงานต่อ
คุณสมบัติ 4 ประการ ที่ต้องการในการสัมภาษณ์ คือ SWAN (Smart , work hard ,Ambitious , Nice)
1. Smart ทำนายความความสำเร็จได้ถึง 72% ดูจากการยิ่งเรียนสูง ปริมาณหนังสือที่อ่าน พัฒนาตนเอง CDที่ฟัง หลักสูตรที่อบรมพัฒนาการ ความสงสัยใคร่รู้ มีคำถามมากมาย อยากรู้ข้อมูลบริษัท สินค้า บริการ อนาคต ภาพรวมบริษัท รวมทั้งตัวคุณ (คนที่ไม่รู้จักพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องไม่มีทางสำเร็จในระยะยาว)
2. ทำงานหนัก Work Hard มองหาคนที่ยินดีทำทุกอย่างไม่ว่าอะไรก็ตาม
3. ทะเยอทะยานรักความก้าวหน้า....ถาม...คุณมองตัวเองไว้อย่างไรใน 3-5ปีข้างหน้า ควรรับคนที่ต้องการเลื่อนตำแหน่ง ต้องการเติบโต
4. น่าคบ ....ควรจ้างคนที่คุณชอบ และ พอใจเท่านั้น อย่าเห็นแก่ทักษะและความรู้เฉพาะทาง
....ระวังคนด้อยความสามารถชัดเจนแต่เก่งสัมภาษณ์ เขาจะดูผ่านทุกข้อที่กล่าวมาด้านบน แต่ ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน มีข้อแก้ตัวเยอะ อยากได้ค่าจ้างเพิ่ม มักแสดงตัว หลังจาก 3-6เดือน
....อย่าเพิ่งขายจนกว่าจะตัดสินใจซื้อ เช่น อย่าเพิ่งบอกความพิเศษของงาน และ สร้างความประทับใจ จนกว่าคิดว่าเขาเหมาะสมจริง
...ก่อนรับใครเข้าทำงาน ให้คิดว่า ถ้าต้องเจอกับคนนี้ทุกวันตลอด20 ปี โอเคอยู่ไหม....ถ้าต้องพาเขาไปทานข้าวกับครอบครัวรู้สึกอย่างไร
.....สิ่งที่ต้องเขียนออกมา
ระบุชื่อพนักงานที่ทำงาน..ดี..ที่สุดจำนวนนึง ...ดูว่าเขามีอะไรเหมือนกัน
ระบุชื่อพนักงานที่ทำงาน..แย่..ที่สุดจำนวนนึง ...ดูว่าเขามีอะไร
ผลลัพธ์คือทุกอย่าง
....เทคนิคสร้างแรงจูงใจ เสริมความภูมิใจในตัวเอง ตัวตนในอุดมคติ มุมมองที่ดีต่อตัวเอง กำจัดความกลัว ทำให้เขารู้สึกเป็นผู้ชนะ ที่ทำมาทั้งหมด เพื่อบรรลุผลลัพธ์ที่เป็นเป้าหมายสูงสุด ผลลัพธ์ต้องเฉพาะเจาะจง วัดผลได้ ทีกำหนดเวลาแน่นอน
....แบรนด์มีองค์ประกอบ 2 อย่าง คือ สัญญาที่คุณให้ไว้ กับ สัญญาที่คุณรักษาได้
....แบรนด์ของตัวคุณคือ สิ่งที่ผู้คนคิด พูดถึงเกี่ยวกับคุณ ประกอบจากสัญญาที่ให้ไว้ (ผลลัพธ์ที่คุณตกลงว่าจะทำให้สำเร็จ) กับ สัญญาที่คุณรักษาได้ (ผลลัพธ์ที่คุณทำสำเร็จจริงๆ) ความชัดเจน ความเสมอต้นเสมอปลาย
กฎเลข 3
1. ผลลัพธ์3 อย่างที่ลูกค้าให้ความสำคัญ + ยินดีจ่ายเงินให้มากที่สุด เช่น การคิดสินค้าใหม่ การตลาดเชิงรุก การบริการที่ยอดเยี่ยม (มี 1ผลลัพธ์หลัก 2 ผลลัพธ์เสริม)
2. 3 สิ่งที่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจคุณมากถึง 90% มีอะไรบ้าง
หลุมพราง 2 อย่างที่ต้องหลีกเลี่ยง
1. เขตแดนแห่งความสบายใจ
....สิ่งที่คุณทำ 95% มาจากความเคยชินของคุณ (ความเคยชินดีๆ สร้างยากแต่ทำให้ชีวิตง่าย ...ความเคยชินแย่ๆสร้างง่าย แต่ทำให้ชีวิตยาก) ความเคยชินทำให้ทำอย่างอัตโนมัติ เอาความคิดมาจัดการงานที่ซับซ้อน+ ความคิดสร้างสรรค์ เพราะฉะนั้น ต้องบังคับให้จดจ่อกับกิจกรรม 3 อย่างแรกที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
2. เส้นทางที่สะดวกที่สุด
....เป็นศัตรูร้ายกาจของความสำเร็จ คนส่วนใหญ่มองหาความพยายามน้อยสุด วิธีง่าย และ รวดเร็ว หาทางลัด ทำกิจกรรมที่ไม่เกิดผล ....ให้จดจ่อกับสิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตส่วนตัว+ชีวิตการทำงาน
การวางแผนเพื่อบรรลุผล
1. ถาม ....ถ้าฉันสามารถบรรลุผลลัพธ์เพียงข้อเดียว ผลลัพธ์ใดก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจฉัน วงกลมสิ่งนั้น แล้วจัดลำดับ 1 2 3
2. เขียนทุกสิ่งที่ทำได้ใน 1 วัน / 1 เดือน เพื่อบรรลุผลลัพธ์ที่สำคัญสุด แล้วเอาคำถามข้อ1 มาจัดลำดับ 1 2 3
3. เลือกกิจกรรมที่สำคัญมากสุด แล้วลงมือทำทันที + ฝึกตนเองจดจ่ออย่างแน่วแน่ หยุดพักอย่างอื่นก่อน
4. ทำในสิ่งที่สำคัญสุด จะรู้สึกดีกับตัวเอง มีความคิดสร้างสรรค์ ปลดปล่อยศักยภาพ
5. ให้ทีมของคุณทำแบบคุณตั้งแต่ ข้อ 1 และ ออกแบบระบบที่เอื้อให้ทุกคนทำ วางแผนด้วยการระบุผลลัพธ์ที่หวัง มองหาพนักงานที่มีทักษะ และ ประสบการณ์ที่หลากหลาย
6. เขียนทักษะที่พนักงานต้องมี เรียงทักษะตามลำดับความสำคัญ
7. เริ่มจากหน้าที่ที่ต้องทำ แล้วกำหนดหาว่าใครเหมาะสม
8. ถามคำถาม ....เพราะอะไรเราถึงได้เงินเดือน เค้าจ้างให้บรรลุผลลัพธ์อะไร เค้าคาดหวังให้ทำอะไรที่สำคัญที่สุด ....เล่นเกม ...ผู้จัดการเขียนรายชื่อลูกน้องพร้อมทั้งเขียนงาน3อย่างที่พวกเขาต้องทำ ....อีกฝั่งให้ลูกน้องเขียนงาน3อย่างที่ตนเองต้องทำ....เอามาเช็คคำตอบกัน เพื่อเช็คว่า พนักงานเข้าใจท่องแท้ไหมว่าเขาต้องทำอะไร และ เรามอบหมายงานได้ดีไหม
9. ให้ทุกคนเข้าใจงานของคนอื่น เพื่อให้เข้าใจจุดยืนของตัวเอง รู้ว่างานของตัวเองสำคัญแค่ไหน งานของคนอื่นคืออะไร หน้าที่รับผิดชอบเพิ่มเติมของตัวเองคืออะไร เมื่อไหร่ที่หน้าที่ถูกมองข้าม / ทำไม่ได้ ให้จัดประชุม....เพราะอะไรฉันถึงได้เงินเดือน
กุญแจ 5 ดอกสู่ผลงานที่ยอดเยี่ยม
1. เป้าหมาย+วัตถุประสงค์ร่วม....พนักงานต้องเข้าใจเหตุผลในการดำรงอยู่ของบริษัทนี้ สิ่งที่บริษัทต้องการทำให้สำเร็จคือ เป้าหมายและวัตถุประสงค์สำคัญคือ (ทำไมพวกเขาถึงได้เงินเดือน)
2. ค่านิยมร่วม ....ให้แต่ละคนเขียนค่านิยมสำคัญสุด5อย่าง ช่วยกันโหวตเพื่อนำมาปฎิบัติ เช่น ความซื่อสัตย์ การให้เกียรติผู้อื่น การรับผิดชอบ การตรงต่อเวลา..... การมีค่านิยมร่วมทำให้แก้ปัญหา และ ตัดสินใจได้เร็วกว่าไม่มีค่านิยมที่ชัดเจน
3. แผนการทำงานร่วมกัน....ทุกคนต้องรู้ว่า คนอื่นในทีมถูกคาดหวังให้ทำอะไร ลำดับความสำคัญคือ กำหนเดสร็จเมื่อไหร่ ยิ่งเข้าใจคนรอบตัวชัด ยิ่งมองโลกในแง่ดี มีแรงจูงใจ ให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีม
4. ภาวะผู้นำสำหรับทีมของคุณ ....หน้าที่คุณคือ ช่วยให้ทีมทำตามหน้าที่ ไม่ใช่ผู้บังคับการ ....ถามคำถามว่าให้ฉันช่วยอะไรได้บ้างเพื่อให้พวกเขาทำงานรวดเร็วและยอดเยี่ยม
5. การประเมิน+วัดผลอย่างต่อเนื่อง....ทีมที่ยอดเยี่ยมประกอบด้วยสมาชิกที่โหยหาความสำเร็จ "ตั้งคำถามว่า....เราทำได้ดีแค่ไหน ...จะปรับปรุงให้ดีขึ้นได้อย่างไร...ควรทำอะไรมากขึ้น/น้อยลงเพื่อให้ผลลัพธ์ดีขึ้น ควรเริ่ม/เลิกทำอะไรเพื่อให้ผลลัพธ์ดีขึ้น
....ชีวิตการทำงานของคนเรา จะก้าวไปข้างหน้า 2 ก้าว ถอยหลังกลับ 1 ก้าวเสมอ เพราะฉะนั้น ให้มุ่งเน้นวิธีแก้ปัญหา แก้ไขอุปสรรคที่เจอ มองหาทางแก้ที่ทำได้ทันที ไม่หาข้อแก้ตัว/หาแพะ ทุกคนจะมองโลกในแง่ดี และ คิดสร้างสรรค์
เป็นคนยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่คุณจะเป็นได้
....การเป็นหัวหน้า ผู้จัดการ ผู้นำที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ เป็นรากฐานการสร้างแรงจูงใจ ต้องพิสูจน์ตนเองว่าเป็นคนจริงใจ ฉลาดหลักแหลม มีวิสัยทัศน์ มีความคิดสร้างสรรค์ เพียรพยายาม จริงจังกับการพัฒนาตนเอง พัฒนาลูกน้อง
....ผู้จัดการที่สำเร็จ มีคุณสมบัติ 3 เรื่อง
1. จดจ่อกับผลลัพธ์ .....พุ่งเป้าที่ทำงานสำเร็จและได้ผลดี
2. จดจ่อกับวิธีแก้ปัญหา
3. จดจ่อกับการลงมือทำ ....เมื่อเรียนรู้แนวคิดใหม่ ลงมือทำทันที รวดเร็ว ...จะได้เรียนรู้ทักษะใหม่
กฎการบริหาร 17 ข้อ เพื่อการเป็นหัวหน้าที่เปี่ยมประสิทธิภาพ
1. ความชัดเจนคือพลัง
....สิ่งที่สร้างแรงจูงใจได้มากสุด คือ รู้ว่าคนอื่นคาดหวังอะไรจากเรา
....การบริหารคือ การทำงานให้สำเร็จผ่านคนอื่น เพราะฉะนั้น คุณต้องรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ทำสิ่งนั้นอย่างไร ทำให้หน้าที่ลูกน้องชัดเจน เวลา 1 นาทีที่ใช้ไปกับการวางแผน ทบทวน สร้างเป้าหมายที่ชัดเจน ช่วยประหยัดเวลาทำจริงได้10 นาที ....ความสำเร็จ 80% ถูกกำหนดจากความขัดเจนในแต่ละด้าน
2. ความสามารถคือสิ่งสำคัญยิ่ง
....ต้องทุ่มสุดตัวเพื่อให้ได้เป้าหมายที่ยอดเยี่ยม ทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง รับฟังคำวิจารณ์ นำไปปรับปรุงตัว ปรับปรุงสิ่งที่ทำอยู่ ถามตนเองเสมออะไรที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยมจะส่งผลดีต่อธุรกิจมากที่สุด จด วางแผน กำหนดมาตราฐาน ลงมือทำ
3. ระบุข้อจำกัดของคุณ
....ระหว่างจุดที่ยืนอยู่กับจุดที่ต้องการไปถึง มีข้อจำกัดอะไรที่เป็นตัวกำหนดความเร็ว (คอขวด) ข้อจำกัดใดถ้าไม่มีจะทำให้ก้าวไปสู่เป้าหมายได้เร็ว ปัญหาใดแก้ได้ จะบรรลุเป้าหมายได้เร็ว เป้าหมายใด ทำสำเร็จ จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ ข้อจำกัด80% มักมาจากภายในตัวคุณ/องค์กรคุณ มีปัจจัยใดฉุดรั้งเอาไว้
4. ปลดปล่อยพลังความคิดสร้างสรรค์
....เพื่อปลดปล่อบอัจฉริยะในตัวคุณออกมา ต้องมีเป้าหมายที่ต้องการอยางแรงกล้า ปัญหาเร่งด่วน คำถามตรงประเด็นที่กระตุ้นให้เกิดแนวคิดดีๆ ....เขียนในรูปแบบคำถามว่า เป้าหมาย / ปัญหาใหญ่ที่สุด เช่น จะเพิ่มยอดขายเป็น2เท่า ใน24 เดือนได้อย่างไร ...บังคับตัวเองเขียนมา20 ข้อ ....เลือก1 ข้อไปทำทันที
5. จดจ่ออย่างแน่วแน่กับสิ่งที่ทำ
....คนสำเร็จจะจดจ่อกับภารกิจที่สำคัญที่สุดอย่างเดียว ไม่สะเปะสะปะ โดยคำถาม4ข้อ จะทำให้ไม่ออกนอกลู่
A: ในบรรดากิจกรรมที่ฉันทำ กิจกรรมใดมีค่ามากที่สุด
B: เพราะอะไรฉันถึงได้รับเงินเดือน
C: สิ่งใดมีแค่ฉันคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้...ถ้าทำได้ดีจะสร้างความเปลี่ยนแปลง ..เป็นหัวใจของการบริหารเวลา
D: สิ่งใดเป็นการใช้เวลาที่คุ้มค่าที่สุดในตอนนี้
6. กล้ายืนหยัดในสิ่งที่คุณเชื่อ
....ต้องกล้าเสี่ยงออกจาก ComfortZone ....ถาม ..หากไม่มีวันล้มเหลวแน่นอน อะไรคือสิ่งที่คุณกล้า เป้าหมายคือ...จะลงมือทำอะไร ...จด..และลงมือทำ
....ถ้าอยากสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ จงสร้างนิสัยในการทำสิ่งต่างๆที่คุณกลัวให้ได้ตลอดชีวิต ถ้าคุณทำสิ่งที่คุณกลัว ความกลัวนั้นจะสูญไปอย่างแน่นอน
7. พัฒนาลักษณะนิสัยที่ดี
....จำเป็นต้องสั่งสม และ รักษาชื่อเสียง ในเรื่องความจริงใจและความซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ต้องการและเป็นที่เคารพนับถือมากที่สุด อย่าเอาความซื่อสัตย์ไปแลกกับผลประโยชน์ระยะสั้น
8. วางแผนทุกรายละเอียดล่วงหน้า
....ต้องรู้ชัดเจนว่าผลลัพธ์คืออะไร เขียนรายละเอียดของสิ่งที่ต้องทำ จัดลำดับความสำคัญ คำนวณทรัพยากร ...ต้องรู้ว่าต้องทำอะไร
9. เตรียมพร้อมก่อนที่จะเริ่ม
....เตรียมคน ...เตรียมว่าต้องการความช่วยเหลือจากใคร ....เตรียมเงิน และ อื่นๆ
10. ใช้คนอย่างเหมาะสมในทุกระดับ
....ความสำเร็จ 95% กำหนดจากคนที่คุณเลือก
11. มอบหมายงานอย่างมีประสิทธิภาพ
....ทบทวนงานก่อนมอบหมาย ....เลือกคนมาทำงาน....พูดคุยรายละเอียด...ให้อีกฝ่ายทวน...ให้ความช่วยเหลือในรูปของบุคลากร เงิน ทรัพยากรที่จำเป็น ....ตรวจสอบเป็นประจำว่ายังทำงานได้ราบรื่นไหม ....ให้เรียนรู้การมอบหมายงานเหมือนการพัฒนาตนเองตลอดชีวิต
12. ตรวจสอบสิ่งที่คุณคาดหวัง
....บริหารงานด้วยจุดประสงค์ ลูกน้องรู้แน่ชัดว่าให้ทำอะไร ในมาตราฐานใด เส้นตายเมื่อไหร่ ...ใช้เวลา 75% คลุกคลีกับลูกน้อง จะรู้ปัญหาทันที เป็นกำลังใจ และ แรงจูงใจ
13. รายงานให้เจ้านายทราบเสมอ
....คนได้เงินเดือนสูง เลื่อนตำแหน่งเร็ว มักคอยรายงานสิ่งที่ตัวเองทำให้คนรอบข้างรู้ชัดเจน และ สม่ำเสมอ
14. มุ่งเน้นที่การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
....เสร็จเร็ว ดีขึ้น ประหยัดขึ้น ง่ายขึ้น โดยหลัก 3 ข้อ
A: จัดทีมใหม่....ถ่ายโอนบุคลากรอย่างต่อเนื่อง
B: รื้อกระบวนการทำงาน ....ทำให้การทำงานง่ายขึ้น ราบรื่นขึ้น ประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความซับซ้อน
C: ปรับโครงสร้าง
15. ยึดมั่นกับคุณภาพในทุกสิ่งที่ทำ
....คุณภาพ = ความเป็นเลิศ
....ถาม...ทำไมลูกค้าต้องซื้อกับคุณแทนที่จะซื้อกับคนอื่น พอรู้ ให้ทุ่มเทพัฒนาไปที่ด้านนั้น
..............มีด้านใดบ้าง ที่เราเป็น 1 แล้วธุรกิจเราจะได้รับประโยชน์สูงสุด ให้พัฒนาที่ตรงนั้น
16. พุ่งเป้าไปที่การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
....ถาม...บริษัทที่สมบูรณ์ในทุกด้าน อีก 5 ปีจะมีลักษณะเป็นยังไง
..............บริษัทในฝันมีลักษณะเป็นยังไง
....รวบรวมคำจำกัดความที่ชัดเจน จัดลำดับความสำคัญ ร่างแผนการ เปลี่ยนแปลงและพัฒนา เพื่อให้เป็นจริง
17. อย่าหยุดสร้างนวัตกรรม
....ถาม....ถ้าเราไม่ได้ทำแบบที่เราทำตอนนี้ หากได้เริ่มต้นใหม่ เราจะทำแบบเดิมอีกไหม
...............ยังมีวิธีอื่นที่ดีกว่าวิธีที่ใช้อยู่ตอนนี้อีกไหม กำหนดมาตราฐานสูงให้กับตัวเอง หาวิธีทำให้ได้
....ถาม กฎ17 ข้อ ให้เราให้คะแนนตนเอง ว่าทำแต่ละด้านได้ดีเพียงใด ระบุทักษะที่บกพร่อง ร่างแผนที่จะพัฒนาทักษะนั้น เลือกมา 1 ข้อ ฝึก จดจ่อจนชำนาญ
....ผู้สำเร็จทุกคนเน้นที่ผลลัพธ์ วิธีแก้ปัญหา ลงมือทำทันที อย่างรวดเร็วที่เกิดความคิด / เห็นโอกาส
....ที่เราไม่ก้าวหน้า เพราะไม่กล้าลองทำสิ่งใหม่ๆ
เพิ่มการพัฒนาตัวเองวันละนิด
เหมือนเติมวันละ 1 องศา
1 วัน อาจจะไม่มีอะไร
10 วันไม่มีความต่าง
แต่ 100 วันล่ะ 1000 วันล่ะ
จะเปลี่ยนแปลงไปโดยแทบไม่เห็นร่องรอยเดิม
มาพัฒนาวันละ 1 องศา เพื่อเติมเต็มวงล้อชีวิตให้สมบูรณ์ไปด้วยกัน...กับเพจ #องศาที่หายไป
👍🏻เลื่อนนิ้วโป้งกด Like กด Share ให้จูลสักนิด..เพื่อชีวิตที่มีกำลังใจให้จูลนะคะ..ขอบคุณค่ะ
⭐️ติดตามที่ Blockdit
❤️ติดตามที่ Youtube
🥰คุยกับจูลได้ใกล้ชิดมากขึ้น ที่Line ค่า (Add ไว้ จะได้ทราบข่าวสารอัพเดตค่า

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา