11 มิ.ย. 2020 เวลา 15:08 • ความคิดเห็น
เกมการเมืองระดับโลกระหว่าง จีน-ออสเตรเลีย
จุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่าง ออสเตรเลีย-จีน
เริ่มต้นในวันที่ 19เม.ย. เมื่อรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศประเทศของออสเตรเลีย ออกมาบอกว่า นานาชาติควรเข้าไปตรวจสอบจีน ว่าในช่วงแรกที่มีการระบาด จีนมัวทำอะไรอยู่ ไม่รีบออกมาประกาศให้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน จงใจที่จะปิดบังข้อมูลไม่ให้ทั่วโลกรู้หรือไม่
ข้อมูลเพิ่มเติม ออสเตรเลียมีคนติดเชื้อรายแรกของประเทศเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน ในวันที่25 มกราคม มีรายงายผู้ติดเชื้อรายแรกในออสเตรเลีย
เอกอัครราชฑูตจีนประจำประเทศออสเตรเลีย Cheng Jingye
ซึ่งเรื่องนี้เอกอัครราชทูตจีนในออสเตรเลีย ออกมาตอบโต้ทันควันว่า คนจีนต้องคิดหนักแล้วว่าจะดื่มไวน์ออสเตรเลีย และซื้อเนื้อวัวจากออสเตรเลียต่อไปดีหรือไม่ นักท่องเที่ยวจีน คงต้องคิดให้มากเสียก่อน ก่อนจะเดินทางมาเที่ยวออสเตรเลีย
รวมถึงพ่อแม่ชาวจีน คงต้องคิดกันเยอะขึ้นหากจะส่งลูกหลานมาเรียนที่ออสเตรเลีย เหมือนทางจีนจะออกมาเตือนทางออสเตรเลียว่าหากกล่าวหาจีน จีนจะแบนออสเตรเลียจริงๆ
โดยพอเรามาดูตัวเลขทุกๆอย่างที่จีนกล่าวมา เป็นความจริง
ประเทศจีนคือคู่ค้าสำคัญที่สุดของออสเตรเลีย ไม่ใช่เพื่อนรักอย่างสหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษแต่อย่างใด
ทั้งเรื่องการส่งออก การท่องเที่ยว และการศึกษา
ถ้าหากจีนแบนออสเตรเลียขึ้นมาจริงๆรายได้ของออสเตรเลียคงจะหายไปอย่างมหาศาล
หากเรามาดูตัวเลขการส่งออกที่ออสเตรเลียส่งออกไปจีน ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อสัตว์ ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปออสเตรียเลียพบว่ามีชาวจีนเดินทางไปท่องเที่ยวออสเตรเลียมากที่สุด และการศึกษาพบว่า มหาลัยออสเตรียเลียมีรายได้มหาศาลจากนักศึกษาจีนมากที่สุดเช่นกัน
สงครามน้ำลายในยกแรกผ่านไป โดยที่ทางการจีนได้ขู่จะแบนออสเตรีย
รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยของออสเตรเลีย โจมตีจีนกลับไปว่าอย่าเปลี่ยนเรื่อง ถ้าหากออสเตรเลียเป็นต้นกำเนิดของการระบาดจะยอมให้นานาชาติเข้ามาตรวจสอบได้อย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ก็สวนกลับไปว่าทางการจีนแนะนำให้ออสเตรียหยุดเล่นเกมการเมืองซะเถอะ และเอาเวลานี้ไปดูแลประชาชนออสเตรเลียเองดีกว่า หรือไม่ก็ทุ่มเทเพื่อช่วยชาติอื่นคิดวัคซีน
ดีกว่ามาเสียเวลามาสร้างความขัดแย้งให้ผู้อื่น
ในยกแรกนั้นทางการจีนได้เตือนไปแล้ว และจีนก็มีทีท่า
เอาจริง
ในวันที่ 10 พฤษภาคม รัฐบาลจีนได้ขึ้นภาษีนำเข้าข้าวบาเลย์จากออสเตรเลียสูงถึงร้อยละ 80
12 พฤษภาคม จีนได้ประกาศว่าจะงดนำเข้าเนื้อสัตว์จากออสเตรเลีย 4รายใหญ่ ซึ่งปริมาณเนื้อวัวที่ส่งออกของออสเตรเลียจากผู้แปรรูป 4 รายคิดเป็น 35% ของปริมาณทั้งหมดส่งออกไปที่ประเทศจีน ขณะที่ออสเตรเลียส่งออกเนื้อวัวไปยังจีน คิดเป็นปริมาณ 30% จากปริมาณการส่งออกทั้งหมด
โดยเรื่องนี้ทางการออสเตรเลีย ออกมาบอกว่าเป็นเพียงปัญหาด้านสุขภาพและปัญหาทางเทคนิคไม่ได้เกี่ยวกับความขัดแย้งแต่อย่างใด แต่ดูเหมือนการพูดในครั้งนี้เป็นเหมือนการพูดเพื่อปลอบใจผู้ประการรายใหญ่ของประเทศเท่านั้น
และล่าสุด ในวันที่ 5 มิถุนายน ทางการจีนออกมาเตือนประชาชนที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวออสเตรเลียให้เลี่ยงการเดินทางไปก่อนโดยให้เหตุผลไว้ว่า ที่ออสเตรเลียมีการเหยียดสีผิวที่รุนแรง และเตือนนักศึกษาที่คิดจะไปศึกษาต่อที่ออสเตรเลีย ให้ประเมินความเสี่ยงให้ดี
ซึ่งพอเรื่องเป็นแบบนี้ทางการออสเตรเลีย ก็เงียบกริบแบบไม่ส่งเสียงสักคำ รัฐบาลออสเตรเลียพยายามทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนายอำเภอของโลกซึ่งนายอำเภอก็คือสหรัฐอเมริกา
แต่ออสเตรเลียเดินเกมผิดพลาดไปหลายจุด ทำให้ต้องเจอกับ
การขึ้นภาษีนำเข้าข้าวบาร์เลย์ไปยังประเทศจีน เจอกับการห้ามนำเข้าเนื้อสัตว์จากโรงงานฆ่าสัตว์ 4 โรงใหญ่ๆ ในออสเตรเลีย รวมทั้งความเข้มงวดในการนำเข้าถ่านหินจากออสเตรเลียไปยังประเทศจีน
ต้องมารอดูกันต่อไปว่า ออสเตรเลียจะมีท่าทีอย่างไรต่อจีน หากทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนายอำเภอเกินหน้าเกินตามากไป อาจจะต้องเจอกับการแบนจริงจังจากทางจีนก็เป็นได้
หากผู้อ่านชื่นชอบบทความ อย่าลืม กด like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจดีๆสำหรับผู้เขียนด้วยนะครับ สามารถ Comments แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้เลย
โฆษณา