8 มี.ค. 2021 เวลา 00:17 • ปรัชญา
อัษฏาวกระ คีตา บทที่ 17
ผู้รู้แท้จริง
อัษฏาวกระอธิบายถึงธรรมชาติของผู้ที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง
อัษฏาวกระ กล่าว :
17.1
ผู้ได้รับผลของความรู้ ก็เปรียบเหมือนผู้ที่ได้รับผลจากการฝึกโยคะ, เขามีความพึงพอใจด้วยความรู้สึกอันบริสุทธิ์, เขามีความสุขแม้จะอยู่ตามลำพัง
(พึงพอใจ หมายถึง ไม่ต้องการสิ่งใด, เพราะเขารู้ว่าตัวของเขาเองนั้นคือทุกสิ่ง)
(ความรู้สึกอันบริสุทธิ์ หมายถึง ความรู้สึกที่ไม่ยึดติดกับวัตถุใดๆ, ความรู้สึกนั้นจะไม่บริสุทธิ์ ตราบเท่าที่ยังยึดติดอยู่กับวัตถุ)
(มีความสุข หมายถึง อาตมันของเขาเองคือทุกสิ่ง)
(อยู่ตามลำพัง เนื่องจากเขาคือจักรวาลทั้งหมด และไม่มีสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากเขา)
17.2
โอ! ผู้รู้แจ้งใน “สัจธรรม” ไม่เคยมีความทุกข์ในโลกนี้, เพราะจักรวาลทั้งหมดถูกเติมเต็มโดยเขาเพียงลำพัง
(ผู้รู้ – ความทุกข์เกิดขึ้นได้กับคนที่ยอมรับในสิ่งคู่ตรงกันข้ามเท่านั้น เมื่อยอมรับว่าในจักรวาลนี้ไม่มีสิ่งใดนอกจากตัวเขา, ความโศกเศร้าก็มิอาจแตะต้องเขาได้)
17.3
ไม่มีวัตถุแห่งสัมผัสใดที่สร้างความรื่นรมย์ให้กับผู้ที่ปิติในอาตมัน เปรียบเสมือนช้างที่ได้ลิ้มรสใบของต้นกำยานแล้ว ก็ไม่พึงพอใจในรสชาติของใบสะเดาอีก
(ไม่รู้สึกรื่นรมย์ –เสน่ห์ของวัตถุแห่งสัมผัสไม่มีผลใดต่อคนที่ตระหนักรู้ในอาตมัน และมีบรมสุขอันสมบูรณ์เป็นนิรันดร์ เขาผู้นั้นไม่เห็นค่าใดๆ ของวัตถุแห่งสัมผัส)
17.4
ผู้หายากในโลกคือผู้ที่ไม่โลภในสิ่งที่เขาชื่นชอบ และไม่ผลักไสในสิ่งที่เขาไม่ชื่นชอบ
(ความโลภ – ทันทีที่เรามีความสุขกับสิ่งหนึ่ง, ความประทับใจจะอยู่ในจิตและทำให้เราปรารถนาสิ่งนั้นอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีเพียงความรู้ในอาตมันที่จะสามารถกำจัดความดึงดูดใจนี้)
17.5
มีทั้งคนที่ปรารถนาความรื่นรมย์ทางโลก และ คนที่ปรารถนาการหลุดพ้น อยู่ในโลกนี้ แต่ผู้ที่หาได้ยากคือผู้มีจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ซึ่งไม่ปรารถนาทั้งความรื่นรมย์และการหลุดพ้น
(ผู้ไม่ปรารถนา – แม้แต่ความปรารถนาการหลุดพ้นก็เป็นความไม่สมบูรณ์ เพราะมันบ่งบอกถึงจิตสำนึกแห่งพันธะ ตราบเท่าที่ยังมีความปรารถนา ก็จะยังไม่บรรลุ “ความรู้ที่สมบูรณ์” [Absolute Knowledge])
17.6
มีเพียงบางคนที่ไม่ถูกดึงดูดหรือผลักไส โดย ธรรม, อรรถ, กาม และ โมกษะ ตลอดจน ชีวิตและความตาย เขาผู้นั้นมีจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่
(ชีวิต – คนที่รู้ในอาตมันนั้นมีสติในตัวเขาเองตลอดเวลา เขาไม่คิดเรื่องร่างกาย ชีวิตและความตายจึงไม่มีความหมายสำหรับเขา)
17.7
คนที่มีความรู้ ไม่รู้สึกชิงชังต่อจักรวาล หรืออยากให้จักรวาลสูญสลาย ดังนั้น, ผู้บรรลุธรรมจึงมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขไม่ว่าจะมีปัจจัยยังชีพอะไรก็ตาม
(ไม่อยากให้จักรวาลสูญสลาย – เพราะเขายอมรับว่าจักรวาลคืออาตมันของเขาเอง คนที่มีอวิชชา, เห็นว่าโลกเป็นรากของความทุกข์ เขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงและทำลายมัน เพื่อที่จะทำลายความทุกข์ทั้งปวง, แต่เมื่อเกิดความรู้ในอาตมัน, ทรรศนะของเขาก็จะเปลี่ยนไปและสรรพสิ่งก็ปรากฏเป็นเพียงอาตมันสิ่งเดียวเท่านั้น)
(ดำรงชีวิตอย่างมีความสุข – เพราะเขามิต้องใช้ความพยายามใดๆ ในการยังชีพ เนื่องจากอัตตาของเขาได้ถูกถอนรากถอนโคนไปจนหมดสิ้น)
17.8
ผู้บรรลุธรรม ซึ่งเติมเต็มโดยความรู้นี้มีจิตที่เอิบอาบและพึงพอใจ เขาดำรงชีวิต, มองเห็น, ได้ยิน, สัมผัส, ได้กลิ่น และรับประทานอย่างมีความสุข
(ความรู้นี้ – ความรู้ในอาตมันที่ได้กล่าวในบทนี้)
(จิต – จิตที่ชุ่มอิ่มอยู่กับความรู้ในอาตมันอันส่องสว่าง ให้ผลเป็น “การบรรลุธรรม”)
(พึงพอใจ – เพราะไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้บรรลุอีก)
(การมองเห็น, ได้ยิน, สัมผัส, ได้กลิ่น และการรับประทาน – จากคนธรรมดาที่มีข้อจำกัดโดยพฤติกรรมภายนอก เมื่อเขาเป็นผู้รู้แจ้งก็ไม่มีสิ่งใดเป็นข้อจำกัดอีก เขามีทุกสิ่งเหมือนคนปกติในอดีต ยกเว้น ความรู้สึก “ตัวฉัน” [I-ness] และ “ของฉัน” [mine-ness])
17.9
ไม่มีการยึดติด หรือ ไม่ยึดติด ในคนที่เป็นมหาสมุทรอันแห้งเหือดของโลก การมองของเขาว่างเปล่า, การกระทำของเขาไร้ความคาดหวัง และเขาไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ
(มหาสมุทร – โลก [ของการเกิดแล้วเกิดอีก] เปรียบได้กับมหาสมุทร เมื่อคนตกลงสู่มหาสมุทร, เขาถูกคลื่นซัดไปมา เขาพบว่าการที่จะไปถึงฝั่งนั้นช่างยากเย็นและมีความทุกข์มากมาย เช่นเดียวกับในสังสารวัฏ, กามและความปรารถนาเคลื่อนไปในที่ต่างๆ เราทนทุกข์ทรมานอย่างใหญ่หลวง และไม่มั่นใจว่าจะสามารถเข้าถึงความรู้แห่งอาตมัน)
(เหือดแห้ง – เมื่อคนเป็นอิสระจากอวิชชา ผลที่ตามมาคือการเป็นอิสระจากกามและความปรารถนา และแล้วเขาผู้นั้นก็จะตระหนักรู้ถึงอาตมัน)
(ว่าง – เพราะเขาไม่มีเหตุจูงใจอะไรอยู่ข้างใน)
(ไร้ความคาดหวัง – เพราะการกระทำของเขามีมุมมองอันไม่สิ้นสุด)
(ไร้ความรู้สึก – เพราะเขาไม่มีความรู้สึกประทับใจต่อวัตถุใดๆ อีกต่อไป, เขาไม่มีปฏิกิริยาต่อสัมผัสเหมือนคนธรรมดา)
17.10
ผู้บรรลุธรรมไม่ทั้งตื่นและหลับ ไม่ทั้งเปิดและปิดตา โอ! จิตวิญญาณที่หลุดพ้นมีความสุขในทุกสถานและพึงพอใจเป็นที่สุด
(ไม่ตื่นและไม่หลับ – ไม่อาจเรียกจิตวิญญาณที่หลุดพ้นว่า ตื่น เพราะเขาไม่เสาะหาวัตถุทางโลกและ เขารับรู้มันตามที่มันเป็น เขาได้ตายไปจากโลกแห่งการเปรียบเทียบ, ไม่อาจเรียกจิตวิญญาณที่หลุดพ้นว่า หลับ เพราะเขาถึงพร้อมด้วยสติของอาตมันอันแผ่ซ่านไปทั่วจักรวาล)
(ทุกสถาน – ภายใต้ทุกสภาวะ)
17.11
คนที่หลุดพ้นจะสถิตในอาตมันและมีใจบริสุทธิ์อยู่เสมอ, ชีวิตของเขาเป็นอิสระจากความปรารถนาทุกประการภายใต้ทุกสภาวะ
(อยู่เสมอ – ภายใต้สิ่งแวดล้อมใดๆ ไม่ว่าดีหรือเลว)
(บริสุทธิ์ – ไม่ยึดติดกับวัตถุใดๆ ในทางโลก)
17.12
การเห็น, การได้ยิน, การสัมผัส, การได้กลิ่น, การกิน, การพูด และการเดิน ของผู้มีจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่นั้น เป็นอิสระจากความพยายามและความไม่พยายามทั้งหมด, นี่คือการปล่อยวางอย่างแท้จริง
17.13
ผู้ที่หลุดพ้นนั้น ไม่ทั้งใส่ร้ายและสรรเสริญ, ไม่ทั้งยินดีและโกรธ, ไม่ทั้งให้และรับ เขาเป็นอิสระจากการยึดติดกับสิ่งใดๆ
17.14
ผู้ที่มีจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่และหลุดพ้นอย่างแท้จริง เขามิได้เร่าร้อนและยังครองสติอยู่ได้ ทั้งในสภาวะที่เห็นหญิงผู้เต็มไปด้วยความรัก และในสภาวะที่เธอกำลังใกล้จะตาย
(ทั้งสองสภาวะ – สองกรณีตรงกันข้ามที่อ้างถึง คือ พึงพอใจที่สุด และ ทรมานที่สุด, ผู้ที่หลุดพ้นยังคงรู้สึกเหมือนกันภายใต้สภาวะเหล่านี้)
(อย่างแท้จริง – ความเยือกเย็นเช่นนี้คือสัญญาณที่แท้จริงของการหลุดพ้น)
17.15
ปราชญ์ผู้เห็นทุกสิ่งเหมือนกัน, ไม่เห็นความแตกต่างระหว่างความสุขและความทุกข์, ชายและหญิง, ความมั่งคั่งและความแร้นแค้น
(ไม่แตกต่าง – เขาไม่ได้รับผลกระทบโดยสิ่งคู่ตรงกันข้าม)
17.16
ผู้บรรลุธรรม ที่หมดสิ้นแล้วจากชีวิตทางโลก เขาไม่ได้เป็นคนธรรมดาอีกต่อไป เขาไม่ปรารถนาทั้งการทำร้ายและการเห็นอกเห็นใจ, ไม่ทั้งอวดดีและอ่อนน้อม, ไม่ทั้งสงสัยและถูกรบกวนจิตใจ
(หมดสิ้นแล้วจากชีวิตทางโลก – เขาไม่มีพันธะจากอวิชชาที่ทำให้เกิดและตาย เขารู้แจ้งและได้ทำลายพันธะแห่งกามและความปรารถนา)
(ไม่ได้เป็นคนธรรมดา – เขาก้าวข้ามข้อจำกัดของธรรมชาติแห่งมนุษย์ แม้จะอาศัยในกายมนุษย์, เขาเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป)
(ไม่ทั้งสอง – เขาไม่เห็นความตรงข้าม เขาอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น)
17.17
ผู้ที่หลุดพ้น, เขาไม่ทั้งชิงชังหรือกระหายต่อวัตถุแห่งสัมผัส เขามีจิตอันปล่อยวาง ไม่ว่าจะ บรรลุ หรือ ไม่บรรลุ เขาก็มีความสุขเช่นเดียวกัน
(ไม่ทั้งสอง – เพราะความชิงชังและความกระหาย ทั้งคู่เกิดจากการยึดติด, จิตวิญญาณของผู้ที่หลุดพ้นนั้นเป็นอิสระเสมอ)
(มีความสุข – การยึดติดเป็นความสุขของคนทั่วไป ความสุขทางวัตถุนั้นมาจากการได้ครอบครอง สำหรับผู้ที่หลุดพ้น เขาเป็นอิสระอยู่เสมอจากความยึดติด เขาไม่สนใจการครอบครองวัตถุใดในโลก และมีความสุขอยู่เสมอโดยปราศจากสิ่งใดๆ)
(บรรลุ – เขายินดีกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่มีความพยายามใดๆ เขาไม่ยึดติดกับมัน แม้แต่สิ่งอันมั่นใจอย่างแน่นอน ที่มิได้เกิดขึ้น, เขาก็มิได้ใส่ใจ เขาไม่ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง)
17.18
ปราชญ์ผู้มีจิตว่าง รู้ว่า การพิจารณา และ การไม่พิจารณา ก็มิได้ขัดแย้งกัน, ดีและชั่ว ก็มิได้ขัดแย้งกัน ในสภาวะสมบูรณ์ (Absoluteness) เขาก็ยังปฏิบัติตามที่เคยเป็น
(จิตว่าง – โลกที่ไม่ให้ค่าความแตกต่าง โลกที่เป็นกลาง ไร้ความปรารถนาและความคิดเกิดขึ้นในจิต มันถูกเติมเต็มด้วยสติของอาตมันเพียงสิ่งเดียว)
(รู้ว่าไม่ขัดแย้งกัน – เพราะความขัดแย้งทั้งหมดเกิดขึ้นจากชีวิตอันเปรียบเทียบ และเกิดขึ้นในโลกที่เขาได้ข้ามพ้นไปแล้ว)
(ปฏิบัติเหมือนที่เคยเป็น – ในภาวะที่มีสติสัมปะชัญญะสมบูรณ์ เขาใช้ชีวิตเหมือนที่เคยเป็น)
17.19
พึงหลีกเลี่ยงความรู้สึก “ตัวฉัน” และ “ของฉัน”, เพราะเรารู้อย่างแน่นอนแล้วว่า “ตัวฉัน” และ “ของฉัน”ไม่มีอยู่จริง, จงปล่อยให้ความปรารถนาทั้งหมดหลับใหลอยู่ภายใน, คนที่ประจักษ์ในความรู้นั้นมิได้ (ผูกพันการ) กระทำ แม้ว่าเขากำลังกระทำ
(ไม่แสดงออก – การกระทำสำหรับคนทั่วไป มักจะเกิดอัตตาของผู้กระทำ แต่สำหรับคนที่ประจักษ์ในความรู้ เขาได้ก้าวข้ามอัตตาไปแล้ว ดังนั้นการกระทำทั้งหมดของเขา แม้จะปรากฏเช่นเดียวกับคนทั่วไป แต่มีหลักการอยู่บนความเป็นกลางเสมอภาคกัน การกระทำของเขาจึงไม่มีผลในการผูกพัน [ในกรรม] ;ในขณะที่การกระทำของคนทั่วไปได้สร้างพันธะใหม่ [ในกรรม] ให้กับผู้กระทำ)
17.20
ปราชญ์ผู้บรรลุสภาวะอันเกินกว่าจะพรรณนา จิตของเขาได้ละลายหายไป เขาเป็นอิสระจากการแสดงผลของจิต (display of the mind) และเป็นอิสระจากการหลงผิด, ความฝัน และโมหะ
(คนที่รู้ถึงอาตมัน มีจิตอันปราศจากความหลงผิด, ความเฉื่อยชา และอื่นๆ ; สิ่งเหล่านั้นคืออุปสรรคของ “การตระหนักรู้ที่แท้จริง” ในภาวะนี้จิตและการทำงานทั้งหมดของจิต [mind all its functions], วฤตติ [พฤติ หรือ behavior] ,หยุดการทำงาน และดีเทียบเท่ากับการทำลายล้าง เมื่อการตระหนักรู้ขั้นสุดท้ายได้ระเบิดออกมา ก็ไม่มีคำอธิบายใดที่จะสามารถอธิบายได้อีก)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา