9 มี.ค. 2021 เวลา 00:20 • ปรัชญา
อัษฏาวกระ คีตา บทที่ 18
ศานติ
อัษฏาวกระได้แสดงหนึ่งร้อยโศลกแห่งความไม่เป็นคู่อันบริสุทธิ์
อัษฏาวกระ กล่าว :
18.1
ขอคารวะต่อผู้ที่เป็นสุขตามธรรมชาติ, สงบและอิ่มเอมใจ โดยอรุณรุ่งแห่งการรู้แจ้ง และความหลงผิดทั้งหมดได้กลับกลายเป็นเพียงความฝัน
(ความสงบ – เป็นความยอดเยี่ยมซึ่งไร้การเปลี่ยนแปลง)
(ความอิ่มเอมใจ – อาตมันนั้นมีความอิ่มในตัวเอง : ไม่มีสิ่งอื่นใดเสมอเหมือน อาตมันมิใช่สิ่งที่รู้ได้ มีเพียงอาตมันที่รู้ถึงตัวมันเอง)
(อรุณรุ่งแห่งความรู้แจ้ง – ด้วยการตระหนักรู้ถึงอาตมัน ธรรมชาติของก็โลกแปรเปลี่ยนไป บัดนี้โลกปรากฏตามความเป็นความจริง, และมายาได้กลายเป็นเพียงความฝัน ซึ่งหมดเสน่ห์และแรงดึงดูดต่อเรา, แม้ว่าภาพแห่งความยั่วยวนยังปรากฏในความฝัน แต่ก็มิได้มีเสน่ห์ใดๆ สำหรับเราในสภาวะที่ตื่นรู้)
(ความหลงผิด – ปรากฏการณ์ของจักรวาลคือภาพลวงตา)
18.2
ผู้ที่ได้รับความรื่นรมย์อย่างมากจากการครอบครองซึ่งวัตถุทางโลกทั้งหลาย, เป็นที่แน่นอนว่าเขาจะไม่สามารถเป็นสุข หากเขาไม่สามารถปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นให้หมดสิ้น
(อย่างแน่นอน – การปล่อยวางเท่านั้นที่จะปลดความกลัวทั้งหลาย และทำให้เรามีความสุขอย่างแท้จริง ดั่งที่ ภรฺตฺฤหริ [ภรรตฤหริ นักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงของชมพูทวีป ซึ่งแต่งตำราไวยากรณ์ วากยปทียะ และ ศตกัตวายะ] ได้กล่าวไว้อย่างงดงามในบทกวี เรื่อง “ร้อยโศลกแห่งการปล่อยวาง” [Hundred Verses on Renunciation] ว่า “ในความรื่นรมย์นั้นมีความกลัวจาก โรค, สถานะทางสังคม, ความกลัวที่จะตกต่ำ, ความมั่งคั่ง, ผู้มีอำนาจปกครอง [อันเป็นปรปักษ์], เกียรติ, กลัวในความอัปยศ, อำนาจ, กลัวศัตรูฝ่ายตรงข้าม, ความสวยงาม, ความชรา, ความรู้จากการศึกษาคัมภีร์, กลัวคู่แข่งขัน, ความดี, ความบริสุทธิ์, กลัวคนใส่ร้าย, ร่างกาย, ความตาย ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์โลกกลัวเกรง การปล่อยวางจะทำลายความกลัวเหล่านี้ทั้งหมด
ความรื่นรมย์แห่งผัสสะ และ ความสุขที่แท้จริง สองสิ่งนี้ไปด้วยกันไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกัน)
18.3
หากปราศจากกระแสแห่งกระยาทิพย์ของความสงบที่หลั่งชโลมต่อเนื่องไม่ขาดสายแล้ว, แกนกลางจิตใจของผู้ที่ถูกแผดเผาจนไหม้เกรียมด้วยแสงตะวันแห่งความเศร้าโศกจะเป็นสุขได้ฉันใด?
(ผู้ที่ถูกแผดเผา – คำว่า “หน้าที่” ซึ่งคนธรรมดาเข้าใจนั้น มิใช่สิ่งใดนอกจากการเป็นทาสในรูปแบบของคุณธรรมความดี ความโลภในเงินทองและการได้มาของวัตถุทางโลกอื่นๆ ความรู้สึกยึดติดกับหน้าที่ทางโลกนั้นไร้แก่นสาร และหน้าที่ทางโลกก็คือโรคร้ายที่เกาะกินเนื้อหนังคนผู้นั้น มันทำให้เขาป่วย [ทุกข์] กับชีวิตแห่งพันธะ [การเปรียบเทียบ] ทำให้เขาต้องเผชิญกับความทุกข์ทั้งปวงของโลกและแผดเผาจิตวิญญาณส่วนลึกที่สุดให้ไหม้เกรียม เฉพาะผู้ที่พิจารณาโลกตามความเป็นจริง และค้นพบว่าสิ่งที่คนต้องทำ คือ การเติมเต็มหน้าที่ [ที่แท้จริง] ของตนเอง ความรู้สึกต่อหน้าที่ [ที่แท้จริง] จะปรากฏในตอนท้ายสุดที่ภาพลวงตาได้จบลง)
(ความสงบ – เมื่อวฤตติ [พฤติ] ของจิตได้ถดถอยลง จิตเป็นอิสระจากความปรารถนา ชีวิตแห่งพันธะ [การเปรียบเทียบ] ได้ปล่อยมือจากเรา เราจะรู้สึกว่าโลก [มายา] ไม่จีรังยั่งยืน และไม่มีสิ่งใดที่เราต้องกระทำกับมัน และแล้ว… ความสุขที่แท้จริงก็มาถึง, ความสงบ นั้นเหมือนกระยาทิพย์ที่หลั่งชโลมลงมาดังสายฝน ซึ่งฟื้นคืนหัวใจอันแห้งแล้ง)
18.4
จักรวาลเป็นเพียงภาวะของสติ (การรับรู้) มันมิได้มีสิ่งใดในความเป็นจริง “การมีตัวฉัน” (self-existing) เป็นเพียงการรับรู้ (สังเกตุเห็น) ว่า ปรากฏ หรือ ไม่ปรากฏ วนเวียนอยู่เช่นนี้ไม่เคยหยุดหย่อน
(ภาวะของสติ – จักรวาลไม่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองมันเป็นเพียงการฉายภาพของจิต ในขณะที่เราเปลี่ยนแปลงสติ [การรับรู้] จักรวาลก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย)
(“การมีตัวฉัน” [self-existing] อธิบายได้ว่า โลกวัตถุนั้นเป็นผลที่เกิดจากการดำรงอยู่ของผู้กระทำ [subject] แต่ผู้กระทำ [subject] นั้นมาจากสิ่งที่มิได้มีอยู่ [none] – “ชีวา [Jivas] มิใช่สิ่งอื่นใดนอกจากพรหมมัน”)
(การปรากฏ – โลกมายาเปลี่ยนแปลงและไม่จีรัง แต่การดำรงอยู่และประสบการณ์ของวิญญาณได้ก้าวข้ามสิ่งเหล่านั้น, วิญญาณเป็นนิรันดร์)
18.5
ธรรมชาติของอาตมัน คือ สมบูรณ์ ง่าย (ไม่ต้องพยายาม) ไร้การเปลี่ยนแปลง และบริสุทธิ์ (ไร้มลทิน) อาตมันนั้น ทั้งมิได้อยู่ไกล และไม่อาจเข้าถึงได้ด้วยข้อจำกัด
(ไม่ต้องพยายาม – อาตมันนั้นเป็นหนึ่งไม่มีสอง เราไม่ต้องใช้ความพยายามใดเพื่ออาตมัน อาตมันนั้นสงบ นิ่ง และเยือกเย็นอยู่เสมอ)
(ไร้มลทิน – อาตมันนั้นก้าวข้ามรูปแบบทั้งหลาย มลทินเป็นสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามา ซึ่งอาตมันมิได้เกี่ยวข้องกับมลทินอย่างสมบูรณ์)
(อยู่ไม่ไกล – อาตมันนั้นแผ่ซ่านไปทั่วจึงอยูใกล้ที่สุด)
(ไม่อาจเข้าถึงได้ด้วยข้อจำกัด – เราสามารถเข้าถึงวัตถุทางสัมผัสอื่นๆ เพราะข้อจำกัดและวัตถุนั้นแตกต่างไปจากเรา, แต่อาตมันนั้นเป็นอนันต์และเป็นตัวเราเองอย่างยิ่ง ดังนั้นเราจึงเข้าถึงอาตมันไม่ได้ด้วยข้อจำกัดหรือความแตกต่าง แต่อาตมันถูกเข้าถึง [บรรลุถึงได้] อยู่ตลอดเวลา)
18.6
เมื่อเข้าใจในอาตมัน ภาพลวงตาก็จะหยุดชะงักไป ทัศนวิสัยก็จะปลอดโปร่งไร้สิ่งกีดขวาง เพราะความเศร้าโศกได้ถูกกำจัดออกไปแล้ว
(ภาพลวงตา – อวิชชาบดบังเราจากการมองเห็นว่าอาตมันคือทุกสิ่ง)
(ทัศนวิสัยที่ปลอดโปร่ง – การมองเห็นของอาตมันไม่ถูกขัดขวางโดยอวิชชา)
18.7
การรู้ว่าสิ่งทั้งปวงนั้นเป็นเพียงความคิด และ อาตมันเป็นอิสระนิรันดร์นั้น, ทำให้ผู้บรรลุธรรมทำตัวเหมือนกับเด็กๆ หรือ?
(เหมือนเด็ก – คนที่โง่เขลา ในความเป็นจริงเด็กคือผู้ที่ไม่รู้อะไรเลย, ส่วนคนที่บรรลุธรรมนั้น เขาไม่มีทั้งโลกการกระทำใดๆ)
18.8
การรู้อย่างแน่นอนว่า ตัวตนที่แท้จริงคือพรหมัน และ การดำรงอยู่ (ภาวะ) หรือ ไม่ดำรงอยู่ (อภาวะ) เป็นจินตนาการที่คิดขึ้นเองแล้ว, สำหรับผู้ที่เป็นอิสระจากความปรารถนา อะไรคือสิ่งที่เขาควรรู้, พูด หรือ กระทำ?
(การดำรงอยู่ [existence] – การเปรียบเทียบระหว่าง ดำรงอยู่ และ ไม่ดำรงอยู่ นั้นเป็นไปไม่ได้สำหรับอาตมัน เพราะอาตมันก้าวข้ามทั้งสองสิ่งนี้ รวมถึงสถานที่และหลักการใดๆ ซึ่งทำให้เกิดความจริง และความไม่จริง)
(อะไรที่ควรทำต่อไป – สำหรับผู้ที่บรรลุอาตมัน ไม่มีอะไรหลงเหลือให้รู้อีก เขาเติมเต็ม เป็นอิสระจากความปรารถนา สำหรับเขาผู้นั้น วัตถุทางโลกดำรงอยู่เพียงชั่วคราว ไม่ใช่ทั้งจริงและไม่จริง การสูญไปซึ่งอัตตาทำให้เขากลายเป็นคนที่ไม่รู้, ไม่พูด, ไม่กระทำกรรม แม้จะประจักษ์ว่าเขากำลังทำสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น)
18.9
ความคิดที่ว่า “นี่คือฉันจริงๆ” และ “นี่ไม่ใช่ฉัน” ได้ถูกถอนรากถอนโคนไปจาก (โยคี) ผู้สงบซึ่งรู้อย่างแน่นอนว่าสรรพสิ่งคืออาตมัน
(ความคิด – ด้วยการตระหนักรู้ถึงอาตมัน ทุกสิ่งเผยออกมาให้เห็นว่ามีเพียงอาตมัน ไม่มีสิ่งอื่น หลักการของสิ่งคู่ตรงข้ามก็จะหายไป แล้ว (โยคี) ผู้นั้นก็ตระหนักว่าเขาคือสรรพสิ่ง)
18.10
ผู้บรรลุความสงบ (โยคี) ไม่มีความสับสน ไม่เพ่งสมาธิ ไม่รู้จนเกินไป ไม่หลงผิด ไม่เพลิดเพลิน และไม่เจ็บปวด
(ไม่… – ผู้ที่สามารถควบคุมผัสสะ (โยคี) มีจิตที่สมดุลย์อย่างสมบูรณ์และอยู่ในภาวะสงบ [เยือกเย็น] เขาไม่สับสนกับสิ่งใด เพราะฉะนั้น เขาจึงมีจิตสงบภายใต้สภาวะตึงเครียด เขามีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์แบบ)
(รู้จนเกินไป – ไม่มีทั้งการเพิ่มหรือการลดทอนในความรู้ของเขา)
18.11
การเป็นผู้ปกครองสวรรค์ หรือเป็นขอทาน, ได้หรือเสีย, อยู่กับสังคมหรือโดดเดี่ยว ไม่มีความแตกต่างกัน สำหรับผู้บรรลุความสงบ (โยคี) ซึ่งธรรมชาติของเขาเป็นอิสระจากสภาวะ
(ผู้ปกครองสวรรค์หรือขอทาน – สภาวะที่แตกต่างกันนั้น สร้างความรู้สึกแตกต่าง โดยการตระหนักรู้แบบเปรียบเทียบ [relative consciousness] ซึ่งเกิดขึ้นกับผู้ที่ยังมีสภาวะของจิต, มีพันธะ (การเปรียบเทียบ) และ มีข้อจำกัด แต่ เมื่อบุคคลนั้นก้าวข้ามการตระหนักรู้, สิ่งประเสริฐสุดคือ เขาข้ามพ้นความแตกต่าง แม้ว่าเขาจะรู้สึกถึงพวกมันได้, มันปรากฏแก่เขาเป็นเพียงเงาที่ไร้ตัวตน)
18.12
ธรรม (เกี่ยวกับศาสนา หรือ การทำความดี), อรรถ (ความมั่งคั่งในทางโลก), กาม (ความรื่นรมย์แห่งผัสสะ) และการเลือกปฏิบัติ ไม่มีความสำคัญสำหรับผู้บรรลุความสงบ (โยคี) ซึ่งก้าวข้ามสิ่งคู่ตรงกันข้าม เช่น “สิ่งที่ทำแล้ว” และ “สิ่งที่ยังไม่ได้ทำ”
(สิ่งคู่ – การตระหนักรู้แบบเปรียบเทียบ [relative consciousness] จะถูกรบกวนด้วยสิ่งคู่ตรงกันข้าม ซึ่งความรู้สึกต่อ “สิ่งที่ทำแล้ว” และ “สิ่งที่ยังไม่ได้ทำ” นั้นเป็นประเภทเดียวกัน เราขยัน (กระทำ) เมื่อมีแรงกระตุ้นจากความปรารถนา, เราปกป้องสิ่งอันปรารถนา และเราไขว่คว้าสิ่งอื่นๆ ; ความปรารถนานี้เป็นรากของ ธรรม อรรถ กาม และการเลือกปฏิบัติ แต่สำหรับคนที่ไม่มีพันธะ ไร้ความปรารถนา เขาไม่จำเป็นต้องคัดแยกสิ่งจริงออกจากสิ่งลวง สิ่งลวงมักไม่ดำรงอยู่กับเขาได้โดยง่าย เพราะฉะนั้น, ธรรม อรรถ กาม และการเลือกปฏิบัติ จึงไม่มีประโยชน์ต่อคนที่เป็นอิสระจากสิ่งคู่ตรงกันข้าม)
18.13
โยคีผู้บรรลุธรรมซึ่งหลุดพ้นในขณะที่ยังมีชีวิต เขาไม่มีทั้งหน้าที่และการยึดติดของจิตใจ การกระทำของเขาเกี่ยวข้องกับโลกเพียงแค่การดำรงชีพ
(หลุดพ้น – ผู้ที่กำจัดอวิชชาและการปรุงแต่งได้หมดสิ้น กำจัดพันธะทุกประการ ครองตนในอาตมันสมบูรณ์ เรียกว่า “ชีวิตอิสระ” [Jivanmukta] เขาคือผู้ที่มีสภาวะดังนี้ “ปมภายในใจถูกทำลาย, ปลดเปลื้องความสงสัย และผล [กรรม] ของการกระทำได้ถูกทำลาย โดยการตระหนักรู้ถึงปรมาตมัน [Supreme One]” ใน Upadesha Sahasri โดย Sankaracharya อธิบายว่า “ผู้รู้ถึงอาตมันอย่างแท้จริง เขาไม่แตกต่างกันทั้งในภาวะหลับหรือตื่น เขาเป็นหนึ่งไม่มีสอง เขาไม่รับรู้ในสิ่งคู่ตรงกันข้าม แม้เขาอาจจะกำลังกระทำบางสิ่ง เขาก็มิได้กระทำกรรมแต่อย่างใด”)
(ไม่ทั้งสอง – เนื่องจากบรรลุการหลุดพ้น เขา [โยคี] ได้กำจัดความคิดทั้ง “ฉัน” และ “ของฉัน” [อันทำให้เกิดผลที่ตามมาคือ การยึดติด ความรู้สึกรับผิดชอบต่อหน้าที่ และสิ่งที่งอกเงยต่อจากสิ่งเหล่านี้] สำหรับวิญญาณที่หลุดพ้นนั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหยุดการกระทำทางกาย เพราะเขาไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยความรู้สึกของอัตตาอีกต่อไป)
(การกระทำ – ความจริงที่สำคัญมากของชีวิตผู้หลุดพ้นจะขอกล่าวไว้ในโศลกนี้ ตราบเท่าที่ผู้หลุดพ้นมีชีวิต, เขาพบว่ายังคงต้องมีการกระทำ แต่ก็กล่าวได้ว่าเขามิได้กระทำ [กรรม] ความขัดแย้งต่อสิ่งอันปรากฏนี้ อธิบายได้ว่า ผู้ที่ [โยคี] ภายในเป็นอิสระ เขาไม่รู้สึกปรารถนาหรือต้องการสิ่งใด แต่ความจริงยิ่งกว่านั้นก็คือ ร่างกายของเขายังดำรงอยู่และมีแรงยึดเหนี่ยวบางอย่าง มันคือชะตากรรมของเขา [ปรารภกรรม – Prarabha Karma] กรรมนี้ยังคงดำเนินต่อไป เขา [โยคี] มิได้รับผลกระทบ แต่การกระทำของร่างกายและบนผิวนอกของจิตยังคงดำเนินต่อไป จนกว่าปรารภกรรมจะหมดสิ้น เมื่อร่างกายย่อหย่อนถดถอย การหลุดพ้นของเขา [โยคี] จึงจะมาถึง, เขาผู้ตระหนักรู้จากจุดยืนของตนเอง เขาไม่ใช่ร่างกาย ไม่ใช่ความคิดเหนือร่างกาย และมิใช่ปรารภกรรม [กรรมเก่า] ; นี่คือคำอธิบาย, สำหรับคนที่ยังมีอวิชชา ซึ่งเห็นว่าเขามีร่างกาย คนเช่นนนั้นจึงเป็นผู้กระทำกรรม และสรุปเหตุผลได้ว่าทำไมการกระทำของผู้บรรลุความสงบ [โยคี] จึงถูกเรียกว่า Yathajivanam “การอยู่เพียงเพื่อดำรงชีพเท่านั้น”)
18.14
โมหะ (ความหลงผิด) คืออะไร? จักรวาลคืออะไร? สมาธิปฏิบัติอย่างไร? หนทางใดนำไปสู่การหลุดพ้นสำหรับวิญญาณอันยิ่งใหญ่ (Great-souled one) ของบุคคลที่ก้าวข้ามโลกแห่งความปรารถนา?
(บุคคลที่ก้าวข้ามโลกแห่งความปรารถนา – เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ผู้ที่ดำรงอยู่ในอาตมัน)
(หลักการ : หากกล่าวตามจริงแล้ว มีเพียงหนทางเดียวที่จะนำไปสู่การหลุดพ้น คือ การลดระดับความปรารถนา ลดระดับภาพลวงตาของโลกแห่งพันธะ (ที่มีการเปรียบเทียบ) ไปพร้อมๆ กับ การปลีกตัวออกจากสิ่งเหล่านั้นโดยอาศัยการปฏิบัติสมาธิ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ; ในขณะที่บุคคลเป็นอิสระจากความปรารถนา, ภาพลวงตาแห่งจักรวาลและผลที่ตามมาทั้งหลายก็จะอันตรธานไป)
18.15
บุคคลที่เห็นความเป็นไปของจักรวาล, อาจจะพยายามที่จะต่อต้านจักรวาลนั้น แต่, เขา (ผู้ไร้ความปรารถนา) เห็นจักรวาลแม้จะไม่ได้มองดูจักรวาลนั้น เขาจะต้องทำอย่างไร?
(บุคคลผู้เห็นจักรวาล – คนที่เห็นความเป็นไปของโลกและพยายามปฏิเสธมัน คือคนที่ยังอยู่ในอวิชชา [โมหะ] เพราะในความเป็นจริง จักรวาลมิได้เป็นตามที่เราเห็นและรู้สึก, สิ่งที่เราเห็นนั้นแกว่งไปตามความปรารถนา ดังนั้น คนที่ก้าวข้ามความปรารถนาจึงไม่มีสิ่งใดที่ต้องกระทำกับจักรวาลนั้น)
(เห็นจักรวาล – จักรวาลปรากฏเป็นเพียงภาพลวงที่จับต้องไม่ได้สำหรับคนที่บรรลุธรรม เพราะฉะนั้นผู้บรรลุธรรมจึงไม่กล่าวว่าเขาเห็นจักรวาลตามแบบที่เราเข้าใจกันว่า จักรวาลเป็นจริงหรือเป็นแก่นสารสำคัญ)
18.16
บุคคลผู้เห็นพรหมมันอันสูงสุง (Supreme Brahman) โดยการภาวนาว่า “ข้าฯ คือพรหมัน” ในการปฏิบัติสมาธิ เขา (ผู้ก้าวข้ามความคิดทั้งปวง) ทำอย่างไร? เมื่อเขาไม่เห็นสิ่งอื่นใดอีก (เป็นพรหมันเพียงหนึ่งไม่มีสอง)
(บุคคลผู้เห็นพรหมมันอันสูงสุด – คำอธิบายถึงสิ่งที่เข้าใจได้ยากยิ่งนี้คือ เมื่อบุคคลมองเห็นพรหมมัน, แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขายังไม่บรรลุภาวะสูงสุด เพราะในสภาวะนั้น เขาตระหนักรู้ในตัวตนของเขา กับ พรหมัน เป็นสิ่งคู่กัน “ข้าพเจ้า” และ “พรหมัน” เกิดขึ้น ณ จุดนี้ แต่เมื่อบรรลุสภาวะสูงสุดจะเกิดความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความรู้สึกถึงสิ่งคู่จะมลายไปสิ้น และไม่มีการทำสมาธิใดอีก)
18.17
บุคคลที่ควบคุมตนเองได้อย่างสมบูรณ์, เขามองเห็นความสับสนที่อยู่ภายใน แต่ผู้บรรลุธรรม (ผู้ซึ่งรับรู้ว่ามีเพียงอาตมันที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง) ไร้ความสับสน ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องทำให้สำเร็จอีก, เขาควรทำอย่างไร?
(การควบคุมตนเอง – ความสับสนทั้งภายนอกและภายในที่มีรูปแบบต่างๆ มีเหตุมาจากสิ่งเดียวคือการแบ่งแยกเอกลักษณ์ระหว่าง “อาตมัน” กับ “สิ่งที่มิใช่อาตมัน” ซึ่งเป็นอวิชชา เพราะฉะนั้น สำหรับบุคคลที่รู้ในอาตมันจึงไม่มีอวิชชาหลงเหลืออยู่ การควบคุมจิตจึงไม่มีความหมายอีกต่อไป)
(ไม่มีสิ่งใดต้องทำให้สำเร็จ – เพราะการกำจัดสิ่งคู่ตรงกันข้าม และ การกำจัดความสับสนนั้น ถูกกำจัดไปพร้อมกัน)
18.18
ผู้บรรลุธรรม, แม้ดูเหมือนว่าเขามีชีวิตเฉกเช่นคนธรรมดา แท้จริงแล้วแตกต่างกัน เขาไม่เห็นทั้ง ความมุ่งมั่น ความสับสน และความมัวหมองใดๆ ที่เป็นของเขาเอง
(แม้จะเหมือนคนทั่วไป – พฤติกรรมภายนอกของผู้บรรลุธรรมก็เป็นเหมือนคนอื่นๆ แต่มีพื้นฐานทางทัศนคติที่แตกต่างกัน คนทั่วไปมองโลกว่าจริง มีแก่นสารสำคัญ และมีพฤติกรรมไปตามทัศนคตินั้น แต่ผู้บรรลุธรรม รู้และรู้สึกว่าโลกเป็นเพียงภาพลวงตา ไร้แก่นสาร และผู้บรรลุธรรมประพฤติต่อโลกว่าเป็นเพียงปรากฏการณ์ การกระทำของเขาไม่มีเจตนา แต่ถูกกระตุ้นโดยแรงเหวี่ยง [momentum] ที่เป็นผลกระทบจากการกระทำ [กรรม] เหล่านั้น และส่งผลต่อชีวิตในทางโลกของเขา ร่างกายของเขาจะถดถอยลงทันทีที่ผลกระทบ [กรรม] เหล่านั้นหมดสิ้นลง)
(ไม่เห็น – ผู้บรรลุธรรมไม่เห็นสิ่งใดนอกจากอาตมันซึ่งเป็นพุทธิบริสุทธิ์)
(ไม่เห็นความมุ่งมั่น – ตราบเท่าที่ยังสับสน, ความมุ่งมั่นจะนำไปสู่เป้าหมายคือ “การตระหนักรู้ถึงอาตมัน” ; แต่ผู้ที่บรรลุถึงอาตมันแล้วจะไร้ความสับสน ครองคนอยู่ในอาตมันสมบูรณ์ เขาจึงไม่ต้องการความมุ่งมั่นอีกต่อไป)
18.19
บุคคลที่จะกล่าวต่อไปนี้คือ : ผู้ที่ปราศจากการดำรงอยู่ (ภาวะ) และ การไม่ดำรงอยู่ (อภาวะ), ผู้บรรลุธรรม, ผู้พึงพอใจในอาตมัน และผู้ที่เป็นอิสระจากความปรารถนา เขาเหล่านี้มิได้กระทำกรรม แม้ว่าสายตามแบบโลกๆ เห็นว่าเขากำลังกระทำกรรมอยู่
(ปราศจากภาวะและอภาวะ – หมายถึงการข้าวข้ามโลกแห่งพันธะ (การเปรียบเทียบ) ซึ่งเป็นส่วนผสมของภาวะและอภาวะ ซึ่งกล่าวได้ว่ามี “การดำรงอยู่” เมื่อถูกรับรู้ในความรู้สึก และ “ไม่ดำรงอยู่” เมื่อสูญหายไปใน จิตเหนือสำนึก [superconsciousness] ซึ่งผู้บรรลุธรรมที่รู้ธรรมชาติของโลก เขาไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง)
(การกระทำกรรม – การกระทำไม่เป็น “กรรม” อีกต่อไปเมื่อบุคคลที่กระทำนั้นไม่ข้องเกี่ยวกับอัตตา ผู้บรรลุธรรมเป็นอิสระจากอัตตาอย่างสมบูรณ์ เขาไม่แบ่งแยกตัวตนกับการกระทำของเขา ดังนั้น เขาจึงมิได้กระทำกรรมอย่างแท้จริง แม้จะดูเหมือนว่าเขากำลังกระทำอยู่)
18.20
ผู้บรรลุธรรมซึ่งมีชีวิตอันผาสุก เขากระทำในสิ่งที่เข้ามาสู่เขา, เขาไม่รู้สึกทุกข์ยาก (ไม่ดื้อดึงขัดขืน) ทั้งในการกระทำและการไม่กระทำ
(สิ่งที่เข้ามา – เป็นแนวความคิดในเรื่องราวของปรารภกรรม)
(การกระทำ – เพราะผู้บรรลุธรรมไม่ผูกพันกับการกระทำใดๆ อีกต่อไป และไม่ต้องระงับหรืองดเว้นจากกระทำใดๆ ซึ่งมันเป็นความพึงพอใจของตัวเขาเอง ; การกระทำโดยตั้งใจนั้น ทำให้เกิดความทุกข์เมื่อผิดหวังหรือมีอุปสรรค ; เมื่อบุคคลปราศจากอัตตา การกระทำหรือไม่กระทำของเขาก็จึงเหมือนกัน)
(รู้สึกทุกข์หรือดื้อดึงขัดขืน – ความดื้อดึงหรือเอาชนะ [Durgraha] นั้นเป็นอุปสรรคและข้อจำกัดอย่างแท้จริงที่เกิดขึ้นจะต้องกำจัดออกไปอย่างฉับพลันทันที)
18.21
บุคคลที่หลุดพ้นนั้นเป็นอิสระเสรี ไร้ความปรารถนา เขาเคลื่อนไหวดุจดั่งใบไม้แห้งที่ถูกเป่าด้วยแรงลม
(บุคคลที่หลุดพ้นจากพันธะทั้งปวง เขาเป็นอิสระเสรีจากกิเลสตัณหา เขาถูกชักนำไปด้วยปรารภกรรมในอดีตของตัวเขา โดยปราศจากการเลือกหรือร่องรอยของอัตตา)
18.22
ไม่มีความยินดีหรือเสียใจสำหรับผู้ที่ก้าวข้ามภาวะของโลก เขามีเพียงจิตอันสงบ, เขามีชีวิตที่เหมือนไม่มีร่างกาย
(ทั้งความยินดีและเสียใจเป็นการปรุงแต่งของจิตที่ไร้การควบคุม และเป็นบ่อเกิดของความปรารถนาในสิ่งที่ผูกพัน ซึ่งเป็นรากเหง้าของภาวะของโลก ดังนั้นผู้ที่ก้าวข้ามภาวะของโลกคือผู้ที่ก้าวข้ามทั้งความยินดีและเสียใจ เขามีจิตที่สงบเพราะไม่มีการปรุงแต่งใดๆ)
18.23
ผู้บรรลุธรรมซึ่งปิติในอาตมันและมีจิตใจสงบบริสุทธิ์ เขาไร้ความปรารถนาที่จะละทิ้งสิ่งใดก็ตาม และเขาไม่รู้สึกสูญเสียไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะใด
(ผู้ที่ต้องการละทิ้ง โลก การเห็น และความรู้สึก เพราะเขายังเห็นว่าพวกมันเป็นสิ่งจริง และเป็นสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากอาตมัน ; แต่ผู้ปิติในอาตมันจะมีเพียงอาตมันเท่านั้น การละทิ้งจึงหมดความหมาย)
(แม้ว่าผู้บรรลุธรรมไม่รู้สึกต้องการที่จะปล่อยวางสิ่งใด นั่นมิได้หมายความว่าเขายึดถือวัตถุทางโลก เขาทั้งไม่ยึดถือและไม่ปล่อยวาง เขามีชีวิตเหมือนใบไม้แห้งที่ปลิวไปตามสายลม บางครั้งเหมือนเจ้าชายที่อุดมสมบูรณ์ บางคราวเหมือนวณิพกผู้เปล่าเปลือย และแม้จะเป็นเพียงวณิพกเขาก็มิได้รู้สึกว่าสูญเสียอะไร)
18.24
โดยธรรมชาติของผู้บรรลุธรรมซึ่งมีจิตว่างเปล่า เขากระทำการตามที่เห็นสมควร เขามิได้รับผลกระทบใดๆ จากการสรรเสริญหรือดูหมิ่นเหมือนกับคนทั่วไป
(ผู้รู้แจ้งมีจิตว่างเพราะไร้การปรุงแต่งเกิดขึ้นในจิตของเขา ; เขาไม่ได้รับผลกระทบ เพราะเขาไม่มีอัตตา และไม่มีภาวะที่เป็นพันธะของการมีชีวิต , การเปรียบเทียบเรื่องสรรเสริญหรือดูหมิ่นจึงจบสิ้นลง)
18.25
ผู้ที่กระทำการใดๆ ด้วยความคิดที่ว่า “สิ่งนี้ถูกกระทำโดยร่างกาย และมิใช่โดยข้าพเจ้าซึ่งเป็นอาตมันบริสุทธิ์” บุคคลเช่นนั้นแม้จะกระทำ, ก็มิได้เป็นการกระทำ (กรรม)
(การกระทำไม่เป็น “กรรม” เมื่อบุคคลที่กระทำนั้นไม่ข้องเกี่ยวกับอัตตา ผู้บรรลุธรรมเป็นอิสระจากอัตตาอย่างสมบูรณ์ เขาจึงมิได้กระทำกรรมอย่างแท้จริง แม้จะดูเหมือนว่าเขากำลังกระทำอยู่)
18.26
ผู้หลุดพ้นที่ยังมีชีวิต (Jivanmukta) กระทำสิ่งใดๆ เหมือนกับคนโง่ๆ แต่ก็กล่าวมิได้ว่าเขากระทำ (กรรม) เขาก็ดูมีความสุขแม้ยังดำเนินชีวิตอยู่ในโลก
(คนฉลาดทั่วไปที่มีสติ จะรู้ในแรงจูงใจและเป้าหมายของการกระทำ จึงสามารถตอบได้อย่างเจาะจงเมื่อมีผู้ถาม ไม่เหมือนกับผู้หลุดพ้นที่ยังมีชีวิต [Jivanmukta] เขากระทำโดยไร้จุดประสงค์และแรงจูงใจ เขาจึงเหมือนคนโง่ๆ ที่ไม่อาจตอบคำถามเหล่านั้น แต่เขามิใช่คนโง่,เขาอยู่ในระดับสูงสุดที่ดูเหมือนคนโง่เขลาอยู่บ่อยๆ)
(เขามิได้ยึดติดผูกพันกับโลก ดังนั้น, ความสุขและการบรรลุธรรมของเขามิอาจถูกทำลายแม้มีชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลก เพราะไม่มีผู้ใดหรือสิ่งใดที่จะยึดจับเขาไว้ได้ การยึดติดนั้นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เป็นพันธะอันก่อให้เกิดทุกข์)
18.27
ผู้บรรลุธรรมหมดความสนใจต่อเหตุผลอันหลากหลาย, เขาบรรลุความสงบ เขาไม่คิด ไม่รู้ ไม่ได้ยิน และไม่เห็น
(ผู้บรรลุธรรมได้ค้นหาและพบความจริงในที่สุดว่า ความจริงอยู่เหนือเหตุผลทั้งปวง เขาละเว้นจากการกระทำทั้งภายนอกและภายใน ดังนั้น, เขาจึงมีบรมสุขเป็นล้นพ้นในอาตมัน)
18.28
ผู้บรรลุธรรมอยู่เหนือ สมาธิ และ ความสับสน, ผู้สงบไม่มีความปรารถนาต่อการหลุดพ้น และไม่มีความสับสน, เขามั่นใจว่าจักรวาลเป็นเพียงจินตนาการที่สร้างขึ้นเอง แม้เขาจะเห็นจักรวาล, เขาก็ยังดำรงอยู่เช่นพรหมันของตัวมันเอง (Brahman Itself)
(ผู้หลุดพ้นที่มีชีวิต [Jivanmukta] ไม่มีความปรารถนาต่อการหลุดพ้น เพราะเขาตื่นรู้ในอาตมัน)
(แม้ว่าเขาจะยังคงเห็นจักรวาล และการแตกกิ่งก้านสาขาของมันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากการสงเคราะห์ของเขาในอดีต, เขาพบว่าจักรวาลนั้นเป็นเพียงเงาและไร้แก่นสาร)
(การดำรงอยู่เช่นพรหมันเป็นภาวะสมบูรณ์ คือ เขาไม่ถูกแตะต้องโดยการกระทำของจิตและความรู้สึกของเขาเอง และเขาไม่ได้รับผลกระทบโดยจักรวาล)
18.29
ผู้มีอัตตากระทำ (กรรม) แม้ว่าเขายังไม่ได้กระทำ ผู้บรรลุธรรมซึ่งปราศจากอัตตา, ไม่ทำอะไรที่ผิดเลย (อย่างแท้จริง)
(ผู้มีอัตตากระทำ [กรรม] ทางจิต – แม้ว่าร่างกายยังไม่ได้กระทำ [กรรม] ; การกระทำ [กรรม] ทั้งหลายมีอัตตาเป็นแรงผลักดัน มิใช่แรงผลักดันจากจิตใจ, ตราบเท่าที่ยังมีอัตตาในตัวเรา เราก็ยังคงกระทำ [กรรม] มีเพียงการทำลายความรู้สึกว่ามีตัวตน [อัตตา] เท่านั้น, การไม่กระทำ [กรรม]อย่างแท้จริงจึงจะเกิดขึ้น)
(โศลกนี้กล่าวว่าผู้รู้แจ้งไม่ทำอะไรผิดเลยอย่างแท้จริง เพราะผู้ที่เป็นอิสระจากอัตตา บาป และ มลทิน, การกระทำของเขาจะเป็นประโยชน์ต่อโลกเสมอ)
18.30
จิตที่หลุดพ้น ไม่ทุกข์และไม่สุข มันสงบ มั่นคง ไร้ความปรารถนา และปราศจากความสงสัย
(จิตที่หลุดพ้นไม่ทุกข์ เพราะไม่มีความวิตกกังวลเกิดขึ้นจากการครอบครองในทางโลก ;
ไม่สุข เพราะไม่มีความสมหวังการการได้มาในสิ่งที่ปรารถนา – เขาไม่มีความปรารถนาใด ;
สงบ เพราะไร้แรงจูงใจ, ไร้การดิ้นรนที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกต้องการ และการแบ่งแยกตัวตนของกายและจิตที่ต่ำกว่า ;
มั่นคง เพราะจิตที่อยู่ในภาวะสมบูรณ์ไม่มีพฤติอีกต่อไป ;
ไร้ความปรารถนา เพราะจิตที่หลุดพ้น ไม่เห็นสิ่งคู่ตรงกันข้าม อันก่อให้เกิดความปรารถนาและความสงสัย)
(5 ประการข้างต้นเกิดขึ้นกับผู้บรรลุธรรมเท่านั้น เขาเห็นโลกเป็นเพียงภาพลวงตา)
18.31
จิตของผู้หลุดพ้น ไม่มีความพยายามทั้ง สมาธิ และ การกระทำ แต่มันกลายเป็น สมาธิ และ การกระทำ ที่ปราศจากแรงจูงใจใดๆ
(แนวคิดในเรื่องนี้ คือ จิตที่หลุดพ้นเป็นอิสระจากอัตตาและผลที่จะตามมาทั้งหมด เป็นอิสระจากสิ่งที่ชอบและสิ่งที่ไม่ชอบซึ่งถูกสร้างจากอัตตา แต่ร่างกายมิได้แตกดับในทันทีที่บรรลุธรรม ปรารภกรรมของเขายังมีอยู่ และชีวิตยังดำเนินต่อไป จนกระทั่งชีวิตหมดสิ้นอย่างแท้จริง [exhausted] ในระหว่างนี้, การกระทำทั้งหมดของเขาถูกนำไปโดยปรารภกรรมของเขา โดยปราศจากร่องรอยของอัตตาหรือแรงจูงใจภายในตัวเขา แล้วบางครั้งเขาพบว่า การกระทำ, สมาธิ, การไม่กระทำ และอะไรก็ตาม ล้วนเป็นไปโดยที่สภาวะภายในเป็นอิสระสมบูรณ์อย่างสม่ำเสมอ)
18.32
เมื่อได้ฟังสัจธรรม คนที่มืดบอดจะงุนงงอย่างที่สุด, ส่วนบางคนที่ฉลาดเฉียบแหลมจะสามารถหลุดพ้นได้ภายในตัวของเขาเอง และกลายเป็นเหมือนดั่งคนโง่
(เนื่องจากผู้ที่แสวงหาสัจธรรมต้องมีคุณสมบัติพื้นฐานที่เพียงพอ [ดูได้จากบทที่ 1] หากผู้รับฟังปราศจากคุณสมบัติเช่นนั้นก็จะงุนงงอย่างแน่นอน มีเพียงคนที่ชำระล้างจิตตนเองจากมลทินทั้งหมด จึงเหมาะสมที่จะได้ฟังและเข้าสู่หนทางการบรรลุธรรม)
(ตามที่ได้กล่าวว่า การตระหนักรู้ถึงอาตมันนั้นหาได้ยากยิ่งในโลกนี้ บางทีใน 1000 คน เราอาจพบเพียง 1 คนที่พยายามอย่างหนักเพื่อการรู้แจ้ง ;และอาจจะมีเพียง 1 ใน 1000 คนที่พยายามนั้น จะสามารถบรรลุธรรมและตระหนักรู้ถึงอาตมันอย่างแท้จริง ดังที่ กฐ-อุปนิษัท (Kathopanishad) กล่าวว่า “พระเป็นเจ้าซึ่งสถิตในกายมนุษย์ได้มอบประสาทสัมผัสที่บกพร่อง ซึ่งเป็นสัมผัสภายนอก, ดังนั้นมนุษย์จึงเห็นแต่ภายนอก ไม่เห็นภายใน มีเพียงบางคนที่ฉลาด ต้องการความเป็นอมตะ ได้เปลี่ยนมุมมอง [ตา] ของเขาเข้าไปภายในและได้สังเกตเห็นอาตมันภายในนั้น”)
(ผู้บรรลุธรรมได้กลายเป็นผู้ที่ไม่ทำอะไรเหมือนคนโง่ๆ ; อย่างไรก็ดี คนโง่ที่แท้จริงมีภายในที่กระตือรือล้นด้วยความปรารถนาต่อสัมผัส ในขณะที่ผู้รู้แจ้งนั้นมีภายในที่ไม่กระตือรือร้นเพราะเขาปราศจากความปรารถนา)
18.33
ผู้ไม่ตระหนักรู้ ปฏิบัติสมาธิด้วยความมุ่งมั่นและควบคุมจิต ผู้ฉลาดนั้นเป็นไปตามอาตมันที่แท้จริง เขาเหมือนคนที่หลับ, ไม่พบสิ่งใดที่จะต้องกระทำ
(ผู้บรรลุธรรมเหมือนคนที่หลับ เพราะระหว่างการหลับลึก เราสูญเสียสติทั้งหมดของกายและจิต ; แต่ที่จริงแล้วแม้ในยามตื่น ผู้บรรลุธรรมก็ยังคงแยกออกจากกายและจิต และสถิตในภาวะบรมสุขสมบูรณ์ของอาตมัน)
18.34
ผู้ไม่ตระหนักรู้ ไม่บรรลุความสงบ ทั้งโดยการไม่กระทำ (อกรรม) หรือ โดยการกระทำ (กรรม) แต่ผู้บรรลุธรรมมีความสุขโดยมีเพียงความมั่นใจในสัจธรรม
(การไม่กระทำที่มิได้เกิดจากการตระหนักรู้ถึงอาตมัน แต่เกิดจากการอดกลั้นของจิตและไม่กระทำทางกาย วิธีนี้ไม่เกิดประโยชน์ สภาวะของการตระหนักรู้ถึงอาตมันเป็นภาวะที่ส่องสว่างจากภายใน มิใช่การอดกลั้นไว้)
18.35
ผู้คนในโลกนี้คิดหาวิธีปฏิบัติต่างๆ โดยไม่รู้ว่าอาตมันนั้น บริสุทธิ์ เป็นพุทธิ เป็นที่รัก สมบูรณ์ อยู่เหนือจักรวาลและปราศจากมลทินใดๆ
(ผู้คนที่ยังไม่หมดสิ้นจากการยึดติดกับโลก ไม่รู้ว่าอาตมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เป็นที่รักของเรา อาตมันเป็นสิ่งกำหนดความรักของเราไปยังสิ่งต่างๆ บนโลก ดังที่ พฤหัสปติ [Brih] กล่าวว่า “ไม่มีความรักต่อสามีใดเป็นไปเพราะความประสงค์ของสามี ; มันคืออาตมัน ซึ่งประสงค์ให้สามีนั้นถูกรัก” ความรักต่อมวลมนุษยชาติก็คล้ายกันนี้ แต่ผู้โง่เขลาไม่รู้ในสิ่งนี้ และพวกเขาจึงแปรเปลี่ยนไปยึดติดกับสิ่งอื่นๆ นอกเหนือจากอาตมัน)
18.36
ผู้มีอวิชชาไม่สามารถหลุดพ้นแม้จะบำเพ็ญเพียรซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ผู้บรรลุธรรมที่มีเพียงความรู้, เขาก็เป็นอิสระโดยปราศจากการปฏิบัติใดๆ
(เมื่อตระหนักรู้ถึงอาตมัน การปฏิบัติทางกายภาพและจิตทั้งหมดก็ได้ถึงจุดจบ เพราะเขาได้ออกจากอวิชชาแล้ว)
18.37
ผู้มีอวิชชาไม่บรรลุถึงพรหมัน เพราะเขาปรารถนาต่อการบรรลุนั้น แต่ผู้บรรลุธรรมตระหนักถึงธรรมชาติของพรหมันสูงสุด เขาจึงบรรลุถึงพรหมันอย่างแน่นอน แม้ว่าเขามิได้ปรารถนา
(แนวคิดคือ ความปรารถนาที่จะเป็นพรหมัน เติบโต จากความรู้สึกแบ่งแยกจากพรหมัน ซึ่งเป็นการปฏิเสธธรรมชาติที่แท้จริงว่า “เราคือพรหมันอยู่เสมอ” ตราบเท่าที่มีความปรารถนา ความสำเร็จก็จะเป็นไปไม่ได้ บุคคลจะต้องละทิ้งแม้แต่ความปรารถนาที่จะเป็นอิสระ เพื่อที่จะบรรลุอิสระนั้น เราถูกผูกพันธะได้โดยง่าย เพราะเราคิดว่าตัวเราเองเป็นเช่นนั้น)
18.38
หากไร้การสนับสนุนหรือความกระตือรือร้นที่จะหลุดพ้น (บรรลุถึงอิสระ), ผู้มีอวิชชาจะยังสงวนรักษาโลกไว้ แต่ผู้บรรลุธรรมจะถอนรากถอนโคนของโลก ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความทุกข์ทั้งปวง
(การตระหนักรู้ถึงอาตมันเป็นพื้นฐานของชีวิตที่แท้จริง, ผู้มีอวิชชาไม่มีสิ่งนี้, และความไม่มีนี้ได้แพร่หลายไปจึงพบได้มาก)
(ผู้มีอวิชชาคิดและประพฤติต่อโลกว่าเป็นสิ่งจริง และพยายามกำจัดมัน โลกนั้นเป็นจริงโดยง่ายเพราะเราคิดว่าเป็นเช่นนั้น เมื่อมุมมองของเราเปลี่ยนไป และเรามองไปบนโลกว่ามิได้แตกต่างไปจากอาตมัน, โลกก็หยุดที่จะผูกพันธะกับเรา)
(รากของโลกที่กล่าวในโศลกนี้ก็คืออวิชชานั่นเอง)
18.39
ผู้โง่เขลาปรารถนาความสงบ และไม่ได้รับมัน แต่ผู้บรรลุธรรมรู้ในสัจธรรมและมีจิตที่สงบอยู่เสมอ
(เราไม่พบความสงบง่ายๆ เพราะเราละเลยความจริงของธรรมชาติที่ว่า “อาตมันสงบด้วยตัวมันเอง” เพราะความปรารถนาความสงบนั้นเกิดจากอวิชชา, ตราบเท่าที่ยังมีความปรารถนาความสงบ, ต้องมีอวิชชา, ดังนั้นจึงไม่สามารถบรรลุความสงบ)
18.40
ความรู้ในอาตมัน (Self-knowledge) ของคนที่เอาความรู้ไปขึ้นอยู่กับวัตถุนั้นคืออะไร? ผู้บรรลุธรรมไม่เห็นสิ่งนี้ เขาเห็นเพียงอาตมันซึ่งไร้การเปลี่ยนแปลง
(การเอาความรู้ไปขึ้นอยู่กับวัตถุมันเป็นการเปรียบเทียบและไม่สมบูรณ์ เพราะเป็นสิ่งคู่ตรงข้าม ; ความรู้แห่งการเปรียบเทียบขึ้นอยู่กับ 3 องค์ประกอบ ผู้รู้ สิ่งที่รู้ และการรู้ แต่สามสิ่งนี้จะหายไปในความรู้ที่สมบูรณ์)
(ผู้บรรลุธรรมไม่เห็น 3 องค์ประกอบทางวัตถุของความรู้ เพราะผู้บรรลุธรรมก้าวข้ามพันธะซึ่งทำให้เกิดความซับซ้อน)
18.41
ผู้ที่หลอกลวงว่าเขาพากเพียรเพื่อควบคุมจิต เขาจะควบคุมจิตได้อย่างไร? เพราะที่แท้จริงผู้บรรลุธรรมซึ่งตรัสรู้ภายในตนเองนั้น เขามีการควบคุมจิตเป็นธรรมชาติอยู่เสมอ
(การควบคุมจิตโดยสมบูรณ์ผลิบานขึ้นจากการปล่อยวางอย่างหมดสิ้น จากร่างกาย จิต และอื่นๆ เพราะฉะนั้น จงปฏิเสธทุกรูปแบบของกิจกรรมที่ตั้งเอกลักษณ์ของตัวเราไว้เป็นสมมุติฐานล่วงหน้า)
18.42
บางคนคิดไปว่า “ภาวะ” คือบุคคลอื่น, ที่ไม่มีอยู่จริง แต่ผู้บรรลุธรรม (ที่หาได้ยากยิ่ง) คือคนที่ไม่ได้คิดว่าภาวะเป็นบุคคลอื่นและมีเพียงความสงบเท่านั้น
(เมื่อบุคคลตระหนักรู้ถึงอาตมัน, เขาได้เข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียว [Unity] เขาไม่คิดว่าสิ่งใดที่เป็นไปได้ เช่น ความจริงหรือความลวงของโลก เพราะฉะนั้น เขาจึงสงบและมีศานติอย่างสมบูรณ์)
18.43
ผู้ที่ขาดพุทธิ “คิด” ว่าอาตมันนั้นบริสุทธิ์และเป็นหนึ่งไม่มีสอง แต่เขาแค่หลอกลวงและมิได้รู้ถึงอาตมันอย่างแท้จริง, และเขาไม่มีความสุขตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่
(เพราะ “ความคิด” ว่าอาตมันบริสุทธิ์, เป็นหนึ่งเดียว แสดงว่า อาตมันถูกรวมอยู่กับ ความคิดที่ไม่บริสุทธิ์ หลากหลาย และสิ่งที่มิใช่อาตมัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความสมบูรณ์ที่แท้จริงนั้นอยู่เหนือความรู้แห่งการเปรียบเทียบเช่นนั้น)
18.44
พุทธิของผู้ใช้เวลาอย่างยาวนานเพื่อการหลุดพ้นนั้นไม่เป็นอิสระ, แต่พุทธิของผู้ที่หลุดพ้นอย่างแท้จริงนั้นขึ้นตรงต่ออาตมันอยู่เสมอ และเป็นอิสระจากความปรารถนา
(การใช้เวลาอย่างยาวนานเพื่อการหลุดพ้น เพราะนำความรู้ไปขึ้นอยู่กับวัตถุซึ่งเปรียบเทียบและไม่สมบูรณ์ [เป็นสิ่งคู่ตรงข้าม] ความรู้แห่งการเปรียบเทียบขึ้นอยู่กับ 3 องค์ประกอบ คือ ผู้รู้ สิ่งที่รู้ และการรู้ ; แต่ 3 สิ่งนี้จะหายไปในความรู้ที่สมบูรณ์)
18.45
การเห็นเสือแบบผัสสะวัตถุนั้นทำให้ตกใจกลัว, หาที่หลบภัย, และเข้าหลบในถ้ำทันทีเพื่อให้บรรลุถึง การควบคุมและเป้าหมาย
18.46
การเห็นราชสีห์ด้วยสายตาอันไร้ความปรารถนา (ของมนุษย์), ผัสสะที่เปรียบเหมือนช้างจะคุกเข่าลงและเมื่อช้างมันไม่สามารถกระทำสิ่งใด, มันจึงรับใช้ราชสีห์เหมือนคนประจบสอพลอ
(แนวคิดในกระบวนการและการนำเสนอโศลกนี้คือ : การยึดติดกับผัสสะ ทั้งที่เป็นวัตถุและที่ไม่ใช่วัตถุนั้น เป็นเหตุแห่งทุกข์ ทันทีที่ผู้นั้นเป็นอิสระจากการยึดติด, เขาอาจมิได้หันหลังให้กับโลก แม้เขาจะอยู่ท่ามกลางโลกแห่งวัตถุ, เขาก็สามารถอาศัยอยู่อย่างเป็นอิสระและมีความสุขอย่างไร้ผลกระทบใดๆ)
18.47
ผู้ที่เป็นอิสระจากความสงสัย และมีจิตเอิบอาบในอาตมัน, เขาไม่ต้องหันไปพึ่งวิธีการที่จะหลุดพ้น เขาเห็น, ได้ยิน, สัมผัส, ได้กลิ่น, กินและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
(ผู้บรรลุธรรม เห็น ได้ยิน สัมผัส ได้กลิ่น และกิน โดยที่เป็นเพียงปรากฏการณ์ [เขาเพียงแต่สังเกตการณ์], เพราะเขาไม่ได้เป็นผู้ทำหน้าที่เหล่านั้น)
18.48
เขาผู้ซึ่งมีจิตบริสุทธิ์เป็นอิสระจากความสับสน โดยเพียงการสดับฟังสัจธรรม เขาไม่เห็นความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ในการกระทำหรือไม่กระทำ
(เป็นกรณีที่หาได้ยากในการตระหนักรู้ถึงอาตมันจากการสดับฟังสัจธรรม กล่าวคือ [มันไม่เร็วเท่าการปฏิบัติสมาธิ] ; คน (ที่ยังมีความปรารถนา) ที่มิได้บำเพ็ญเพียร จะมีจิตที่บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์โดยปฏิบัติคุณธรรม 4 ประการ ยกตัวอย่างเช่น การแยกระหว่างสิ่งที่จริงกับสิ่งที่ลวง เมื่อได้สดับฟังเกี่ยวกับธรรมชาติของอาตมัน แล้วเกิดสัจธรรมสาดส่องเหนือตัวเขา โดยที่เขาไม่ต้องบำเพ็ญเพียร)
(การบำเพ็ญเพียรมี 2 วิธี คือ การคิดไตร่ตรองอย่างมีสติ [Realization Manana (reflection)] และ การนั่งบริกรรมสมาธิ [Nididhyasana (meditation)]
(ผู้บรรลุธรรมเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์จากอัตตาเพราะเขารู้ถึงอาตมัน เขาเพียงถูกนำทางไปโดยปรารภกรรมของเขาเท่านั้น กฎใดๆ ที่เป็นสื่อเชื่อมต่อด้วยศรัทธาล้วนไม่มีความหมายใดต่อเขา เขาจึงไม่เห็นความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ในการกระทำหรือไม่กระทำ)
18.49
ผู้ที่ไร้มารยา (ไร้เล่ห์เหลี่ยม, เป็นอิสระจากรักและเกลียด) เขาทำในสิ่งที่ต้องทำ, ไม่ว่าดีหรือเลว เพราะการกระทำของเขาเหมือนการกระทำของเด็กๆ
18.50
การเป็นอิสระจากการยึดติดและเกลียดชังอย่างแท้จริงนั้น ได้บรรลุความสุข, การเป็นอิสระอย่างแท้จริงนั้นได้บรรลุสิ่งสูงสุด (Supreme), การเป็นอิสระอย่างแท้จริงนั้นได้บรรลุศานติ และ การเป็นอิสระอย่างแท้จริงนั้นได้ไปสู่สภาวะสูงสุด (Highest State)
18.51
การปรุงแต่งของจิตทั้งหมดถูกทำลายลง เมื่อตระหนักรู้ว่าตัวเขาเองไม่ได้เป็นทั้งผู้กระทำหรือผู้รับผลของการกระทำนั้น
(ความรู้สึกที่ว่า “ฉันจะทำเช่นนั้น” หรือ “ฉันจะได้สิ่งนั้น” มันเป็นการปรุงแต่งของจิต)
18.52
ด้วยการชักนำของผู้บรรลุธรรม แม้จะส่องสว่างอย่างที่มิอาจบดบัง, แต่ผู้โง่เขลาที่มีจิตอันยึดติดก็มิอาจสงบลงได้
18.53
ผู้บรรลุธรรมที่เป็นอิสระจากจินตนาการ, ไม่มีพันธะและไร้พุทธิที่ถูกพันธนาการโดยโซ่ตรวน (ของอัตตา) ; (บางครั้งเขา) เล่นสนุกท่ามกลางความรื่นรมย์ และ (บางครั้งเขา) ก็ปลีกวิเวกอยู่ในถ้ำตามป่าเขา
18.54
แม้จะพบเห็นผู้สูงเกียรติประพันธ์บทเรียนที่อุทิศแด่พระเป็นเจ้า, พบเห็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์, พบเห็นหญิงสาว, กษัตริย์ หรือ ผู้เป็นที่รักยิ่ง ก็ไม่ก่อให้เกิดความปรารถนาใดขึ้นในใจของผู้บรรลุธรรม
(สิ่งใดๆ ที่ผู้บรรลุธรรมพบเห็น ไม่ก่อให้เกิดความปรารถนา เพราะเขาเห็นพระเป็นเจ้าในทุกสิ่ง และเท่าเทียมกันอย่างสมบูรณ์)
18.55
ผู้บรรลุธรรม (โยคี) ไม่กังวลสิ่งใดเลย แม้ถูกเยาะเย้ย, เหยียดหยาม โดยบุคคลเช่น คนรับใช้, บุตร, ภรรยา, หลาน และ ญาติ
(ผู้รู้แจ้งไม่มีความกังวลแม้ถูกเยาะเย้ย เพราะเขาเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์จากความเกลียดชัง ซึ่งสร้างความยุ่งยากให้กับจิตของเขา)
18.56
แม้การเอาอกเอาใจก็มิได้ทำให้ผู้บรรลุธรรมพึงพอใจ, แม้การทำร้ายจิตใจก็มิได้ทำให้เขาเจ็บปวด มีเพียงคนที่เป็นเหมือนเขา จึงจะเข้าใจในสภาวะอันน่าอัศจรรย์นี้
(ความพึงใจและเจ็บปวดคือการปรุงแต่งที่แตกต่างกันของจิต ซึ่งไม่เกิดขึ้นในจิตที่ปล่อยวางแล้ว เพราะฉะนั้น แม้ว่าการแสดงออกภายนอกของผู้ตระหนักรู้จะดูเหมือนพึงพอใจและเจ็บปวด แต่ในความเป็นจริง มันมิได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อเขา)
(เพราะการกระทำภายนอกของเขานั้นมิได้แตกต่างไปจากคนธรรมดา จึงมีเพียงคนที่บรรลุธรรมเหมือนกันที่จะเข้าใจสภาวะนี้)
18.57
ความรู้สึกรับผิดชอบต่อหน้าที่, แท้จริงคือพันธะของโลก ผู้บรรลุธรรมอยู่เหนือกว่านั้น มันคือความว่างเปล่า, ไร้รูปแบบ, ไร้การเปลี่ยนแปลง และ ไร้มลทิน
(ความรู้สึกรับผิดชอบต่อหน้าที่เกิดจากการยึดติดกับวัตถุทางโลก ที่เกิดความรับผิดชอบและผูกพันธะมากขึ้นเรื่อยๆ กับโลกนี้, และด้วยความรู้สึกนี้มันสั่งให้เราเกิดแล้วเกิดอีก)
18.58
ผู้มีพุทธิอันโง่เขลา แม้จะพยายามทำหลากหลายประการ เขาก็ยังคงปั่นป่วนด้วยความสับสน แต่ผู้มีทักษะ แม้กำลังกระทำหน้าที่เขาก็มิได้กังวลสิ่งใดเลย
(ผู้บรรลุธรรมไม่กังวลแม้กระทำหน้าที่ เพราะเขาพ้นแล้วจากอัตตา มีจิตสงบและมีศานติอยู่เสมอ แม้จะอยู่ท่ามกลางกิจกรรมต่างๆ)
18.59
ผู้บรรลุธรรม นั่ง, หลับ, เคลื่อนไหว, พูด และ กิน อย่างเป็นสุขเท่าเทียมกันตลอดในการใช้ชีวิต
18.60
ผู้บรรลุธรรม, แม้กำลังดำเนินชีวิต, เขามิได้ครอบครองเอกลักษณ์ของตัวเขาเอง, เขาไม่รู้สึกกังวล ทุกข์ หรือยุ่งยากเหมือนคนทั่วไป, เขาไม่ปั่นป่วนยุ่งเหยิง, เขาเหมือนทะเลสาบอันกว้างใหญ่ไพศาล เพราะความทุกข์ทั้งหมดได้จากเขาไปแล้ว
18.61
การไม่กระทำของผู้หลอกลวง (ว่าบรรลุธรรม) ก่อให้เกิดกรรม แต่การกระทำของผู้บรรลุธรรมให้ผลเหมือนการไม่ได้กระทำ (กรรม)
(แม้ว่าผู้หลอกลวงจะมิได้กระทำสิ่งใดภายนอก แต่ภายในของเขามีการกระทำอย่างมาก ; แต่ผู้บรรลุธรรมแม้จะกระทำสิ่งใดที่แสดงออกภายนอก แต่ภายในของเขามิได้กระทำอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากเขามิได้ยึดติดกับร่างกายและความรู้สึกของเขา)
18.62
ผู้ที่หลอกลวง (ว่าบรรลุธรรม) มักจะไม่พอใจในสิ่งที่เขามี แต่ผู้ที่ได้ปล่อยวางร่างกายอันเคยรักของเขา, เขาจะไม่ยึดติดและไม่ชิงชัง
(ผู้ที่หลอกลวงมักจะไม่พอใจในสิ่งที่เขามี เพราะเขายังคงระบุตัวตนของเขาด้วยร่างกาย เพราะฉะนั้น เขาจึงยังยึดติดอยู่กับร่างกาย และ การครอบครองนั้นจะเกิดขึ้นคู่กับการยึดติด ; ดังนั้น ทั้งการยึดติดและการไม่พอใจในสิ่งที่มี เกิดขึ้นจากแนวคิดว่าตัวตนคือร่างกาย)
18.63
ผู้หลอกลวง (ว่าบรรลุธรรม) มีสติที่ยึดติดกับความ “คิด” และ “ไม่คิด”อยู่เสมอ แต่ผู้บรรลุธรรมนั้น แม้จะคิดในสิ่งที่คิดได้, ก็เป็นเพียงธรรมชาติของจิตไร้สำนึก (unconsciousness)
(เพราะผู้ยังไม่บรรลุธรรม เขาระบุตัวตนของเขาว่า จิตคือเครื่องมือของการคิด และคิดว่าวัตถุใดๆ นั้นคือสิ่งจริง แต่ผู้บรรลุธรรมนั้นเป็นอิสระจากอัตตา และรู้ว่าวัตถุนั้นไม่จริง, จิดสำนึกของเขาเป็นอิสระจากสิ่งคู่ สิ่งที่รู้ และการรู้ เขาดำรงอยู่ในสติบริสุทธิ์ คืออาตมัน)
18.64
ผู้บรรลุธรรม (ปราชญ์) ผู้เคลื่อนไหวเหมือนเด็กๆ เขาปราศจากแรงจูงใจในทุกสิ่งที่ปรากฏ เขาไม่ยึดติดแม้แต่งานที่เขาได้ทำไปแล้ว
18.65
ผู้ตรัสรู้ที่แท้จริงคือผู้ที่ตระหนักรู้ถึงอาตมัน แม้ว่าเขาจะเห็น, ได้ยิน, สัมผัส, ได้กลิ่น หรือ กิน เขาก็ปราศจากความสนใจ และ รู้สึก (เห็น) เท่าเทียมเสมอภาคกันในสภาวะทั้งหมด
18.66
ภาพสะท้อนของอาตมันคืออะไร? โลกคืออะไร? จุดจบอยู่หนใด? มันมีความหมายใดต่อผู้บรรลุธรรมซึ่งเป็นเหมือนท้องฟ้าอันไร้การเปลี่ยนแปลง?
(สำหรับผู้ตระหนักรู้ว่าอาตมันเป็นอนันต์หนึ่งเดียว เขาไม่ยอมรับการปรากฏของสิ่งอื่นใดอีก แม้แต่ภาพสะท้อนของอาตมัน ซึ่งหมายถึงตัวตนที่เฉพาะเจาะจงอันมีข้อจำกัดที่เกิดขึ้นในจิตของบุคคลนั้น)
18.67
ผู้ตรัสรู้ (รู้แจ้ง) นั้นคือผู้ที่เป็นอิสระจากความปรารถนาทั้งปวง และทำให้เกิดบรมสุขอนันต์เป็นธรรมชาติของเขา เขาผู้นั้นมีธรรมชาติที่บรรลุสมาธิในทุกสภาวะ (มีสมาธิเป็นสันดานของเขา)
(ผู้รู้แจ้งไม่สร้างผลของการกระทำ (กรรม) ใดๆ ; เขาไม่มีแม้ความพยายามที่จะปล่อยวาง เพราะทุกสิ่งคือพรหมันสำหรับเขา
(การตระหนักถึงอาตมันโดยสมบูรณ์ จะก้าวข้ามข้อจำกัดทั้งหมด เขาจึงบรรลุสมาธิเป็นธรรมชาติในทุกสภาวะ)
18.68
กล่าวโดยย่อ, บุคคลผู้เข้าถึงบรมวิญญาณ (Great-Souled) คือผู้ประจักษ์ในสัจธรรม, เป็นอิสระจากความปรารถนาผัสสะที่รื่นรมย์, เป็นอิสระจากความปรารถนาที่จะหลุดพ้น และปราศจากการยึดติดตลอดทุกกาลเวลาและสถานที่
(ผู้ที่หลุดพ้นเป็นอิสระจากความปรารถนาที่จะหลุดพ้น เพราะเขารู้ว่าอาตมันนั้นเป็นอิสระอยู่แล้วตามธรรมชาติ)
18.69
ผู้มีพุทธิบริสุทธิ์ควรทำอย่างไรกับชีวิตส่วนที่เหลือ? ผู้ที่ปล่อยวางโลก ซึ่งเขาดำรงอยู่ในตอนเริ่มต้น และต่อมาโลกได้เหลือเพียงชื่อเรียก (เป็นเพียงปรากฏการณ์ไม่มีอยู่จริง)
(จักรวาลนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา ปรากฏเพียงนาม และ รูป ซึ่งซ้อนทับอยู่บนอาตมัน, อาตมันแบ่งแยกไม่ได้และเป็นอนันต์)
18.70
ผู้บริสุทธิ์ (เป็นอิสระจากอวิชชา) ซึ่งรู้อย่างแน่นอนว่าผลผลิตของภาพลวงตานั้นไม่มีอยู่จริง, เขาได้ประจักษ์ในความลับที่ไม่เปิดเผย, เขาเป็นผู้ได้รับความรื่นรมย์ของความสงบตามธรรมชาติ
(อาตมันนั้นอยู่เหนือกว่าจิตและคำพูด มันไม่สามารถทำให้เป็นรูปธรรม อาตมันมิใช่สิ่งที่รู้ได้, แต่มันส่องสว่างด้วยตนเอง เพราะอาตมันมีการตระหนักรู้ด้วยตัวมันเอง จึงเรียกได้ว่าความลับที่ไม่อาจเปิดเผย)
18.71
กฎข้อบังคับ, การไร้อคติ, การปล่อยวาง และการข่มอารมณ์แห่งผัสสะ กฎต่างๆ เหล่านี้คืออะไรสำหรับผู้ที่มีพุทธิโดยธรรมชาติ และ ผู้ที่ปราศจากวัตถุประสงค์ใดๆ อย่างแท้จริง?
(ข้อกำหนดใดๆ ไม่มีความหมายสำหรับผู้บรรลุธรรมที่ตระหนักรู้ถึงอาตมัน เขาได้ก้าวข้ามพันธะซึ่งไม่มีอยู่จริง)
18.72
อะไรคือ พันธะ และ การหลุดพ้น?, อะไรคือ ยินดี และ เสียใจ? สำหรับผู้ที่สว่างไสวเป็นอนันต์และไม่รับรู้ต่อความสัมพันธ์ใดๆ ที่ปรากฏ
18.73
ตั้งแต่การปรากฏของโลก จนกระทั่ง ได้ตระหนักรู้ถึงอาตมัน, ผู้บรรลุธรรมจึงเห็นว่าโลกทั้งหมดเป็นเพียงมายา ผู้บรรลุธรรมดำรงชีวิตอยู่โดยปราศจากความรู้สึก “ตัวฉัน”, “ของฉัน” และการยึดถือ
18.74
สำหรับปราชญ์ผู้ตระหนักรู้ถึงอาตมันว่าเป็นสิ่งยั่งยืนและไม่เป็นทุกข์, อะไรคือความรู้? อะไรคือจักรวาล? และ อะไรคือความรู้สึกว่า “ฉันคือร่างกาย” และ “ร่างกายเป็นของฉัน” ?
18.75
เมื่อผู้ที่มีพุทธิอันโง่เขลา ตกเป็นเหยื่อของความปรารถนาและจินตนาการ ไม่นานนัก เขาก็จะยกเลิกการบำเพ็ญเพียรเพื่อควบคุมจิต
ตามที่ได้กล่าวซ้ำๆ ว่าคนที่ตระหนักรู้ถึงอาตมันจะไม่มีความรู้สึกในสิ่งคู่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น ความพยายามทั้งหมดที่จะควบคุมผัสสะ (ซึ่งเป็นผลที่เกิดจากอวิชชา) เป็นแนวคิดของคนที่มีอวิชชา, ผู้มีอวิชชายืนกรานว่าเขาเป็นบางสิ่งในมุมมองของสิ่งคู่, เขาปฏิบัติและควบคุมสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่พอทำได้, ในที่สุดเขาก็เลิกบำเพ็ญเพียร และถูกลากลงไปในหล่มของความปรารถนา
18.76
เมื่อผู้ที่มีพุทธิอันโง่เขลา ได้สดับฟังสัจธรรม, เขาก็ไม่สามารถเลิกการหลงผิด แม้จะปรากฏว่าเขาพยายามทำจิตให้ปราศจากการกระทำใดๆ แต่ยังคงมีความต้องการทางวัตถุแอบซ่อนอยู่
(ความหลงผิดจะหายไป เพราะการตระหนักรู้ถึงอาตมันเพียงเท่านั้น)
(ความปรารถนาจะหายไป เพราะการตระหนักรู้ถึงอาตมันเพียงเท่านั้น มิใช่โดยการกดทับมันไว้)
18.77
ผู้ที่ปล่อยวางการงานด้วยอรุณรุ่งของการตระหนักรู้ เขาจะไม่หาโอกาสที่จะทำหรือพูดสิ่งใด, แม้ว่าในสายตาของคนทั่วไปมองเห็นว่าเขากำลังทำงานอยู่
(ไร้การกระทำ (กรรม) อย่างแท้จริงนั้น มิใช่การหยุดกิจกรรม แต่คืออิสระของผู้กระทำจากความคิดในเรื่องหน้าที่รับผิดชอบ)
18.78
สำหรับผู้รู้แจ้งซึ่งไร้การเปลี่ยนแปลงและไร้ความกลัว, ไม่มีความมืด, ไม่มีความสว่าง, ไม่มีการไถ่ถอน, และไม่มีอะไรก็ตามแต่
(ความมืด ความสว่าง ฯลฯ นั้นเป็นไปได้เฉพาะในขอบเขตของสิ่งคู่ แต่ไม่มีอีกแล้วในความเป็นหนึ่งเดียวแห่งอาตมัน)
18.79
สำหรับผู้บรรลุธรรม (โยคี) ที่มิได้มีธรรมชาติเป็นคนธรรมดา และไม่สามารถนิยามได้, อะไรคือความหนักแน่นสม่ำเสมอ? อะไรคือการแบ่งแยก? และอะไรคือความไม่เกรงกลัว?
18.80
ไม่มีสวรรค์ ไม่มีนรก หรือแม้แต่การหลุดพ้นในชีวิต กล่าวสั้นๆ คือ ไม่มีอะไรดำรงอยู่ในสติสัมปชัญญะของผู้บรรลุธรรม (โยคี)
18.81
ในขณะที่ยังไม่รู้แจ้ง, ผู้บรรลุธรรมมิได้ใช้เวลายาวนานสำหรับการเอาชนะและการเสียใจ จิตที่เยือกเย็นของเขาถูกเติมเต็มด้วยน้ำหวาน (แห่งบรมสุขนิรันดร์)
18.82
ผู้ไร้ความปรารถนาไม่บูชาความอ่อนโยน และไม่ตำหนิความชั่วร้าย เขาให้ความเท่าเทียมกันทั้งความสุขและความทุกข์ เขาไม่พบสิ่งใดที่จะต้องกระทำ
18.83
ผู้บรรลุธรรมไม่เกลียดการเกิดแล้วเกิดอีก และไม่คาดหวังที่จะบรรลุถึงอาตมัน เขาเป็นอิสระจากความสนุกสนานและความเสียใจ เขาไม่ตายและไม่ได้มีชีวิต
(ไม่เกลียดวัฏสงสาร – สิ่งจำเป็นยิ่งของการหลุดพ้นคือผลที่ตามมา แนวคิดของการย้ายที่อยู่ของวิญญาณ [metempsychosis] เมื่อได้เป็นอาตมันแล้ว, คนที่ตระหนักรู้ถึงอาตมัน วิญญาณของเขาไม่ถูกเคลื่อนย้ายและไม่สูญหาย เขาไม่ได้หดหายไปจากสิ่งหนึ่งหรือปรารถนาสิ่งอื่นใด)
(ไม่ตายและไม่มีชีวิต – ชีวิตและความตายเป็นการเปลี่ยนแปลง อาตมันไร้การเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ ผู้ตระหนักรู้ในอาตมันไม่มีทั้งสองสิ่งนี้ ทั้งชีวิตและความตาย)
18.84
ความรุ่งโรจน์คือชีวิตของผู้รู้แจ้ง ผู้เป็นอิสระจากความคาดหวัง, เป็นอิสระจากการยึดติดกับ บุตร, ภรรยา และอื่นๆ เป็นอิสระจากวัตถุแห่งสัมผัส และเป็นอิสระจากความห่วงใยแม้แต่ร่างกายของเขาเอง
18.85
ความพึงพอใจนั้นพักพิงอยู่ในหัวใจของผู้รู้แจ้ง ผู้ใช้ชีวิตไปตามสิ่งที่มาสู่เขาและดำเนินไปอย่างพึงพอใจ เขาพักผ่อนในสถานที่ใดก็ได้เมื่ออาทิตย์ลับฟ้า
18.86
ผู้มีวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ (บรมวิญญาณ หรือ Great-souled) ไม่ห่วงใยแม้แต่ร่างกายจะตายหรือเกิด สันติสุขของเขาอยู่บนพื้นฐานที่เขาเป็น และเขาลืมวัฏสงสาร
(สันติสุข – กาย จิต และโลกทั้งหมด ถูกซ้อนทับอยู่บนอาตมัน เพราะฉะนั้น, การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสิ่งที่ซ้อนทับนั้น ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อผู้ตระหนักรู้ถึงอาตมัน)
18.87
ผู้ตรัสรู้ คือผู้ที่รู้แจ้งได้ด้วยตนเอง, เขาไม่ยึดติดกับสิ่งใด, เขาปราศจากเอกลักษณ์ของบุคลิกแห่งความเป็นบุคคล, เขาเคลื่อนไหวอย่างอิสระ, เขาเป็นอิสระจากสิ่งคู่ตรงกันข้าม และมีความสงสัยที่ขาดสะบั้นลง
(รู้ได้ด้วยตัวเอง – เขาได้แยกห่างออกไปเหมือนเป็นผู้สังเกตการณ์)
(ปราศจากเอกลักษณ์ – อาตมันนั้นเป็นหนึ่งไม่มีสอง, ผู้ตระหนักรู้ถึงอาตมันไม่มีสิ่งใดที่จะต้องครอบครอง)
18.88
ความรุ่งโรจน์คือผู้รู้แจ้งที่ปราศจากความรู้สึก “ของฉัน” เขาเห็น ดิน, หิน และทองคำเท่าเทียมกัน ปมในใจของเขาถูกทำให้ขาดสะบั้น และเขาล้าง รชัส กับ ตมัส ได้หมดสิ้น
(ล้างได้หมดสิ้น – สัตวะ, รชัส, ตมัส คือ คุณะ 3 ประการ ที่เป็นองค์ประกอบของประกฤติ [ธรรมชาติทั้งหมด ภายในและภายนอก]
สัตวะ คือ พื้นฐานของความรู้ และการตรัสรู้
รชัส คือ พื้นฐานของแรงจูงใจ และความเจ็บปวด
ตมัส คือ พื้นฐานของความเฉื่อยชา และอวิชชา
เมื่อ รชัสและตมัสมีอำนาจเหนือกว่าสัตวะในจิต, มันไม่รับรู้ธรรมชาติของอาตมัน มีเพียงสัตวะที่สามารถสะท้อนการพรั่งพรูด้วยตัวเองของอาตมันได้ ดังนั้นจิตจึงจำเป็นต้องล้างรชัสและตมัสก่อนจะประจักษ์ถึงอาตมัน)
18.89
ผู้ที่มีวิญญาณหลุดพ้น เขาไม่มีความปรารถนาใดๆ เขามีความพึงพอใจและเห็นเท่าเทียมกันต่อสิ่งทั้งปวง ใครจะสามารถเทียบเทียมได้กับเขา?
18.90
ผู้ไม่ปรารถนาที่จะรู้ แม้ในสิ่งที่รู้, ผู้ไม่ปรารถนาที่จะเห็น แม้ในสิ่งที่เห็น, ผู้ไม่ปรารถนาที่จะพูด แม้ในสิ่งที่พูด, เขาคือใครกันหรือ ?
18.91
คือเขา ผู้ที่เป็นขอทาน และ ราชา เขาเหนือกว่าผู้ที่ไม่ยึดติดและมีสายตาที่เป็นอิสระ เห็นสรรพสิ่งเท่าเทียมกันโดยไม่มีความรู้สึกว่าดีหรือชั่ว
(ไม่รู้สึกว่าดีหรือชั่ว – เพราะเขาพบอาตมันในทุกสิ่งเท่าเทียมกันทั้งดีและชั่ว)
18.92
อะไรคือความดิบ?, อะไรคือความยับยั้งชั่งใจ?, อะไรกำหนดสัจธรรมให้กับผู้บรรลุธรรม (โยคี) ซึ่งชีวิตแห่งวัตถุของเขาได้ถูกเติมเต็ม?, และใครคือผู้ที่เป็นร่างของความจริงใจไร้มารยา?
(อะไรคือความดิบ ความยับยั้ง? – แนวคิดเรื่อง หน้าที่และเป้าหมาย เป็นตัวกำหนดและนำทางจริยธรรมของบุคคลนั้น การดำรงอยู่ในอาตมันเป็นหนึ่งไม่มีสอง, ผู้บรรลุธรรม [โยคี] ปราศจากทั้งหน้าที่และเป้าหมาย เพราะฉะนั้น, การกระทำของเขาก้าวข้ามจรรยาบรรณทั้งหมด)
(อะไรกำหนดสัจธรรม – การกำหนดสัจธรรมไม่มีค่าใดสำหรับผู้ที่ประจักษ์ด้วยตนเองว่าคืออาตมัน)
18.93
ใครจะสามารถอธิบายประสบการณ์ ในการไร้ความปรารถนา, ความทุกข์ที่ถูกทำลาย, และความพึงพอใจที่ได้พักพิงในอาตมัน? และเขาจะอธิบายได้อย่างไร?
(อธิบายได้อย่างไร? – เพราะอาตมันนั้นอยู่เหนือจิตและคำพูด)
18.94
ไม่หลับแม้ดูเหมือนกำลังหลับ, ไม่นอนแม้อยู่ในความฝัน, และไม่ตื่นแม้กำลังเดิน, นี่คือผู้รู้แจ้งผู้พึงพอใจในทุกสภาวะ
(ไม่ ฯลฯ – 3 สภาวะของจิต คือ หลับ ฝัน และ ตื่นอย่างเต็มที่ นั้น ถูกส่องสว่างโดยอาตมันที่ไร้การเปลี่ยนแปลง ยืนอยู่ดังผู้สังเกตการณ์นิรันดร์ เขาได้กลายเป็นผู้สถาปนาอยู่ในอาตมัน เพราะฉะนั้น, สภาวะของจิตเหล่านั้นมิได้ส่งผลกระทบต่อเขา)
18.95
ผู้รู้ ปราศจากความคิด แม้ว่าเขากำลังคิด, ปราศจากประสาทสัมผัส แม้เขาจะครอบครองมัน, ปราศจากพุทธิ แม้เขากำลังยกระดับมัน, และปราศจากอัตตา แม้ว่าเขาจะครอบครองมัน
(ผู้รู้ – อาศัยอยู่ในวิชชาของสัมปชัญญะบริสุทธิ์อยู่เสมอ, ผู้ตระหนักรู้ถึงอาตมันนั้นไร้นิยามที่เป็นรูปธรรม ไม่สามารถระบุได้ด้วยจิตหรือสัมผัส, แม้ว่าเขาจะปรากฏและมีพฤติกรรมต่อผู้อื่นเหมือนกับคนทั่วไป)
18.96
เขาไม่สุขและทุกข์, เขาไม่ยึดติดและปล่อยวาง, เขาไม่หลุดพ้นและปรารถนาความหลุดพ้น, ไม่ทั้งสิ่งนี้และสิ่งนั้น
(ไม่ ฯลฯ – สุขและทุกข์, หลุดพ้นและพันธะ ฯลฯ ไม่มีสิ่งใดเลยที่ยืนยันได้ว่าเป็นอาตมันซึ่งเป็นอิสระนิรันดร์)
18.97
ผู้ตรัสรู้ไม่ไขว้เขวแม้ในเรื่องที่สับสน, ไม่ทำสมาธิแม้อยู่ในสมาธิ, ไม่โง่เขลาแม้อยู่ในสภาวะที่โง่เขลา และไม่ได้เรียนแม้ว่ากำลังเรียน
(ผู้ตรัสรู้ – เป็นมากกว่าที่ปรากฏ เขาตระหนักรู้อาตมัน แยกออกจากกายและจิต, และสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ เป็นวิญญาณบริสุทธิ์, เขาไม่ข้องเกี่ยวกับการดำเนินไปของจิตทั้งปวง, ทั้งนี้มิได้หมายถึงกายภาพ)
18.98
ผู้หลุดพ้นพักพิงในอาตมันทุกสภาวะ, เขาเป็นอิสระจากแนวคิดเรื่องการกระทำและหน้าที่ ; เขาเหมือนกันในทุกสถานะ, เขาไม่เป็นเจ้าของความไร้ปรารถนา, เขาตอบสนองต่อสิ่งที่เขากระทำและยังไม่ได้กระทำ
(ไม่เป็นเจ้าของ – อัตตาและผลที่เกิดตามมา, ความปรารถนา, เป็นกระบวนการของความรู้สึกของ “การกระทำและหน้าที่” ผู้หลุดพ้นเป็นอิสระจากการกระทำและหน้าที่อย่างสมบูรณ์, วิญญาณที่หลุดพ้นไม่ข้องเกี่ยวกับพวกมัน แม้ว่าเขายังคงกระทำมันทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต)
18.99
ขอสดุดีต่อผู้ที่ไม่รู้สึกพึงพอใจและตำหนิติเตียน, ผู้ที่ไม่เบื่อหน่ายและรำคาญ, ผู้ซึ่งไม่ยินดีในชีวิตและไม่เกรงกลัวความตาย
(สดุดี – ผู้เป็นหนึ่งเดียวกับอาตมันอยู่เสมอ, หนึ่งไม่มีสอง, สำหรับเขาไม่มีผู้สรรเสริญหรือการสรรเสริญ, ไม่มีทั้งผู้ตำหนิและการตำหนิ, ไม่มีทั้งชีวิตและความตาย)
18.100
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่แออัดด้วยผู้คน หรือสถานที่อันวิเวก จิตที่สงบศานติเยือกเย็นยังคงเหมือนกันในทุกสภาวะและทุกสถานที่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา