3 เม.ย. 2021 เวลา 10:10 • สุขภาพ
“ความรัก กับ การเป็นเจ้าของ”
“ความรัก กับ การเป็นเจ้าของ” เกี่ยวข้องกันอย่างไร ?
“ความรัก”
เป็นท่าทีของการดูแลเอาใจใส่
เป็นการมอบหัวใจทั้งหมดให้แก่ความสัมพันธ์นั้น ๆ
ซึ่งจะเอื้อเฟื้อให้สายสัมพันธ์นั้นเติบโตงอกงาม
อาจเรียกได้ว่า
“เป็นการสร้างประโยชน์ และ การให้อิสระ”
เราอาจแลเห็นปรากฎการณ์แห่งรัก
ผ่านธรรมชาติรอบตัวมากมาย เช่น
-ดวงอาทิตย์ที่ให้แสงสว่างกับโลก
โดยไม่คิดที่จะครอบครองโลก
-ผืนดินซึ่งให้พื้นที่เติบโตแก่ต้นไม้
โดยไม่ตั้งเงื่อนไขกับต้นไม้ว่า มันจะต้องโตเร็วแค่ไหน
“ความรักที่แท้นั้นไม่มีเงื่อนไข”
เป็นการพึ่งพาอาศัยกัน โดยไม่ยึดติดครอบครองกันและกัน
เป็นการเอื้อเฟื้อเกื้อกูล โดยไม่ล่วงเกินและหวังผล
“ความรักที่แท้นั้นจึงไม่ได้ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง”
หากเรากลับมามองที่ชีวิตของมนุษย์
เมื่อใดก็ตามที่เรา...
“ไม่เอาความคิด ความรู้สึก และความปรารถนาเป็นที่ตั้ง”
เมื่อนั้นสัมพันธภาพย่อมราบรื่น
เนื่องจากไม่มีการตั้งเงื่อนไข
และไม่ต้องคอยบีบคั้นให้ผู้อื่นเป็นไปตามใจตน
“ความรัก กับ ความอิสระ จึงเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์”
ด้วยท่าทีเหล่านี้
ทั้งความอบอุ่น ความอ่อนโยน
ความเข้าใจ และการดูแลกันอย่างลงตัวจึงเกิดขึ้น
“ทำให้สัมพันธภาพเป็นไปอย่างราบรื่น”
ความสัมพันธ์เช่นนี้
จึงไม่ถูกเจือปนด้วยการเป็นเจ้าของ
คำว่า “การเป็นเจ้าของ”
นั้นเป็นความเชื่อที่ทำงานอย่างแนบเนียน
มันมักจะเชื่อว่า...
-ตนเองควบคุมทุกอย่างได้
-อยากได้อะไรก็ต้องได้
-ไม่ชอบให้ใครขัดใจ
“อยากได้ แล้วต้องได้”
แล้วเมื่อใดก็ตามที่สายสัมพันธ์ต่าง ๆ ในชีวิต
ถูกเจือปนด้วยการเป็นเจ้าของเสียแล้ว
ความสัมพันธ์นั้นมักหม่นหมอง
คือ มีการกดดัน มีการบีบบังคับ
มีการครอบงำ มีเล่ห์เหลี่ยม
มีการตั้งเงื่อนไข และมีการเรียกร้องรางวัลตอบแทน
“ทำให้คนในความสัมพันธ์รู้สึกไร้อิสระ”
ด้วยเหตุนี้
ความรักที่มีการยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง
จึงพ่วงมาด้วยการเป็นเจ้าของ
สายตาที่มีต่อความสัมพันธ์จึงเปลี่ยนแปลงไป
“จากเกื้อกูล เป็น ครอบงำ”
ซึ่งเป็นการมองผู้อื่นเหมือนเป็นวัตถุสิ่งของ
และ เป็นสิ่งที่จะควบคุมอย่างไรก็ได้
เช่น
-เพื่อนของกู
-แฟนของกู
-เมียของกู
-ผัวของกู
-ลูกของกู
-พ่อแม่ และญาติพี่น้องของกู
“ทุกคนจึงกลายเป็นสิ่งที่ถูกควบคุม”
กลายเป็นเครื่องจักรสนองความทะยานอยาก
(เป็นร้านสะดวกซื้อสำหรับเติมรูโหว่ในจิตใจ)
จุดเริ่มต้นของปัญหาความสัมพันธ์
มักถูกเจือปนด้วยการเอาตนเองเป็นศูนย์กลางเช่นนี้
เนื่องจากมันเอาแต่หมกมุ่นในความต้องการของตัวเอง
แล้วยังละเลยชีวิตจิตใจของผู้อื่น
“เอาแต่บีบคั้น และเรียกร้องในสิ่งที่ตนอยากได้”
ด้วยท่าทีเหล่านี้
จึงมักตามมาด้วยการกดดัน
การประชด การเรียกร้อง
การปะทะ และการทะเลาะ
“นำไปสู่ความรุนแรง”
ซึ่งมักเกิดขึ้นใน 2 บทบาทใหญ่ ๆ คือ
-จากการเป็นผู้กระทำ
(ใช้การลงมือเพื่อครอบงำผู้อื่น = ทางตรง)
ผ่านการใช้คำพูดทิ่มแทง ใช้กำลังทำร้าย
และบีบบังคับ “เพื่อให้ผู้อื่นยอม”
หรือ
-จากการเป็นเหยื่อ
(ใช้การยอมเพื่อครอบงำผู้อื่น = ทางอ้อม)
ผ่านการยอมถูกด่าทอ การยอมโดนละเลย
การยอมโดนทำร้าย และการทำร้ายตนเอง
“เพื่อให้ผู้อื่นรู้สึกผิด....เกิดความสงสารแล้วยอมทำตาม”
แล้วไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทของผู้กระทำ หรือ เหยื่อ
ทั้งหมดนี้ก็ล้วนมาจากการอยากได้บางสิ่ง
“มีเงื่อนไข และ มีการยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง”
ดังนั้น
หากเรารับรู้ว่า
ความสัมพันธ์ในชีวิตไม่ค่อยราบรื่น
หรือ มักจบความสัมพันธ์ด้วยความรุนแรงอยู่บ่อย ๆ
“นี่คือสัญญาณเตือนของชีวิต”
ที่กำลังบอกว่า เรามีความกลัวแฝงเร้นอยู่ในใจ
“กลัวจนต้องคอยบังคับผู้อื่นให้เป็นไปตามใจตน”
เมื่อยิ่งกลัว ก็ยิ่งครอบงำ
ความสัมพันธ์ก็ยิ่งถูกบีบคั้น
จนนำไปสู่ความขัดแย้งและทำลายกันในที่สุด
“จุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลง”
ล้วนเริ่มจากการเลิกผลักความรับผิดชอบไปที่ผู้อื่น
แล้วหันกลับมาจัดการกับความกลัวของตนเอง
หรือ เงื่อนปมในใจตนเองที่ยังไม่ได้คลี่คลาย
“ซึ่งผลักดันให้ไปบีบคั้นผู้อื่นอย่างไม่รู้ตัวอยู่บ่อย ๆ”
หากพบว่า
การคลี่คลายโจทย์ความรักที่พังลงในแบบเดิม ๆ
นั้นยากเกินกำลังของตนเอง
ท่านก็สามารถขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นได้
ไม่ว่าจะเป็นนักจิตวิทยาการปรึกษา นักบำบัด
จิตแพทย์ หรือ นักวิชาชีพ
ที่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ในเรื่องความรักและความสัมพันธ์

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา