9 เม.ย. 2021 เวลา 05:28 • ประวัติศาสตร์
(ตัวอย่าง)พิธีกงเต็กหลวงกับราชสำนักไทย
...(ข้อความนี้เป็นเพียงตัวอย่างที่กำลังจะเขียนลงเพจ เป็นบทความที่ยังไม่เสร็จสิ้น)
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 (ซึ่งหลังจากทรงรับการบรมราชาภิเษกเเล้วจึงทรงเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) ทรงประกอบพิธีกงเต๊กหลวงถวายพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร. (ภาพจาก,มติชน)
“กงเต๊ก” หรือ “กงเต็ก” (สุดแล้วแต่ว่าจะอ่านกันอย่างไร) มีมาในราชสำนักตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด คำว่า “กงเต็ก” นั้นเป็นคำจีนกลางออกเป็นเสียงภาษาไทยว่า “กงเต๋อ” (功德) หมายถึงการแสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณที่ล่วงลับไปแล้ว
พิธีกงเต็ก “功德仪式W
ทั้งนี้ “功德” แปลตรงตัวว่า บุญคุณ, บุญบารมี
งานศพ 丧事,丧礼,葬礼
ซึ่งในมหาพจนานุกรมภาษาจีนไดให้ความหมายเกี่ยวกับกงเต๊กไว้ว่า เป็นคำในพุทธศาสนา คำว่า “กง” (功) ในภาษาจีนหมายถึงการกระทำที่ก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ สามารถทำลายวงล้อแห่งการเวียนว่ายตายเกิดหรือสังสารวัฏได้ ส่วนคำว่า “เต๋อ” (德) หมายถึงคุณธรรมที่ผู้ประกอบกรรมดี การกระทำว่าด้วย “กงเต๋อ” เลยเป็นคำศัพท์ที่หมายความว่า การสวดมนต์ บำเพ็ญศีล ภาวนาและทาน เป็นต้น ฉะนั้นความหมายที่แท้จริงของคำว่ากงเต๊กจึงหมายถึงเป็นการส่งผู้ล่วงลับไปสู่ภพที่ดีขึ้น จึงถือเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีอีกนัยน์หนึ่งด้วย
แม้ในราชสำนักไทยจะไม่ทราบว่าอย่างแน่ชัดว่าพิธีนี้มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่แต่ก็พบหลักฐานในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๔ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์เรื่องงานพระบรมศพกล่าวว่า
“ลุศักราช ๑๒๑๔ ปีชวด (พ.ศ. ๒๓๙๕) จัตวาศก เป็นปีที่ ๒ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เร่งรัดทำการพระเมรุให้ทันในฤดูแล้ง…มีศาลาหลวงญวนทำกงเต็ก ๗ วัน ๗ คืน และโปรดฯ ให้เจ๊สัวเจ้าภาษีผลัดเปลี่ยนกันเข้าไปคำนับพระบรมศพ ตามอย่างธรรมเนียมจีน มีเครื่องเซ่นทุกวัน นอกจากนั้นจะพรรณาไปก็ยืดยาวนัก ด้วยของมีตำราอยู่แล้ว…”
นับเป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้ “เจ๊สัว” หรือบรรดาเจ้าสัวเจ้าภาษีผัดเปลี่ยนกันมาคำนับพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย มีการถวายเครื่องเซ่น (เข้าใจว่าน่าจะนำมาเส้นดวงพระวิญญาณและพระศพ ไม่น่าจะเอามาเซ่นผีสางเทวดา) แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าพิธีกงเต๊กนั้นมีมานานแล้วคือประโยคที่บอกว่า “นอกจากนั้นจะพรรณาไปก็ยืดยาวนัก ด้วยของมีตำราอยู่แล้ว…” แสดงให้เห็นว่าพิธีนี้ไม่ใช่ของใหม่ แต่มีมาก่อนอยู่แล้วเพียงแต่ด้วยหลักฐานที่บ่งชี้เลยไม่เพียงพอ เลยไม่มีใครทราบว่าเอามีมาตั้งแต่เมื่อไหร่
ส่วนในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานนั้นได้ให้ความหมายของคำว่ากงเต๊กเอาไว้ว่า “การทำบุญให้แก่ผู้ตายตามพิธีของนักบวชในนิกายจีน และญวน มีการสวด และเผาข้าวของเครื่องใช้กระดาษไปให้ผู้ตาย เช่น กระดาษเงินกระดาษทอง บ้านกระดาษ” (ราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๕๖:๓) เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าพิธีนี้อยู่คู่กับคนไทยมานานมากแล้ว
นอกจากนี้คำว่า “กงเต๊กหลวง” นั้นมีการอธิบายของความหมายเอาไว้ว่า “พิธีบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายในงานพระศพเจ้านายตามพิธีของพระจีนและพระญวน” (ปรัชญา ปานเกตุ ๒๕๕๘:๒๒) ด้วยเหตุนี้กงเต๊กจึงหมายถึงพิธีหนึ่งของพระจีนและพระญวน เป็นการทำบุญและอุทิศแก่ผู้ตายโดยอัญเชิญสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสู่ปะรำพิธีที่เตรียมเอาไว้ ในพิธีนี้ก็จะมีการทำสิ่งต่างๆ เช่น การเผาสิ่งของเครื่องใช้อุทิศแก่ผู้วายชนม์เพื่อนำไปใช้ในเทวโลก ส่วนพิธีกงเต๊กหลวงของทางราชสำนักนั้นก็มีความคล้ายคลึงกัน แต่การจัดพิธีนี้ดูออกเป็นการกระทำที่สืบต่อกันมาทางประเพณีมากกว่า เพราะทางพระราชวงศ์จักรีก็ไม่ได้มีเชื้อสายจีนมากเท่าไหร่
ความเป็นมาและความเชื่อเกี่ยวกับพิธีกงเต๊ก
ดังที่กล่าวไปตามเนื้อความข้างบน ความหมายของคำว่า “กงเต๊ก” เกิดจากคำสองคำรวมกัน นั่นคือ คำว่า “กง” ที่แปลว่า “การกระทำ” ส่วนคำว่า “เต๊ก” นั้นแปลว่า “คุณธรรม” เมื่อนำมารวมคำกันแล้วสามารถแปลความได้ว่า “การกระทำที่มีคุณธรรม” ซึ่งหมายถึง การแสดงความเคารพและความกตัญญูกตเวทีของลูกหลานที่มีต่อผู้ล่วงลับด้วยการทำบุญอุทิศส่วนกุศลทำให้ดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับนั้นได้ไปสู่ปรโลกที่ดีและเทวโลก
.
สำหรับความเป็นมาของ “พิธีกงเต๊ก” นี้เกิดจากรากฐานของความเชื่อทั้ง 3 ความเชื่อด้วยกัน อันประกอบไปด้วย ๒ ศาสนา และ ๑ ลัทธิ ได้แก่
๑. ศาสนาพุทธ (นิกายมหายาน) จะเน้นไปที่พระธรรมคำสอนและบทสวดต่าง ๆ แต่จะไม่มีพิธีกรรมตามแบบศาสนาอื่น
๒. ศาสนาเต๋า เน้นไปที่ความสมดุลและพิธีกรรมที่สื่อความหมายของพิธีกงเต๊ก
๓. ลัทธิขงจื๊อ เน้นไปที่ของไหว้และการแสดงออกถึงความกตัญญูของลูกหลานที่มีต่อผู้ล่วงลับ ( เรามาทำความรู้จัก “พิธีกงเต๊ก” พิธีงานศพจีนกันเถอะ!!! )
สำหรับพระสงฆ์ที่ประกอบพิธีนี้ในประเทศไทยเป็นคณะสงฆ์นิกายมหายานมีเพียงคณะสงฆ์นิกายจีน (พระจีน) กับคณะสงฆ์อนัมนิกาย (พระญวน) เท่านั้น และดังที่กล่าวไปนั้นพิธีนี้แสดงถึงความกตัญญูต่อผู้ล่วงลับ ตามพระสูตรของพระสงฆ์ฝ่ายอนัมนิกาย (นิกายของพระญวนจากเวียดนาม) ได้มีการบันทึกไว้ว่า
“กาลครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เชตวันวิหารกรุงสาวัตถี พร้อมด้วยพระภิกษุห้อมล้อมคอยสดับพระธรรมเทศนา ครั้งล่วงปัจฉิมยาม ได้มีเทพบุตรองค์หนึ่งพร้อมด้วยบริวารนำเครื่องสักการบูชามาถวายตรงเข้าไปนมัสการแทบพระบาท ถวายเครื่องสักการบูชาแล้วนั่ง ณ ที่ควรเพื่อคอยสดับพระธรรมเทศนา เมื่อพระพุทธองค์ทอดพระเนตรเห็นเทพบุตรนั้นแล้วก็แจ่มแจ้งในประวัติของเทพบุตรด้วยญาณอันวิเศษ จึงมีพุทธฎีกาตรัสแก่พระภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเติมที่เทพบุตรนี้เป็นบุตรของเศรษฐีที่อาศัยอยู่ที่เมืองสาวัตถี แต่ได้ทำมาตุฆาตแล้วกลัวภัยจะมาถึงตนจึงได้หลบหนีไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ขณะที่อุปสมบทได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด
ต่อมาได้เป็นพระมหาเถรและเป็นพระอุปัชฌายาจารย์สั่งสอนภิกษุและสามเณรอยู่เสมอด้วยความเอาใจใส่ ทั้งมีความเมตตาแก่ผู้ยากจนอนาถา บริจาคทานโดยปราศจากความตระหนี่ถี่เหนียว เมื่อมรณภาพเนื่องด้วยเป็นคนอกตัญญ ผลกรรมที่ได้ฆ่ามารดาจึงต้องไปเสวยทุกข์ในอเวจีมหานรกส่วนศิษย์ทั้งหลายได้พร้อมใจกันจัดการฌาปนกิจฉลองคุณพระอาจารย์ ในหมู่ศิษย์นั้นมีศิษย์รูปหนึ่งได้ฌานสมาบัติแก่กล้าจึงตรวจในทางฌานทั่วทั้งชั้นฟ้ามนุษย์และเดียรัจฉานก็ไม่เห็นพระอาจารย์จึงตรวจไปถึงอบายภูมิก็พบเห็นพระอาจารย์เสวยทุกข์ในนรกอเวจี เมื่อออกจากฌานแล้วเล่าเรื่องให้เพื่อนภิกษุทั้งหลายฟัง บรรดาศิษย์ต่างก็มีความสงสารพระอาจารย์จึงพร้อมกันกงเต็กขึ้น เป็นการบำเพ็ญกุศลอุทิศให้พระอาจารย์
ฝ่ายพระอาจารย์เมื่อได้รับผลบุญจากที่สานุศิษย์ส่งให้ประกอบกับกรรมดีที่เคยกระทำ แต่ครั้งปางก่อนทำให้ปราศจากมืดมัว มีความระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ทำให้ได้พ้นทุกข์ไปเสวยสุขในสรวงสวรรค์ จึงได้นำเครื่องสักการบูชาพร้อมเหล่าบริวารมานมัสการองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ แห่งนี้”
ซึ่งจากพระสูตรที่กล่าวมาข้างต้น กรรมหนัก ๕ ประการในทางพระพุทธศาสนานั้นคือ
๑. ฆ่ามารดา (มาตุฆาต)
๒. ฆ่าบิดา (ปิตุฆาต)
๓. ฆ่าพระอรหันต์ (อรหัตฆาต)
๔. ทำให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต (โลหิตุปบาท)
๕. ทำให้พระสงฆ์แตกแยกไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียว (สังฆเภท)
(องฺ.ปญฺจก. 22/129/165)
การฆ่าบิดามาราดานั้นถือว่าเป็นกรรมหนักและลงนรกอเวจีอย่างเลี่ยงไม่ได้ตามคำสอนทางศาสนา ในคำสอนของพุทธศาสนานิกายเถรวาทนั้นการกระทำดังกล่าวนั้นไม่อาจที่จะเลี่ยงนรกได้ แต่ในทางพุทธศาสนานิกายมหายานนั้นสามารถช่วยให้ขึ้นสวรรค์ได้ด้วยพิธีกงเต๊ก ซึ่งนี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ชาวจีนส่วนใหญ่เลือกที่จะทำพิธีกงเต็กอุทิศแด่ผู้วายชนม์ด้วย
อีกอย่างทางความเชื่อของชาวจีนนั้นมีความเชื่อว่าบุคคลบางประเภทหากก่อกุศลและอกุศลคละกัน เมื่อตายไปแล้วจะต้องโดนตัดสินบาปบุญที่ตนเคยกระทำลงไป หากมีบุญมากกว่าบาปก็จะขึ้นสวรรค์ แต่ถ้ามีบาปมากกว่าบุญก็จะลงนรกซึ่งทางผู้อ่านคงทราบดี แต่ถ้าหากทำกรรมคละกันการจัดพิธีกงเต็กนั้นมีความเชื่อว่าจะเป็นการเพิ่มบุญแก่ผู้ล่วงลับไม่ให้ลงไปสู่อบายภูมิซึ่งคงไม่มีใครปรารถนาที่จะไปเกิดในภพภูมิเช่นนั้น
พระราชสำนักไทย (สยาม) กับจีน
ไทยซึ่งสมัยโบราณอาจจะยังไม่เป็นรัฐชาติหรืออาจจะเรียกว่า “สยาม” (ในทางความเป็นจริงคำว่า “ไทย” หรือ “ไท” มีมานานแล้ว ภาษาก็เป็นภาษาไทยไม่ใช่ภาษาสยามซึ่งปรากฏมานานมากแล้ว เป็นต้น) มีการส่งคณะราชทูตสุโขทัยไปยังราชสำนักจีนซึ่งตอนนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์หยวน (元朝) แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองที่มีมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งสมัยอยุธยาในช่วงที่ปกครองโดยราชวงศ์สุพรรณภูมิ เป็นช่วงที่ราชสำนักอยุธยามีความสัมพันธ์กับจีนเป็นอย่างมาก มีการถวายจิ้มก้อง (進貢) อันเป็นเครื่องราชบรรณาการไปถวายจักรพรรดิจีนจนกระทั่งสิ้นกรุงศรีอยุธยา การถวายเครื่องราชบรรณาการแต่ละครั้งได้กำไรเป็นอันมากและทำให้ราชสำนักอยุธยามีความมั่งคั่ง จนกระทั่งสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จีนอคติต่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมาก ในเอกสาร “ชิงสือลู่” ซึ่งเป็นเอกสารในสมัยราชวงศ์ชิง ไม่ยอมรับว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นกษัตริย์สยามเป็นเวลานานมาก เพราะทรงครองราชย์โดยดูไม่ค่อยชอบธรรมนัก อาจจะเป็นเพราะทรงไม่ได้สืบเชื้อสายพระโลหิตมาจากพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา ทางสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้นทรงให้พ่อค้ามีนามว่าเฉินเหม่ยเซิงไปฟื้นฟูสัมพันธไมตรีกับจีนซึ่งตอนนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ชิง (大清帝國) ด้วยเหตุผลที่สันนิษฐานอยู่ ๓ ประการ คือ
๑. ต่อต้านแสนยานุภาพของพม่า
๒. สร้างความชอบธรรมต่อสมเด็จพระเจ้ากรุงสยามอันจะมีผลต่อการปกครองลาวและเขมรโดยชอบธรรม
๓. ด้านประโยชน์ทางด้านการค้าเองด้วย
ในช่วงแรกๆ นั้นราชวงศ์ชิงต่อต้านเพราะถือว่าให้ผู้ที่อยู่ใต้การปกครองพระเจ้ากรุงศรีอยุธยามาปกครองดินแดนกรุงศรีอยุธยาเดิมดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ชอบธรรมอย่างยิ่งทำให้ราชสำนักจีนดูจะไม่ยอมรับในเรื่องนี้เท่าใดนัก ราชสำนักจีนมองสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีว่า
“ความสัมพันธ์กับกษัตริย์เสียนหลอ (สยาม) เป็นแบบข้าราชบริพารต่อกษัตริย์ เมื่อเขาตัวตายเมืองวอดวายก็บังอาจฉวยโอกาสในห้วงวิกฤตโดยไม่คำนึงถึงพระมหากรุณาธิคุณต่อเจ้านายเก่า ตั้งตนเป็นอิสระไม่หยุดหย่อน เพ้อฝันที่จะได้รับแต่งตั้งรับรอง อ้างเอาความเป็นใหญ่ ถือเป็นเรื่องผิดทำนองคลองธรรมและชาติวรรณะ จักรพรรดิเฉียนหลงนอกจากจะไม่รับพระราชสาส์น ยังให้สภาองคมนตรีร่างหนังสือตอบในนามหลี่ซื่อเหยา ข้าหลวงประจำมณฑลกวางตุ้งและกว่างซี มีเนื้อหาตำหนิติเตียนอย่างรุนแรงและส่งให้เฉินเหม่ยเซิงนำกลับไป”.....(บทความที่ยังเขียนไม่เสร็จ)
.......อ่านต่อ (บทความพวกนี้ยังเขียนไม่เสร็จเเละสามารถอ่านได้ในเพจ ซึ่งน่าจะเสร็จภายในเร็วๆ นี้ ในเพจประวัติศาสตร์ - Topic)
รายการอ้างอิง
พิธี “กงเต็กหลวง” ในพระราชสำนัก - https://www.silpa-mag.com/culture/article_6880
แสงอรุณ กนกพงศ์ชัย. กตัญญูในกงเต๊กและกงเต็กในกตัญญู : พิธีกงเต๊กในสังคมไทยและสังคมโลก. พิมพ์ครั้งที่ 1.. ed. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2554.
เรามาทำความรู้จัก “พิธีกงเต๊ก” พิธีงานศพจีนกันเถอะ!!! - https://www.lewreath.com/%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%8A%E0%B8%81/
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๒ วิภังคปกรณ์
เสด็จสู่เเดนสรวง ศิลปะ ประเพณี เเละความเชื่อในงานพระบรมศพเเละพระเมรุมาศ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
จากภาพ : สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑๐ (หลังจากบรมราชาภิเษกจึงทรงเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเวลาต่อมา) ทรงประกอบพระราชพิธีกงเต็กถวายดวงพระวิญญาณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช หรือพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรในเวลาต่อมา (ภาพจาก : มติชน)
สำหรับบทความ หากใครสนใจสามารถหาอ่านได้จากในนี้ซึ่งเราเองพยายามรวบรวมข้อมูลเป็นอย่างมาก
เหตุใดจักรวรรดิออสเตรีย - ฮังการี จึงล่มสลาย?
ทำไมประเทศเล็กๆ อย่าง สวิสฯ ออสเตรีย ถึงรอดจากเยอรมัน ที่เป็นประเทศใหญ่ได้?
จักรวรรดิมุกัล(จักรวรรดิโมกุล, Mughal Empire)กับจักรวรรดิบริติช (British Empire) ทั้งสองจักรวรรดิเหมือนกันคือต่างปล้นชิงทรัพยากรเเละทรัพย์สมบัติจากอนุทวีปอินเดียมากมาย เลยเกิดข้อสงสัยขึ้นครับว่ามุกัลกับบริทิชใครปกครองดีกว่ากัน?
จักรวรรดิฮัพส์บวร์ค (Habsburg Empire) กับจักรวรรดิออตโตมันอันประเสริฐ (Ottoman Empire) ใครเรืองอำนาจมากกว่ากัน?
ประวัติศาสตร์จักรวรรดิเยอรมัน
ปรัสเซียเเละออสเตรีย
สามารถอ่านบทความนี้ได้จากใน Blockdit ได้จากลิงค์นี้
คลองสุเอซ
-
ประวัติศาสตร์อังกฤษ
สำหรับการฟื้นฟูราชอาณาจักรเเละระบอบกษัตริย์ตอนที่ 1 สามารถอ่านได้จากลิงค์นี้
-
การฟื้นฟูราชอาณาจักรเเละระบอบกษัตริย์ตอนที่ 2 สามารถอ่านได้จากลิงค์นี้
เหตุใดสมเด็จพระราชินีแห่งบริเตนใหญ่จึงมีการจัดงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพถึงสองครั้งในปีเดียวกัน?
- คลิปวิดีโอ https://www.facebook.com/watch/?v=180983046986374
พระราชบัญญัติสหภาพปี 1707 สามารถอ่านได้จากลิงค์นี้
- ปล. ขอให้สนุกกับการอ่าน^^
โฆษณา