Miguel McKelvey เป็นชายที่เกิดมา โดยที่ได้รับการเลี้ยงดูในสถานการณ์ที่ไม่ปกติเฉกเช่นเดียวกับ Adam Neumann เขาได้รับประสบการณ์ที่ครอบครัวแตกแยก แทบไม่ต่างจากที่ Adam พบเจอในวัยเด็กเลย
เขาได้เข้ามาเรียนระดับชั้นมหาวิทยาลัยที่โคโลราโด ซึ่งเป็นวิทยาลัยด้านศิลปศาสตร์เอกชน เขามีเป้าหมายที่่ยิ่งใหญ่ตั้งแต่เด็กไม่แพ้ Adam คือการคิดจะสร้างธุรกิจของตัวเอง
2
แต่เขาพบว่าตัวเองเกลียดการเรียนเศรษฐศาสตร์อย่างมาก และ ชอบศิลปะมากกว่า อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยมองเห็นบางอย่างในตัว Miguel นั่นคือ เรื่องของสถาปัตยกรรม ที่มันได้กลายเป็นสื่อกลางระหว่างความสนใจและความทะเยอทะยานด้านธุรกิจของเขา
ต้องบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือฟ้าลิขิตที่ Miguel ได้มาพบเจอกับ Adam ทั้งสองได้รู้จักกันผ่านเพื่อนของพวกเขาอย่าง Haklay ที่เป็นสถาปนิกที่ทำงานที่บริษัท JPDA ด้วยกัน
Miguel ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าอะไรที่ดึงดูดเขาเข้ามหา Adam แต่เรื่องที่น่าสนใจคือทั้งคู่มีอะไรหลาย ๆ อย่างที่คล้ายกันมาก
ชีวิตของ Adam เองนั้น ก็ยังต้องดิ้นรนเพื่อทำธุรกิจของเขาให้ประสบความสำเร็จดังที่ใจหวัง แน่นอนว่าทั้งคู่มี passion บางอย่างที่เหมือนกัน ก็คือ พวกเขายังไม่รู้สึกสบายใจเกี่ยวกับเส้นทางเดินชีวิตในตอนนี้ พวกเขามีความทะเยอทะยานมากกว่านั้น
Adam นั้นได้เล่าถึงแนวคิดเก่า ๆ ของเขาที่มหาวิทยาลัยบารุค เกี่ยวกับการสร้างธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้คนมาอาศัยในพื้นที่เดียวกัน เพื่อธุรกิจหรือพักอาศัย Miguel เองก็ดูจะชอบไอเดียนี้ ทั้งคู่จึงใช้เวลา 2-3 เดือนในการหาอาคารที่อยู่อาศัยเพื่อทำการเปลี่ยนแปลงมัน
2
ในที่สุดพวกเขาทั้งคู่ ก็ได้เห็นบ้านหลังหนึ่งที่ 68 Jay Street ตัว Adam เองนั้นรู้จากประสบการณ์ที่เขาเคยมีว่าการจัดการอสังหาริมทรัพย์ เป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุดอย่างหนึ่ง
1
Adam จึงได้บอก Miguel เกี่ยวกับคนรู้จักของเขาที่ดำเนินธุรกิจแบ่งพื้นที่สำนักงานขนาดใหญ่ออกเป็นหน่วยเล็ก ๆ เพื่อให้เช่าแต่ละส่วนกับบริษัทเล็ก ๆ ซึ่ง Miguel เองก็มีความคิดเกี่ยวกับการออกแบบสำนักงานมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว
ดูเหมือน Guttman จะไม่สนใจ แต่ตัดสินใจที่จะให้ลองกับอาคารอื่นในบริเวณใกล้เคียงแทน ซึ่งเป็นโรงงานกาแฟอายุกว่าศตวรรษที่ก่อด้วยอิฐเปลือย และมองเห็นทิวทัศน์ของ East River
Guttman ได้ถาม Adam ว่าจะทำอะไรกับพื้นที่ว่างเปล่าเหล่านี้ แต่แทนที่จะสร้างกำแพงขึ้นมา Adam ได้บอกว่าเขาจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นสำนักงานกึ่งส่วนตัวโดยมีพนักงานต้อนรับคนเดียวคอยจัดการให้ทุกอย่าง และจะแบ่งผลกำไรให้ Guttman จึงบอกให้เขาไปคิดแผนธุรกิจให้เป็นเรื่องเป็นราวมาเสนอเขาอีกครั้ง
ในคืนนั้น Miguel จึงได้เริ่มสร้างแผนธุรกิจ เขาตัดสินใจว่าพื้นที่ใหม่นี้จะเรียกว่า Green Desk เพื่อกำหนดเป้าหมายผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
Adam ยังคงทำธุรกิจเสื้อผ้าเด็ก แต่ Miguel นั้นได้เริ่มเข้าสู่ธุรกิจใหม่อย่าง Green Desk แบบเต็มเวลา ซึ่งได้ทำการออกแบบพื้นที่ร่วมกับ Haklay ซึ่งเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนคนที่สาม
1
พวกเขาได้ซื้อบล็อกขายเนื้อที่ IKEA เพื่อใช้เป็นโต๊ะทำงาน และวางผนังกระจกกั้นระหว่างแต่ละห้อง Miguel ได้ทำการโพสต์โฆษณาบน Craigslist และเริ่มโปรโมตแก่ผู้เช่าที่สนใจ โดยไม่มีอะไรมากไปกว่าการปิดเทปบนพื้นที่เพื่อทำเครื่องหมายว่า สำนักงานจะอยู่ที่ไหน
แต่เรื่องราวสุดเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น หลังจากทำการเปิดตัว Green Desk อย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม มันก็ได้รับความนิยมแบบทันทีทันใด
1
ทุกคนไม่อยากอยู่บ้านเพราะกลัวเป็นโรคซึมเศร้า Green Desk ได้ลูกค้าทั้งนักออกแบบแฟชั่น บริษัทเอกชน ผู้พัฒนา Font เว็บไซต์อย่าง Gothamist รวมถึงธุรกิจอื่น ๆ อีกมากมายเข้ามาเช่าพื้นที่ใน Green Desk
Green Desk เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มพื้นที่ ทีละชั้นในอาคารของ Guttman ต้องบอกว่าสิ่งที่ผู้คนสนใจมากที่สุดคือความยืดหยุ่นของสัญญาเช่าแบบเดือนต่อเดือน และความรู้สึกสนิทสนมกันที่หาไม่ได้จากสำนักงานให้เช่าแห่งอื่น ๆ ในนิวยอร์ก
1
Guttman ต้องการขยาย Green Desk ไปยังอาคารอื่น ๆ ในบรุกลินของเขา แต่ Adam และ Miguel นั้นเริ่มคิดแผนการที่ใหญ่ขึ้น เขาอยากเปลี่ยนแนวคิดเรื่องการเปลี่ยนโลกด้วยคำว่าสีเขียว
เขามองว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่อง Green Desk ที่ดูเหมือนจะเป็นชื่อที่เน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มันเป็น Concept ตั้งชื่อเพื่อสร้างความแตกต่างเท่านั้น แต่เขามองเห็นอะไรบางอย่างมากกว่านั้น
ต้องบอกว่า ชายสองคนที่มีความทะเยอะทะยานสูง กำลังร่วมมือกัน เปลี่ยนธุรกิจสำนักงานให้เช่า แบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในยุคนั้น ทำให้ Model Green Desk ของพวกเขาทั้งคู่ได้รับความนิยมแบบสุดขีด