3 ก.ค. 2021 เวลา 02:00 • ไลฟ์สไตล์
#Self-Esteem กับ ความสุขที่แท้จริง
1
“Self-Esteem” คือ การเห็นคุณค่าในตัวเอง การที่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง
Image by Berenice Calderón from Pixabay
จากบทความที่ลงไปเมื่อวาน เราได้พูดถึงวิธีที่จะสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง หรือ “Self Confidence” ไปแล้ว https://www.blockdit.com/posts/60d1f855ce2b712d24e39dd9
ซึ่ง Self Confidence นี้ เป็นหนึ่งในสิ่งที่ไปเติมเต็มให้กับ Self-Esteem ของเรา
วันนี้เราจึงจะพูดต่อไปถึงเรื่อง Self-Esteem ว่ามันมีความสำคัญอย่างไร? ทำไมจึงมีผลต่อความสุขที่แท้จริงของเรา หรือ “Happiness”? และเทคนิคการสร้าง Self-Esteem ให้กับตนเอง … How To?
หากอยากรู้ว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร? สามารถอ่านบทความนี้ได้เลยค่ะ “Happiness vs. Pleasure … ความต่างของความสุข”
Self-Esteem เกิดจากอะไร?
สิ่งที่จะสร้างให้เรามี Self-Esteem หรือ Low Self-Esteem มาจากประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมาของเรา ไม่ว่าจะเป็นวิธีที่เราถูกเลี้ยงดูมาเมื่อวัยเยาว์ หรือ สังคมรอบข้าง
1
Image by dougandpetegardening from Pixabay
คนที่มี Low Self-Esteem คือคนที่อาจไม่เคยได้รับการชื่นชมจากครอบครัวหรือสังคมรอบข้างเลย และอาจเคยถูก bully ต่างๆนานา จนตัวเองรู้สึกว่าไม่มีคุณค่า ไม่เห็นสิ่งดีๆในตัวเอง
Low-Self Esteem อาจก่อให้เกิดอะไรได้บ้าง?
การที่เราขาด Self-Esteem หรือที่เรียกว่า Low Self-Esteem นั้น นอกจากจะทำให้เรารู้สึกด้อยค่าในตนเองแล้ว ในระยะยาวความรู้สึกเหล่านี้ยังอาจนำไปสู่ภาวะของโรคซึมเศร้า
Image by Anemone123 from Pixabay
คนที่มี Low Self-Esteem จะมีความเปราะบางทางด้านจิตใจ ทุกๆคำพูด ทุกๆการกระทำ ของคนอื่นอาจมากระทบต่อจิตใจได้ง่ายๆ และอาจรุนแรง
1
Low Self-Esteem จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะการฆ่าตัวตายในวัยรุ่น ซึ่งอาจเป็นเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆในสายตาของคนอื่น ดังที่เราเคยเห็นในข่าวอยู่บ่อยๆ เช่น ได้เกรดไม่ดี เข้ามหาวิทยาลัยที่ต้องการไม่ได้ โดนพ่อแม่ห้าม โดนครูว่า โดนแฟนทิ้ง หรือ โดนเพื่อนล้อ
ความเปราะบางในจิตใจนี้เป็นสิ่งที่เราไม่อยากให้ใครมีเลย เพราะมันอาจนำไปสู่เรื่องน่าเศร้า
Self-Esteem สำคัญอย่างไรในการดำเนินชีวิต?
เพราะฉะนั้นความภาคภูมิใจในตนเอง การเห็นคุณค่าในตนเอง หรือ Self-Esteem จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง
ในชีวิตของคนเรานั้น มีทั้งขึ้น มีทั้งลง มีผิดหวัง มีอกหัก มีเสียใจ มีหลุมบ่อที่เราต้องตะเกียกตะกายขึ้นมาให้ได้
1
Image by Momentmal from Pixabay
หากเราเห็นคุณค่าในตัวเองเพียงพอ ก็จะทำให้เราสามารถที่จะผ่านเรื่องแย่ๆเหล่านั้นไปได้ และมันก็ทำให้เราแกร่งขึ้น และพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาต่อไป และต่อๆไป
Self-Esteem จึงเปรียบเสมือนเกราะป้องกันให้กับจิตใจของเรา เพื่อให้มันอยู่ในสภาวะที่ดี ไม่ให้มีอะไรไปกระทบแรงๆจนมันแตกสลาย
Self-Esteem มีผลต่อความสุขที่แท้จริง หรือ “Happiness” อย่างไร?
Self-Esteem เป็นหนึ่งในรากฐานที่จะทำให้ตัวเรานั้นเกิดความสุข (ที่แท้จริง) จากภายใน เป็นความสุขที่ยั่งยืน และไม่มีใครมาพรากไปจากเราได้
กล่าวคือ หากเรามี Self-Esteem เพียงพอ เราก็จะเห็นคุณค่าในตัวเอง เห็นสิ่งดีๆในตัวเอง มีความเคารพในตัวเอง มีความพอใจในตนเอง และยอมรับในสิ่งที่ตนเป็นไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา หรือ ข้อดีข้อด้อยของตน และทั้งหมดนี้ก็จะทำให้เรารู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง
เมื่อเราบ่มเพาะให้เกิดความภาคภูมิใจในตนเองแล้ว นี่แหละคือจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เกิด Self Actualization ซึ่งก็คือ การค้นพบความต้องการที่แท้จริงของตนเอง หรือ การรู้จักตัวตน (Self Realization)
1
หากเราดูจากพีระมิดของ Maslow ...
“Maslow’s Hierarchy of Needs” ภาพจาก https://www.simplypsychology.org/maslow.html
Abraham Maslow คือ นักจิตวิทยาผู้เขียน “Hierarchy of Needs” ไว้ในผลงานของเขาที่ชื่อว่า “A Theory of Human Motivation” ถ้าอยู่ในสายการตลาด สายธุรกิจ คงอาจจะคุ้นเคยกับ “Maslow’s Hierarchy of Needs” ซึ่งเป็นทฤษฎีเรื่อง “ความต้องการของมนุษย์”
อย่างไรก็ตามพีระมิดของ Maslow ไม่ได้เป็นแค่รากฐานในเชิงการตลาดเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นรากฐานของความสุขอีกด้วย เรียกง่ายๆก็คือ พีระมิดของ Maslow คือ Roadmap หรือ หนทาง แห่งความสุข นั่นเอง
ซึ่ง Self Actualization นี้ คือความสุขสูงสุดที่เราจะได้จากการค้นหาตัวตนของเรา มันจะเติมเต็มสิ่งที่เราเรียกว่า ความสุขจากภายใน ความสุขที่มนุษย์เราถวิลหา เพราะมันคือความต้องการของมนุษย์
การสร้าง Self-Esteem … HOW TO?
Image by Gerd Altmann from Pixabay
สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่อง Self-Esteem ลองอ่านดูกับเทคนิคต่างๆเหล่านี้เพื่อที่จะขจัด Low Self-Esteem ออกไปนะคะ
เทคนิคหลายๆอย่าง ก็จะคล้ายๆกับการสร้าง Self Confidence หรือ การสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง … ตามมาดูเลยดีกว่าค่ะ …
➡️ 1. รู้จักข้อดีของตัวเอง และ ชื่นชมกับมัน
ในสมองของคนเรามักเลือกที่จะจดจำสิ่งที่ไม่ดีมากกว่าสิ่งที่ดี เราจึงมักมีปัญหาในการที่จะระบุข้อดีหรือจุดแข็งของตัวเอง
แต่ให้เราลองคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนถึงข้อดีของตัวเอง แม้ว่าอาจจะเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องฟังดูยิ่งใหญ่
Image by Schäferle from Pixabay
เช่น ยิ้มง่าย เข้ากับคนอื่นง่าย เป็นผู้ฟังที่ดี มีน้ำใจชอบช่วยเหลือ เรียนรู้เร็ว มีความอดทนสูง ไม่โกรธง่าย สามารถทำหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน ทำอาหารอร่อย เป็นคนละเอียดอ่อน เป็นพ่อแม่ที่ดี เป็นลูกที่ดี ฯลฯ
ในขณะเดียวกันให้เราจดข้อดีๆต่างเหล่านี้ไว้ และให้เราอ่านมันบ่อยๆ เพื่อย้ำเตือนกับตัวเองว่า “นี่แหละคือจุดแข็งในตัวฉัน นี่แหละคือสิ่งดีๆที่ตัวฉันมี” แล้วยิ้มให้กับมันซะ
➡️ 2. รู้จักข้อด้อยของตัวเอง พัฒนาและยอมรับมัน
คนเราทุกคนล้วนมีข้อด้อยด้วยกันทั้งนั้น แม้กระทั่งคนที่เราคิดว่าเพอร์เฟคที่สุด เก่งที่สุด พวกเขาก็มีข้อด้อยที่แตกต่างกันออกไป
จากที่บอกไปในข้อที่แล้วว่า สมองของเรามักจดจำสิ่งที่ไม่ดีได้มากกว่า เพราะฉะนั้นเราคงคิดได้ไม่ยากสำหรับข้อด้อย หรือจุดอ่อน ของเรา
Image by athree23 from Pixabay
ให้เราจดรายการข้อด้อยทั้งหมดของเราออกมา โดยให้ทำแยกเป็นสองฝั่ง คือ ฝั่งที่สามารถแก้ไขได้ กับ ฝั่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้
รายการที่อยู่ในฝั่งที่แก้ไขได้ และที่สำคัญก็คือ เราอยากจะแก้ไข ให้เราทำตารางเวลาพัฒนาเพื่อที่เราจะได้รู้สึกว่าเราได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วถึงจุดไหน
ส่วนรายการที่อยู่ในฝั่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น ตัวเตี้ย ไม่ชอบเสียงของตัวเอง ครอบครัวไม่สมบูรณ์ เป็นต้น รายการเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรารู้ดีว่าเราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย เพราะฉะนั้นยอมรับมันซะ ว่านี่แหละคือตัวเรา หากจะว่าไปตามความจริงแล้ว ไม่มีใครที่สนใจในข้อด้อยเหล่านี้ของเรามากนักหรอก นอกจากตัวเราเอง
➡️ 3. หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นบ่อเกิดของด้านลบ
หากเรารู้ว่าคนๆนี้เป็นคนที่เราอยู่ด้วยแล้วมีแต่ทำให้เรารู้สึกไม่ดี หลีกเลี่ยงออกมาซะ หากเรารู้ว่าคนกลุ่มนี้ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราลีบเล็กทุกครั้งที่เจอ หลีกเลี่ยงออกมาซะ เลือกอยู่ท่ามกลางคนที่เรารู้สึกสบายใจดีกว่า
นอกจากคนบางคนที่เป็นบ่อเกิดของด้านลบให้กับตัวเราแล้ว ยังมีกิจกรรมอีกหลายอย่างในโลกปัจจุบันที่มากระตุ้นให้เรารู้สึกไปในทางลบโดยไม่รู้ตัว เช่น เสพข่าวมากเกินไปจนหมกมุ่นหรือทำให้เราเกิดอารมณ์ร่วมไปกับมัน ติดตาม social media มากเกินไปจนเรารู้ไปหมดว่าใครทำอะไรที่ไหนอย่างไร เลือกดูแต่หนังที่ให้ความรู้สึกกดดันหรือหดหู่ เป็นต้น
Image by StockSnap from Pixabay
สิ่งเหล่านี้หากเราอยู่กับมันมากเกินไป ก็ทำให้อารมณ์และจิตใจของเราถูกห้อมล้อมไปด้วยเรื่องลบๆตลอดทั้งวัน และ ตลอดทุกวัน
พยายามสร้างสิ่งแวดล้อมของตัวเองให้มีพลังบวกมากกว่าพลังลบ โดยลดกิจกรรมต่างๆที่จะสร้างด้านลบตามที่กล่าวไปลง แล้วหันไปทำกิจกรรมที่จะเพิ่มด้านบวกให้มากขึ้น
➡️ 4. หยุดเปรียบเทียบกับผู้อื่น
ในโลกของ social media ทำให้เราเห็นความเป็นไป เห็นไลฟสไตล์ ของผู้อื่นมากขึ้น
Image by S. Hermann & F. Richter from Pixabay
และบางครั้งมันก็อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่นๆ “ดูเขาสิ ออกรถคันใหม่อีกแล้ว” “ดูเขาสิ ได้ไปเที่ยวที่สวยๆตลอดเลย” “ทำไมเขาหุ่นดีจัง ใส่เสื้อผ้าอะไรก็ดูดีไปหมด”
ต้องยอมรับความจริงว่า ต้นทุนชีวิตของแต่ละคนไม่เท่ากัน หยุดใส่ใจกับเรื่องของคนอื่น หยุดเปรียบเทียบระหว่างตัวเรากับคนอื่น และหันมาภาคภูมิใจในสิ่งที่ตัวเราเป็น สิ่งที่ตัวเรามี มุ่งมั่นและพัฒนาข้อด้อยของเรา และ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
➡️ 5. รู้จักผ่อนคลายให้กับตัวเองบ้าง
อย่าไปสร้างความคาดหวังให้กับตัวเองมากเกินไป หากเราทำอะไรไม่สำเร็จตามที่หวังไว้ บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร การที่เราพลาดในครั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะพลาดตลอดไป และไม่ได้เป็นจุดจบของชีวิต มันก็เป็นแค่อุปสรรคเล็กๆน้อยๆที่ทุกคนจะต้องเจอเช่นเดียวกับเรา
Image by Here and now, unfortunately, ends my journey on Pixabay from Pixabay
ไม่มีใครในโลกนี้เพอร์เฟค รวมถึงตัวเราด้วย ยังมีคนอีกมากมายที่ยังล้มลุกคลุกคลานเช่นเดียวกับเรา ... You're not alone.
ให้รางวัลกับตัวเองบ้าง อย่าไปจริงจังกับชีวิตมากนัก อย่าไปคิดว่าชีวิตมันต้องเป็นแบบนั้น หรือ แบบนี้ ... ปล่อยๆไปบ้าง ปล่อยให้ความสนุกสนานได้เข้ามาทักทาย
➡️ 6. รู้จักปฎิเสธ
การที่เราทำตามใจคนอื่นไปซะทุกเรื่อง บางครั้งมันก็ทำให้ตัวเราเองอึดอัด หรือ กดดันโดยไม่รู้ตัว เราต้องหัดรู้จักปฏิเสธในสิ่งที่เราไม่อยากทำบ้าง ปฏิเสธที่จะไปในที่ที่เราไม่อยากไปบ้าง ปฏิเสธที่จะเจอกับคนที่เราไม่อยากเจอบ้าง
Image by Gerd Altmann from Pixabay
การปฏิเสธไม่ได้หมายความว่าเราหยาบคาย หรือ ไม่มีน้ำใจ แต่มันคือการรู้จักตัวเอง เคารพตัวเอง รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เราไม่ต้องการ
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ทุกคนชอบเรา รักเรา เพราะไม่มีใครสามารถที่จะเป็นที่รักของทุกคนได้แม้กระทั่งซุปเปอร์สตาร์ก็ตาม
➡️ 7. ลองทำสิ่งใหม่ๆ และ พิชิตมัน
เมื่อเราได้ทำสิ่งใหม่ๆ อาจเป็นสิ่งง่ายๆ ไม่ต้องยากถึงขนาด mission impossible และให้เราทำมันจนสำเร็จ
Image by klimkin from Pixabay
หากเราได้ทำอะไรบางอย่างเล็กๆน้อยๆ ทำบ่อยๆ ค่อยๆสำเร็จไปเรื่อยๆๆ เมื่อวันเวลาผ่านไป สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้จะช่วยสร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวเองเป็นอย่างดี
ลองหาอะไรใหม่ๆทำดูค่ะ ทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน เช่น ปลูกดอกไม้จากเมล็ดให้เกิดดอก ทำขนมจนเพื่อนๆชิมแล้วบอกว่าอร่อย วิ่งทุกวัน วันละ 5 กม. เป็นต้น
➡️ 8. หมั่นทำให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ
สุขภาพกายและสุขภาพจิตนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะฉะนั้นหากร่างกายมีความแข็งแรง ก็จะช่วยให้จิตใจเราดีขึ้นไปด้วย
Image by StockSnap from Pixabay
เราจึงควรหมั่นทำให้ร่างกายของเราแข็งแรงอยู่เสมอ โดยการออกกำลังกายเป็นประจำ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารให้ครบหมู่ ครบมื้อและหลากหลาย
หากเราสร้างรากฐานของเราให้มั่นคง ให้ตัวเรานั้นเห็นคุณค่าในตน มีความภาคภูมิใจในตัวเอง ความสุขจากภายในก็จะเริ่มก่อตัวขึ้น และจะสมบูรณ์มากขึ้นไปอีก เมื่อวันหนึ่งเราได้ค้นพบความต้องการที่แท้จริงของตนเอง หรือ รู้จักตัวตน
1
#สมองสองช้อน ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่แวะมานะคะ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา