8 ก.ย. 2021 เวลา 10:22 • สุขภาพ
“ทุกสิ่งนั้นหม่นหมอง หรือ เป็นใจเราที่หมองหม่น ?”
เหตุใดเวลาทุกข์ใจ ทุกสิ่งจึงดูหม่นหมอง ?
ประโยคในภาพประกอบบทความนี้
ผมได้มาจากการพูดคุยกับรุ่นพี่นักจิตฯท่านหนึ่งครับ
ซึ่งช่วงท้ายของการสนทนา
เราก็ได้มีโอกาสพูดถึงผลของ
“การมีมรสุมในใจ”
(เป็นสภาวะของจิตใจที่ปั่นป่วนไม่สงบนั่นเอง)
โดยเจ้ามรสุมภายในนั้น บ่อยครั้งเหลือเกิน
ที่มันรุนแรงและน่ากลัวกว่ามรสุมภายนอกเสียอีก
ในจังหวะนั้นเอง
อยู่ ๆ ผมก็นึกประโยคเท่ ๆ สไตล์จอมยุทธขึ้นมาได้
เลยพูดขึ้นมาว่า
เอ้อพี่ ผมได้ประโยคนี้ขึ้นมาครับ
“ใจที่มีมรสุม ย่อมเห็นเพียงแค่มรสุม”
รุ่นพี่จึงบอกกับผมทันทีว่า “เฮ้ยโคตรเท่ เอาไปเขียนเป็นบทความเลยยย!!!”
และทั้งหมดที่ผมเล่ามาก็คือ จุดกำเนิดของบทความในวันนี้ครับ 55555
1
หากเราลองสังเกตตนเองในชีวิตประจำวัน
เราจะพบว่า
“การมีความสุขใจ กับ การไม่มีความสุขใจ”
ล้วนส่งผลต่อการรับรู้โลกรอบตัวของเราครับ
ตัวอย่างเช่น
ในจังหวะที่เรากำลังรอคิวจ่ายเงินซื้อของอย่างโมโห
(เนื่องจากรอมานานแล้วก็ไม่ถึงซักที)
แล้วอยู่ ๆ ในวินาทีนั้นเอง
ก็มีคนเดินตัดหน้ามาแซงคิวเราอย่างหน้าตาเฉย
(แถมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อีกนะ 555)
แล้วหากใจของเราถูกครอบงำด้วยความโกรธ
เหตุการณ์ต่อจากนี้
-อาจจะทำให้เราระเบิดอารมณ์ด่ากราด
-อาจถึงขั้นกระชากคอคนที่แซงคิวให้ถอยกลับไป
-อาจเป็นการกดข่มอารมณ์โกรธด้วยการกัดฟัน
ฯลฯ
จุดที่น่าสนใจจึงอยู่ตรงนี้ครับ
“หากใจเราปั่นป่วน การรับรู้ของเราย่อมปั่นป่วนตามไปด้วย”
คล้ายกับว่า
ร่างกายจิตใจของเรานั้น
จมอยู่ในมหาสมุทรของความทุกข์ใจ
และน้ำในมหาสมุทรนั้นได้ซึมลึกเข้าไปแทบทุกส่วนในตัวเรา
“ย้อมสภาวะของกายใจเราให้หม่นหมอง”
เช่น
-หูตาคอยสแกนหาภัยคุกคามรอบตัว
-มือเท้าเตรียมฟาดฟันศัตรู
-คลังคำศัพท์ในใจพร้อมก่นด่าสาปแช่ง
-เลือดในกายสูบฉีดดั่งคนที่กำลังออกศึก
“แล้วถ้าจังหวะนั้นมีคนทำสิ่งที่ขัดใจเราขึ้นมา”
กระบวนการอันรวดเร็วรุนแรงดั่งสายฟ้าฟาดนี้
ก็สามารถทำให้เราแปลความทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจังหวะนั้น
“ให้เป็นความซวยร้ายแรงของชีวิต
จนอยากจะทุบไอ้คนนั้นให้จมดินไปเลย”
แต่ในทางกลับกัน
หากกายใจเราอยู่ในภาวะที่มีความสุข
ท่าทีของเราที่มีต่อสิ่งรอบตัวย่อมเปลี่ยนไปครับ
จากร้อนรุ่ม เปลี่ยนเป็น เย็นสบาย
จากวุ่นวาย เปลี่ยนเป็น สงบมั่นคง
จากตึงเครียด เปลี่ยนเป็น ผ่อนคลาย
จากพร้อมทำลาย เปลี่ยนเป็น พร้อมเข้าใจ
ดังนั้น
“ความสุขทุกข์จึงส่งผลต่อการรับรู้ และท่าทีในการปรับตัว”
ถึงตรงนี้
การดูแลความสุขใจและความทุกข์ใจ
จึงเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นเดียวกันครับ
มันเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ส่งผลออกไปเป็นวงกว้าง
ลองนึกถึงเด็กคนหนึ่ง
ซึ่งเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ผู้เลี้ยงดูด่ากันทุกเช้า/ตีกันทุกคืน
แล้วไหนจะเอาความขัดแย้งมาลงที่ตัวเด็กอีก
เด็กคนนั้นก็อาจแบกความทุกข์ไปในชีวิต
แล้วก็เอาความทุกข์นี้ไปเป็นของฝากให้คนรอบข้างอย่างไม่รู้ตัว
(ซึ่งเราก็ไม่รู้อีกว่า แต่ละคนรอบตัวมีความทุกข์อะไรเป็นของฝากติดตัวมาบ้าง)
เหมือนต่างคนต่างมีระเบิดเวลาในกระเป๋า
ซึ่งกำลังนับถอยหลังรอจังหวะระเบิด (แต่ถ้าไม่ทันใจก็มีปุ่มกดให้ระเบิดบึ้มขึ้นได้!!!)
ด้วยเหตุนี้เอง
เราจึงสามารถพบเห็นผู้คนที่เชือดเฉือนกันผ่านถ้อยคำ (ด่าต่อหน้า/พิมพ์ด่า/อัดคลิปด่า)
หรือ ผู้คนที่ฟาดปากกัน (จนถึงขั้นฆ่ากันตายก็มี)
คลื่นแห่งความไม่มีความสุขเวลามันกระทบกันนั้น
จึงคล้ายกับรถที่วิ่งสวนเลนเข้าปะทะกันแบบที่ไม่มีใครยอมใคร
(พร้อมบวกกก!!!)
สุดท้ายนี้
เราจึงสามารถ
หาเวลาที่ลงตัวมาสะสางความทุกข์ใจ
(ไม่ปล่อยให้เมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์ได้เติบโต)
หรือแม้กระทั่ง
ให้เวลาตัวเองได้ดูแลความสุขใจ
(บ่มเพาะรากฐานชีวิตอันเป็นสุขให้งอกงามยิ่งขึ้น)
นี่จึงเป็นการดูแลมรสุมในใจอย่างหนึ่งครับ
หากเราปล่อยให้มรสุมเหล่านั้นเติบใหญ่กล้าแข็ง
โอกาสที่เราจะถูกความทุกข์นั้นสั่นคลอนย่อมมีสูง
และยังส่งผลให้เราพร้อมฟาดพลังทำลายล้างออกไป
(ทั้งทำลายผู้อื่นและตนเอง)
แต่หากเราคอยสลายมรสุมและคลื่นลมในใจสม่ำเสมอ
มันก็อาจจะหลงเหลือเพียงแรงกระเพื่อมน้อย ๆ
ที่มิอาจสั่นคลอนเรือชีวิตให้จมดิ่งลงในมหาสมุทรแห่งทุกข์ ^^

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา