16 ต.ค. 2021 เวลา 02:08 • ปรัชญา
คเชนทราโมกษะคีตา
“คเชนทราโมกษะ คีตา” (Gajendra Moksha Gita) เป็นตำนานในภควัทปุราณะ (Bhāgavata Purāṇa) ซึ่งเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญ ดังปรากฏภาพหินสลักบนผนังทิศตะวันตกของปราสาททศวาตาร เมืองทิโอการ์ รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย แสดงภาพเล่าเรื่องราวของคเชนทราโมกษะ เป็นภาพขององค์ศรีวิษณุ (หรือมักเรียกกันว่าพระนารายณ์) ทรงครุฑ ลงมาปกป้องช้างที่กำลังชูดอกบัวเพื่อบูชาแด่พระนารายณ์ เพื่อขอความช่วยเหลือให้รอดพ้นจากจระเข้ร้าย แต่ในงานศิลปะนี้ได้ใช้รูปนาคพันที่ขาช้าง เพื่อแทนความหมายของความชั่วร้าย (ศิลปะทางศาสนาฮินดูมักจะใช้สัญลักษณ์รูปจระเข้หรือนาคแทนความไม่ถูกต้องหรือความชั่วร้าย และ ใช้ครุฑแทนความหมายของความดี)
1
ภาพหินสลักบนผนังทิศตะวันตกของปราสาททศวาตาร เมืองทิโอการ์ รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย แสดงภาพเล่าเรื่องราวของคเชนทราโมกษะ
เรื่องเล่าประวัติของ คเชนทรา
ในกาลก่อน คเชนทรา (ราชาแห่ง “คช” หรือ ช้าง) เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้เป็นสาวกขององค์ศรีวิษณุ (พระนารายณ์) มีชื่อว่า ราชาอินทรายุมนา ซึ่งเป็นบุตรแห่ง “ภารตะ และ สุนันทา” ปกครองอาณาจักรมาลาวา เป็นราชาที่ยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จมากที่สุดพระองค์หนึ่ง ชื่อของอินทรายุมนาซึ่งเป็นภาษาสันสกฤต มีคำแปลว่า “งดงามเหมือนพระอินทร์” (บางครั้งออกเสียงว่า อินทรทุมนา) อยู่มาวันหนึ่ง อคัสตยะ มหาฤๅษีได้มาเฝ้ากษัตริย์ แต่อินทรายุมนาไม่ยอมลุกขึ้นต้อนรับปราชญ์ด้วยความเคารพ อคัสตยะโกรธเคืองและสังเกตว่าพระราชาผู้ยิ่งใหญ่แม้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณยิ่งใหญ่ก็ยังทรงมีร่องรอยของอหังการหรือความเห็นแก่ตัวอยู่ จึงได้สาปแช่งราชาอินทรายุมนาว่าในชาติหน้าจะเกิดเป็นช้างและจะต้องรับบทเรียนเพื่อการละทิ้ง (อหังการ) และยอมจำนนต่อพระเจ้า
เมื่อครั้งราชาอินทรายุมนาได้สวรรคตแล้วก็เสด็จขึ้นสู่สรวงสวรรค์จากผลบุญกุศลและคุณงามความดีที่ไม่สามารถหาใครเทียบได้ในโลกมนุษย์ ท่านได้เสวยสุขบนความร่ำรวยมั่งคั่งเป็นเวลานานมาก จนถึงวันหนึ่ง ราชาแห่งเทพ (อินทราเทพ) ได้เปิดสภาแห่งสวรรค์และกล่าวแก่อินทรายุมนาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงสร้างบุญมากมายในชีวิต และด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงอยู่ที่นี่มาช้านาน เพียงท่านยอมจำนนต่อปรเมศวร (พระผู้เป็นเจ้า) ผู้เป็นองค์ตัดสินสูงสุด ท่านก็จะสามารถหลุดพ้นจากวงจรแห่งบุญและบาปที่ผูกมัดท่านไว้ บัดนี้ เวลาบนโลกผ่านไปมากจนไม่มีใครจำความดีของท่านได้อีกแล้ว จึงถึงเวลาที่ท่านจะต้องไปจากสวรรค์”
อินทรายุมนาประหลาดใจอย่างมากที่คุณธรรมอันยิ่งใหญ่ที่เคยสร้างไว้ได้มลายหายไป อินทราเทพจึงได้สัญญาต่ออินทรายุมนาว่า “ถ้าท่านแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นว่ามีผู้ใดจดจำความดีหรือได้รับผลแห่งความดีของท่านได้แม้แต่ผู้เดียว ท่านจะได้รับอนุญาตให้เสวยสุขบนสวรรค์ได้ต่อไป เพราะผู้ที่ยังคงมีร่องรอยของการกระทำความดีจะไม่ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์”
อินทรายุมนาจึงได้ออกเดินทางไปหาฤๅษีมารกานเทยะ (ผู้ได้รับพรจากอิศวรให้มีชีวิตอยู่ตลอดไป จากการรจนา มหามฤตยูมนตรา) และถามต่อฤๅษีมารกานเทยะว่าจำคุณงามความดีของเขาได้หรือไม่ ท่านฤๅษี กล่าวว่า “ข้าฯ ไม่สามารถจดจำพระองค์ได้ แต่ในเทือกเขาหิมาลัยอันยิ่งใหญ่ มีนกฮูก ตัวหนึ่งชื่อ “ปราวะรากรรณ” ซึ่งมีอายุมากกว่าข้าฯ มาก เขาอาจจะรู้จักท่าน ข้าฯ จะพาท่านไปที่นั่น” แล้วทั้งสองก็ออกเดินทางไปหาปราวะรากรรณ
เมื่อทั้งสองได้พบปราวาระกรรณ อินทรายุมนาได้ถามว่า “ท่านมีอายุมากกว่าฤๅษีมารกานเทยะ ท่านจำความดีของข้าฯ ได้หรือไม่” ปราวะรากรรณกล่าวตอบว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ ข้าฯ จำพระองค์ไม่ได้ แต่ข้าฯ รู้จักทะเลสาบแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไป ๒ โยชน์ (ทะเลสาบมีชื่อว่า อินทรายุมนา) ที่ซึ่งเพื่อนของข้าฯ คือนกกระเรียนยักษ์ชื่อนาทิจังกาอาศัยอยู่ เขามีอายุมากกว่าข้าฯ เขาอาจจะรู้ว่าพระองค์เป็นใคร”
ทั้งสามจึงพากันเดินทางไปที่ทะเลสาบอินทรายุมนา แต่ปรากฏว่า นกกระเรียนยักษ์นาทิจังกาก็ไม่สามารถจำพระองค์ได้ และกล่าวว่า “เป็นไปได้ทีเดียวที่เพื่อนเก่าของข้าฯ ราชาเต่าผู้ยิ่งใหญ่ อาคูปาระ ซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่สมัยก่อนบิดามารดาของข้าฯ จะรู้จักอินทรายุมนา” นาทิจังกา จึงเรียกอคูปาระให้มาพบอินทรายุมนา
เมื่ออคูปาระได้รู้ว่าอินทรายุมนาเสด็จมาถึง ก็ปีติสั่นสะท้านน้ำตาไหลด้วยความรู้สึกลึกล้ำ กล่าวต่อพระองค์ว่า “ข้าแต่กษัตริย์อินทรายุมนา ข้าฯ ได้รับพรที่ได้เห็นท่านอีกครั้งหลังจากเวลาผ่านไปหลายปี ท่านทำบุญ (ยาจนา) ต่อชีวิตนับเป็นพันๆ และแจกวัวหลายล้านตัวเพื่อเป็นทาน บ่อน้ำนี้ก็เกิดขึ้นจากรอยกีบเท้าของวัวที่พระองค์แจกจ่ายเพื่อเป็นทานในกาลนั้น และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมบ่อน้ำนี้ถึงมีชื่อของพระองค์”
ทันใดนั้น ยานแห่งสวรรค์ ก็มารับอินทรายุมนาไปสู่โลกอันสูงกว่า (อุรธวาโลก) ณ ที่นั้นพระนารายณ์ได้ทำให้อินทรายุมนาตระหนักว่า ยังมีไกวัลยะ (การหลุดพ้น หรือ นิพพาน) อยู่เหนือกว่าสวรรค์และอุรธวาโลกทั้งหมด และเขาสามารถเข้าถึงไกวัลยะ ผ่านการกำเนิดใหม่เป็นช้างในรูปแห่งคเชนทรา พระนารายณ์ทรงให้พรแก่เขาด้วยโมกษะ เมื่อใดก็ตามที่คเชนทราทิ้งความภาคภูมิใจ ความสงสัย และยอมจำนนต่อพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างสิ้นเชิง
ส่วนพญาจระเข้นั้นก็มีประวัติเช่นกัน ในชาติก่อนหน้าที่จะมาเกิดเป็นจระเข้นี้ เขาเกิดเป็นกษัตริย์คันธารวา มีชื่อเรียกว่า “ฮูฮู” เขาผู้นี้ก็เป็นกษัตริย์ผู้ทรงธรรมเปี่ยมด้วยคุณงามความดี และเป็นสหายกับปราชญ์เทวาละ อยู่มาวันหนึ่งปราชญ์เทวาละได้มาเยี่ยมเยียนกษัตริย์ฮูฮู และในขณะที่ทั้งสองกำลังสรงน้ำในสระน้ำ ปราชญ์เทวละก็ได้กล่าวคำอธิษฐานต่อสุริยะเทพ ในขณะที่กำลังกล่าวคำอธิษฐานอยู่นั้น กษัตริย์ฮูฮูก็ดึงขาของปราชญ์เทวาละเพื่อความสนุกสนาน ทำให้ปราชญ์เทวาละโกรธจัดและสาปแช่งกษัตริย์ฮูฮูให้กลายเป็นจระเข้ในชาติหน้า กษัตริย์ฮูฮูก็สำนึกในความผิด และได้อ้อนวอนขอการอภัยโทษจากปราชญ์เทวาละ
ทางฝ่ายปราชญ์เทวาละเมื่อความโกรธได้สงบลง ก็ได้อธิบายต่อกษัตริย์ฮูฮูว่า เขาไม่สามารถถอนคำสาปได้ แต่สามารถลดทอนผลของคำสาปนั้นด้วยการให้พร ปราชญ์เทวาละจึงอวยพรต่อกษัตริย์ฮูฮู ว่าองค์ศรีวิษณุจะเป็นผู้ปลดปล่อยเขาจากวัฏจักรแห่งการเกิดและการตายในชาติแห่งการกำเนิดเป็นจระเข้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา