7 พ.ย. 2021 เวลา 11:07 • ปรัชญา
นิพพานอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก
เมื่อก่อนเคยไปทำสมาธิที่สวนโมกข์กรุงเทพอยู่บ่อยๆ เคยเห็นถ้อยคำบนผนัง “นิพพานอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก”
วินาทีนั้นสัญญาทำงาน เกิดจำได้หมายรู้ขึ้นว่านิพพานที่เราเคยรู้จักมันไม่น่าใช่ของง่าย
แล้วเหตุใดจึงบอกว่ามันอยู่ใกล้เราเพียงแค่ปลายจมูก
จึงได้กลับไปหาข้อมูล โดยท่านพุทธทาสได้เคยอธิบายความหมายของประโยคนี้ไว้
ความหมายที่แท้จริงของนิพพานคือ “เย็น”
เย็นในที่นี้เพราะไม่มีของร้อนคือกิเลสประกอบอยู่
ฉะนั้นหากเราไร้ซึ่งกิเลส นั่นแปลว่าเราได้เข้าถึงนิพพานแล้ว
ทีนี้ หากลองสังเกตตนเอง จะเห็นได้ว่าเราไม่ได้มีกิเลสอยู่ตลอดเวลา
ช่วงที่ไร้ซึ่งกิเลสแม้ระยะสั้นๆ นี้ก็เรียกว่านิพพาน
1
นิพพานชนิดนี้เป็นนิพพานระยะสั้น หรือกล่าวได้ว่าเป็นนิพพานชั่วคราวที่สามารถเกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทุกคน
นิพพานชั่วคราวนี้หล่อเลี้ยงชีวิตเราเอาไว้ ลองคิดดูว่าหากเรามีกิเลสอยู่ตลอดเวลา เราจะปวดหัวปวดประสาทแค่ไหน คงยากแก่การดำรงชีวิตอยู่อย่างเป็นแน่
แต่หากสามารถตัดกิเลสออกไปได้อย่างถาวร นั่นเรียกว่านิพพานโดยสมบูรณ์
ท่านพุทธทาสกล่าวว่านิพพานคือสิ่งสูงสุดของวิวัฒนาการมนุษย์ และทำให้เกิดอิสรภาพโดยแท้จริง
จะเป็นอิสระจากกิเลส อุปาทาน และการยึดถือตัวตน
กิเลสนั้นเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ ต่อเมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิด
ถ้าเราปล่อยให้มันเกิดขึ้นทีหนึ่งมันก็เพิ่มกำลังที่จะเกิด พอเกิดบ่อยเข้าก็เรียกว่าอนุสัย คือเคยชินให้เกิดกิเลส
แต่ถ้าเราตัดมันออกบ่อยๆ ก็ถือเป็นการลดทอนลงเรื่อยๆ ลดมากเข้าก็ทำให้กิเลสไม่เกิด เข้าสู่นิพพานที่สมบูรณ์คือสามารถละกิเลสได้แล้วโดยสิ้นเชิงนั่นเอง
ชุดความรู้ของใครๆ หลายคนคงคิดว่านิพพานนั้นเป็นของยาก ต้องบำเพ็ญบารมีหลายชาติจึงจะทำได้สำเร็จ
แต่พระพุทธทาสนั้นกล่าวว่าเรานิพพานได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ สามารถทำได้ด้วยการฝึกฝน
ธรรมชาติของจิตนั้นประภัสสร คือรุ่งเรืองสุกใส แต่จิตนี้เศร้าหมองเพราะกิเลสเกิดขึ้น นั่นเพราะจิตนี้ยังฝึกฝนอบรมไม่ดีเพียงพอ
หากเราดับกิเลสได้ชั่วคราวก็เรียกว่านิพพานชั่วคราว และหากดับกิเลสได้ถาวรก็เรียกว่านิพพานถาวร
นิพพานชั่วคราวมี 3 แบบ คือ
เกิดจากธรรมชาติของจิต คือจิตนั้นประภัสสร ก็ละกิเลสได้เป็นครั้งคราว
เกิดจากความบังเอิญ คือเราไปอยู่ในที่ที่ทำให้ไม่เกิดกิเลสโดยบังเอิญ
เกิดจากความเจตนา คือตั้งใจทำสิ่งใดเพื่อดับกิเลสตนเอง เช่น ทำสมาธิ
ส่วนนิพพานถาวร คือว่างจากกิเลสอย่างถาวร ได้ทำลายอนุสัยที่ทำให้เกิดกิเลสไปหมดสิ้น สภาพของจิตก็ไม่ยอมให้กิเลสเกิดอีกต่อไป เรียกว่าสมุจเฉทปหาน เป็นนิพพานอันสมบูรณ์
แต่ทว่าปัจจุบันนี้การเข้าถึงนิพพานทำได้ยากขึ้น นั่นเพราะเป็นยุควัตถุเจริญ คนจึงจะละกิเลสได้ยากขึ้น
แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ของยากอย่างจะเข้าไม่ถึง แต่ก็ไม่ใช่ของง่ายเสียทีเดียว
เพราะหากยากเช่นนั้น ก็คงไม่มีใครทำได้สักคน และหากง่ายมากคนคงทำได้กันเกลื่อนเมือง
เป็นเช่นนี้จึงมีความหมายว่า เราเองก็สามารถทำได้ในฐานะที่เกิดเป็นมนุษย์นั่นเอง
ดังนั้นไม่ต้องรอตายถึงได้นิพพาน เราสามารถทำให้เต็มสมบูรณ์ได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้..
เมื่อเราทำลายอัตตาคือการยึดถือตัวตนได้ กิเลสก็ไม่มีที่ตั้ง ที่เกิด
กรรมก็ไม่มีที่เกิด วัฏสงสารก็หยุดลง
กิเลสดับ กรรมดับ ผลกรรมมันก็ต้องดับ
นี่คือนิพพาน
เมื่อใดเกิดอุปาทานเมื่อนั้นไม่นิพพาน หากจิตกำลังยึดมั่นถือมั่นอยู่ เป็นตัวเป็นตนในสิ่งใดอยู่ เมื่อนั้นนิพพานไม่ได้
เมื่อใดจิตไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด เมื่อนั้นคือนิพพานเอง
นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ได้ และนิพพานนั้นก็อยู่ใกล้แค่เพียงปลายจมูก ขอเพียงเราเริ่มต้นการละกิเลส
เริ่มทีละนิด ก็นิพพานไปวันละนิด
ยิ่งละกิเลสมาก มันก็ยิ่งชินในการละกิเลส ไม่ยึดติดกับวัตถุหรือตัวตนให้ต้องทุกข์ร้อน
ทำได้มากเข้าจนสามารถละกิเลสหมดสิ้นได้ ผู้นั้นก็ถึงนิพพานอันเป็นแก่นแท้ปลายทางของพุทธศาสนาได้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา