16 พ.ย. 2021 เวลา 09:19 • ประวัติศาสตร์
มหาสุขาวตีวยูหสูตร
วรรค ๖ “ประกาศมหาปณิธาน”
พระวิศวภัทร แปล
พระอมิตาภพุทธเจ้า
หากข้าพระองค์ได้บรรลุถึงพระอนุตรสัมมาสัมโพธิ ได้ตรัสรู้แล้ว ที่ในพุทธเกษตรแห่งนั้น ย่อมพร้อมบริบูรณ์ซึ่งกุศลอลังการเป็นอจินไตยหาประมาณมิได้ ปราศจากนรก เปรต ดิรัจฉาน สัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลาน บรรดาสัตว์ทั้งปวงที่ในยมโลกและอบายภูมิสาม ผู้มาเกิดในเกษตรของข้าพระองค์ จักได้รับธรรมานุศาสน์จากข้าพระองค์แล้วบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ มิต้องสู่อบายภูมิอีกทั้งสิ้นก็ เมื่อบรรลุปณิธานเช่นนี้แล้วไซร้ จึงจักขอกระทําซึ่งความเป็นพุทธะ หากมิบรรลุถึงปณิธานนี้ จักมิขอตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ (ปณิธานข้อ ๑. ไร้อบายภูมิ ๒. ไม่ล่วงสู่อบายภูมิ)
เมื่อเพลาที่ข้าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ สรรพสัตว์บรรดามีในทศทิศโลกธาตุ ที่มาอุบัติยังเกษตรของข้าพระองค์ จักมีรูปกายดั่งสุวรรณชมพูนุชบริสุทธิ์ ประกอบด้วยทวัตติงสมหาบุรุษสามสิบสองประการ สง่างามหมดจด เสมอเหมือนกันทั้งสิ้น หากจักมีรูปลักษณ์ที่ผิดแผกไป ว่ามีศุภลักษณ์ฤาอัปลักษณ์แล้วไซร้ จักมิขอตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ (ปณิธานข้อ ๓. รูปกายดั่งทองชมพูนุช ๔. มีมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ ๕. รูปกายมิต่างกัน)
เมื่อเพลาที่ข้าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ หมู่สัตว์ทั้งหลายที่มาอุบัติยังโลกธาตุของข้าพระองค์ ตนเองจักมีปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ปรีชาล่วงรู้กุศลแลอกุศลที่กระทำแล้วในบุพชาติ จำนวนประมาณกัลป์มิได้ จักแลเห็นและผลยิน เหตุการณ์ทั่วทศทิศในกาลอดีต อนาคตและปัจจุบัน หากมิบรรลุถึงปณิธานนี้ จักมิขอตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ (ปณิธานข้อ ๖. มีฤทธิ์หยั่งรู้เหตุการณ์ในอดีตคือปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ๗. มีฤทธิ์ทางตาคือทิพยจักษุ ๘. มีฤทธิ์ทางหู คือทิพยโสต)
เมื่อเพลาที่ข้าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ หมู่สัตว์ทั้งหลายที่มาอุบัติยังโลกธาตุของข้าพระองค์ จักเป็นผู้บรรลุซึ่งเจโตปริยญาณทั้งสิ้นหากมิอาจล่วงรู้จิตอันระลึกของสัตว์ทั้งปวงในพุทธเกษตรอื่น ๆ จำนวนร้อยพันโกฏินยุตะแล้วไซร้ จักมิขอตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ (ปณิธานข้อ ๗. มีฤทธิ์รู้กำหนดใจผู้อื่นคือเจโตปริยญาณ)
เมื่อเพลาที่ข้าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ หมู่สัตว์ทั้งหลายที่มาอุบัติยังโลกธาตุของข้าพระองค์ จักเป็นผู้บรรลุอิทธิพละและปารมิตาทั้งสิ้น ในขณะคราเดียว หากมิอาจท่องเที่ยวไปในพุทธเกษตรจํานวนเกินกว่าร้อยพันโกฏินยุตะ เพื่อถวายสักการะพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งปวงนั้นแล้วไซร้ จักมิขอตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ (ปณิธานข้อ ๑๐. บรรลุอิทธิพละ ๑๑. ถวายสักการะพุทธะทั้งปวง)
เมื่อเพลาที่ข้าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ หมู่สัตว์ทั้งหลายที่มาอุบัติยังโลกธาตุของข้าพระองค์ ย่อมไกลจากความแบ่งแยกอินทรีย์ทั้งปวงสงบรำงับ หากเป็นผู้มีเที่ยงแท้ต่อพระสัมโพธิแล้วจักได้บรรลุมหาปรินิรวาณแล้วไซร้ จักมิขอตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ (ปณิธานข้อ ๑๒. เที่ยงแท้ต่อการตรัสรู้)
เมื่อเพลาที่ข้าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ จักมีรัศมีจำนวนประมาณมิได้ สว่างไปในทิศทั้งสิบ รุ่งเรืองกว่าพระพุทธเจ้าทั้งปวง สว่างกว่ารังสีแห่งสุริยันแลจันทรานับพันหมื่นโกฏิเท่า หากมีสรรพสัตว์ใดทีได้พบรัศมีของข้าพระองค์ และได้สัมผัสยังกายแห่งตนแล้วไซร้ จักได้เกษมศานติอยู่ มีจิตเมตตากระทำกุศลความดี แล้วได้มาอุบัติยังโลกธาตุของข้าพระองค์ หากมิเป็นดั่งนี้ จักมิขอตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ (ปณิธานข้อ ๑๓. มีรัศมีพันประมาณ ๑๔. เมื่อต้องรัศมีแล้วย่อมเป็นสุข)
เมื่อเพลาที่ข้าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ จักมีอายุขัยประมาณมิได้ บรรดาสาวก เทพ มนุษย์อันนับคำนวณมิได้ที่ในโลกธาตุของข้าพระองค์ ก็จักมีอายุขัยประมาณมิได้เช่นกัน สมมติว่าหมู่สัตว์ในตรีสหัสมหาสหัสโลกธาตุ ล้วน แต่สำเร็จเป็นพระปัจเจกโพธิ ในร้อยพันกัลป์หาก(พระปัจเจกโพธิ) เหล่านั้นจักนับคำนวณถึงปริมาณ (พระสาวกในสุขาวดี) ทั้งหมดได้ถ้วนแล้วไซร้ จักมิขอตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ (ปณิธานข้อ ๑๕. อายุขัยพ้นประมาณ ๑๖. มีสาวกจำนวนมิถ้วน)
เมื่อเพลาที่ข้าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ บรรดาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย จำนวนประมาณพระองค์มิได้ ที่ในอนันตเกษตรในทศทิศโลกธาตุ หากมิทรงสดุดีซึ่งนามของข้าพระองค์ มิตรัสถึงความดีงามแห่งกุศลโลกธาตุของข้าพระองค์แล้วไซร้ จักมิขอตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ (ปณิธานข้อ ๑๗. ปวงพระพุทธะล้วนสดุดี)
เมื่อเพลาที่ข้าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ สรรพสัตว์ในทศทิศ เมื่อได้สดับนามของข้าพระองค์ แล้วจักเกิดศรัทธาโสมนัสเป็นที่สุดแห่งใจ กุศลมูลบรรดามีก็อุทิศเพื่อขออุบัติยังโลกธาตุของข้าพระองค์จนถึงการระลึก (ภาวนาถึง) สิบวาระหากมิได้มาอุบัติแล้วไซร้ จักมิขอตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณเว้นเสีย แต่ผู้ก่ออนันตริย กรรมห้าประการ*และผู้ทำลายพระธรรม (ปณิธานข้อ ๑๘. ระลึกสิบวาระย่อมได้อุบัติแน่นอน)
* กรรมอันร้ายแรงที่สุดของพระพุทธศาสนา ๕ อย่างคือ ๑) ปิตุฆาต ฆ่าพ่อ
๒) มาตุฆาต ฆ่าแม่
๓) อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์
๔) สังฆเภท ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน
๕)โลหิตุปบาท การทําร้ายพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิตขึ้นไป
และยังมีกรรมอีก ๕ ประการที่ร้ายแรงเทียบเท่าอนันตริยกรรมคือ
๑) ประทุษร้ายหญิงที่เป็นพระอรหันต์
๒) ฆ่าพระโพธิสัตว์ที่ดำรงอยู่ในนิตยภูมิคือ ผู้ไม่เสื่อมถอยจากพระโพธิญาณ
๓) พระเสขะบุคคลพระอริยะบุคคลอื่น ๆ ที่ยังไม่บรรลุอรหัตตผล)
๔) ลักของสงฆ์
๕) ทำลายพระสถูป
เมื่อเพลาที่ข้าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ สรรพสัตว์ในทศทิศ เมื่อได้สดับนามของข้าพระองค์ แล้วจักบังเกิดโพธิจิต บำเพ็ญกุศลทั้งปวง แล้วประพฤติปารมิตาหกประการ เป็นผู้ตั้งมั่นมิเสื่อมถอย จักอุทิศกุศลมูลเพื่อขอมาอุบัติยังโลกธาตุของข้าพระองค์ และด้วยการมีเอกจิตระลึกถึงข้าพระองค์อยู่ตลอดทิวาราตรี เมื่อคราที่อายุขัยสิ้นลง ข้าพระองค์และโพธิสัตว์ทั้งปวง จะมาปรากฏยังเบื้องหน้าผู้นั้น ในขณะเดียวจักไปอุบัติยังเกษตรของข้าพระองค์ทันที แล้วกระทำซึ่งความเป็นโพธิสัตว์ผู้ได้อภิเษกเป็นธรรมราชกุมารค หากมิบรรลุถึงปณิธานนี้ จักมิขอตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ (ปณิธานข้อ ๑๙. สดับนามแล้วย่อมเกิดจิตปณิธาน ๒๐. เสด็จมารับเมื่อวายชนม์)
** คือผู้เป็นธรรมทายาทผู้จักได้อภิเษกเป็นธรรมราชาคือพระพุทธเจ้าในอนาคตมีนัยยะคือพระโพธิสัตว์ผู้ไม่เสื่อมถอยจากพระโพธิญาณ
เมื่อเพลาที่ข้าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ สรรพสัตว์ในทศทิศ เมื่อได้สดับนามของข้าพระองค์แล้ว มีจิตพันผูกระลึกอยู่ซึ่งโลกธาตุของข้าพระองค์ บังเกิดโพธิจิตตั้งมั่นมิเสื่อมถอย พร้อมกับสั่งสมกุศลมูลทั้งปวงไว้แล้ว อุทิศด้วยความเป็นที่สุดแห่งใจ ปรารถนามาอุบัติยังสุขาวดีโลกธาตุแล้วไซร้ ย่อมสมประสงค์ แม้ผู้มีบาปมา แต่บุพชาติเมื่อได้สดับนามของข้าพระองค์แล้ว จักสำนึกผิดได้เอง แล้วประกอบการกุศล จักยิ่งสมาทานพระสูตรและศีลาจาร เพื่อปรารถนาอุบัติยังเกษตรของข้าพระองค์ ก็แลเมื่อชีวาสิ้นลง จักมิต้องสู่อบายภูมิสามอีก แล้วไปอุบัติยังโลกธาตุของข้าพระองค์ หากมิเป็นดั่งนี้ จักมิขอตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ (ปณิธานข้อ ๒๑. สำนึกบาปสู่สุขาวดี)
เมื่อเพลาที่ข้าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ในโลกธาตุย่อมปราศจากอิสตรี* หากแม้นมีสตรีใด ได้สดับนามของข้าพระองค์มีศรัทธาบริสุทธิ์แล้วบังเกิดโพธิจิต เบื่อหน่ายกายแห่งสตรี ปรารถนาอุบัติที่โลกธาตุของข้าพระองค์ เมื่อคราชีพดับสิ้นย่อมปรากฏเป็นบุรุษแล้วมายังดินแดนของข้าพระองค์ ล้วนแต่กำเนิดโดยปทุมมาศในสัปตรัตนโบกขรณี** ทั้งสิ้น หากมิเป็นดั่งนี้ จักมิขอตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ (ปณิธานข้อ ๒๒. ในโลกธาตุไร้อิสตรี ๒๓. หน่ายร่างสตรีได้กลายบุรุษ ๒๔. อุบัติแต่ดอกปทุมมาลย์)
*คำว่า ในสุขาวดีปราศจากอิสตรี หมายความว่า ไร้ซึ่งการแบ่งว่าหญิงหรือชาย หลายทวิภาวะมีความสมตาคือเท่าเทียมกัน
**หมายถึง สระบัวที่ประดับด้วยอัญมณี ๗ ประการ คือ ทอง เงิน ไพฑูรย์ ผลึก บุษราคัม มรกต ทับทิม
เมื่อเพลาที่ข้าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ สรรพสัตว์ในทศทิศ เมื่อได้สดับนามข้าพระองค์แล้ว มีศรัทธาปีติโสมนัสอยู่ได้อภิวาทน้อมเป็นที่พึ่ง แล้วใช้วิสุทธิจิตบำเพ็ญโพธิสัตวจริยา* จักเป็นที่เคารพของบรรดาเทวบริษัท แลมนุษยนิกรทั้งปวง หากได้สดับนามแห่งข้าพระองค์ยังให้เมื่อคราที่อายุขัยสิ้นแล้ว จักไปกำเนิดยังตระกูลสูงมีอินทรีย์ทั้งปวง ไม่บกพร่อง ได้ประพฤติพรหมจริยาอยู่เป็นนิจ หากมิเป็นดั่งนี้ จักมิขอตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ (ปณิธานข้อ ๒๕. เทพแลมนุษย์คารวะ ๒๖. สดับพระนามบรรลุวาสนา ๒๗. ได้บำเพ็ญมรรคประเสริฐ)
* ด้วยใช้วิสุทธิจิตบำเพ็ญโพธิสัตวจริยาหมายถึงการนมัสการและยึดพระรัตนตรัยเป็นสรณะด้วยจิตบริสุทธิ์ถือเป็นการกระทำของโพธิสัตว์โพธิสัตวจริยา) ประการหนึ่ง
เมื่อเพลาที่ข้าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ในโลกธาตุย่อมปราศชื่อของอกุศลหมู่สัตว์ทั้งปวงที่อุบัติในโลกธาตุของข้าพระองค์ จักมีเอกจิตเสมือนกัน คือตั้งอยู่ในสมาธิห่างไกลจากความทุกข์ร้อน ในจิตชุมเย็นแช่มชื่นเสวยสุขทั้งปวง อยู่อุปมาภิกษุผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว หากยังมีสัญญาคือการยึดมั่นห่วงแหนอยู่ในกายแล้วไซร้ จักมิขอตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ (ปณิธานข้อ ๒๘. ในโลกธาตุไร้สิ่งชั่ว ๒๙. ตั้งมั่นในสมาธิ ๓๐. มีสุขดั่งพระขีณาสวะ ๓๑. มิห่วงแหนในกายา)
เมื่อเพลาที่ข้าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ สัตว์ผู้มาอุบัติยังโลกธาตุของข้าพระองค์ จักมีกุศลมูลมิอาจประมาณล้วน แต่บรรลุวัชรนารายณกาย มีพละแข็งแกร่ง ส่วนยอดแห่งกาย(ศีรษะ)จักมีรัศมีโอกาสสว่างไสว สำเร็จปัญญาญาณทั้งปวง ประกอบด้วยปฏิภาณที่ได้ขอบเขต สามารถอภิปรายอรรถะแห่งสรรพธรรมได้อย่างช่ำชอง ยามที่แสดงธรรมก็มีเสียงไพเราะปานระฆัง หากมิเป็นดังนี้ จักมิขอตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ (ปณิธานข้อ ๓๒. มีนารายณกาย ๓๓. มีรัศมีปัญญาและปฏิภาณ ๓๔. แสดงอรรถธรรมได้ช่ำชอง)
เมื่อเพลาที่ข้าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ หมู่สัตว์ทั้งหลายที่มาอุบัติยังโลกธาตุของข้าพระองค์ ที่สุดแล้วจักลุถึงความเป็นเอกชาติปฏิพันธ์* เว้นแต่ผู้มีมูลปณิธานเพื่อสรรพสัตว์ เพราะมีปณิธานอุกฤษฏ์ไพศาลหมายจักสั่งสอนเวไนยนิกรทั้งปวง ให้เกิดจิตศรัทธาทําเพ็ญโพธิจริยาและดำเนินตามสมันตภัทรมรรค** แม้นจักไปถืออุบัติยังโลกธาตุอื่น ๆ ก็จักไกลจากอบายภูมิอยู่เป็นนิจ บ้างเป็นผู้ชอบกล่าวธรรม บ้างเป็นผู้ชอบฟังธรรม บ้างเป็นผู้มีอภิญญาตาม แต่ที่ปฏิบัติบำเพ็ญมาอันล้วน แต่สมบูรณ์ หากมิเป็นดั่งนี้ จักมิขอตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ (ปณิธานข้อ ๓๕ ข้องด้วยการเกิดอีกชาติเดียว ๓๖. สั่งสอนสัตว์ได้ดั่งใจ)
** โพธิสัตว์ที่เกี่ยวเนื่องกับการเกิดอีกเพียงชาติเดียวก็จักได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า
พระสมันตภัทรโพธิสัตว์
** สมันตภัทรจริยาคือจริยาวัตรของพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ในพระสูตรฝ่ายมหายานกล่าวว่า พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ได้ประกาศปณิธานที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ไว้จำนวนมากมิอาจประมาณ แต่มีมหาปณิธาน ๑๐ ข้อที่โพธิสัตว์ทั้งหลายดำเนินตามดังนี้คือ
๑. จักอภิวาทนอบน้อมพระพุทธเจ้าทั้งปวง (กุศลทางกาย)
๒. จักสรรเสริญพระตถาคตไปตลอดจนสิ้นกัลป์ทั้งหลายโดยให้วาจาและภาษาที่ไพเราะงดงามที่สุด (กุศลทางวาจา)
๓. จักถวายสักการะพระพุทธเจ้าทั้งปวง ด้วยของที่เป็นทิพย์และประณีตที่สุดมีปริมาณมากเท่ากับภูเขาสุเมรุ (กุศลทางกาย)
๔. ขอสำนึกผิดในอดีตและขมากรรมนั้น โดยจักแก้ไขและไม่ย้อนไปทำอีก (กุศลทางใจ) ขออนุโมทนากับกุศลที่ยิ่งใหญ่ของพระอริยเจ้า และแม้แต่กุศลเพียงเล็กน้อยของสัตว์ทั้งปวงด้วยความไม่ริษยา (กุศลทางใจ)
๖. ขออาราธนาพระพุทธเจ้าทั้งปวง ให้หมุนเคลื่อนพระสัทธรรมจักร (คือเมื่อตรัสรู้โพธิญาณแล้วมหาบุรุษจักพิจารณาหมู่สัตว์ แล้วเห็นว่าพระธรรมนั้นลึกซึ้งมาก จึงท้อพระทัยในการสอนสัตว์โลก พระสมันตภัทรจึงอาราธนาให้โปรดสัตว์ยังประโยชน์แก่โลก) ขออาราธนาให้พระพุทธเจ้าทรงดำรงพระชนม์อยู่โลก
๘. ขอศึกษาตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
๙.ขออนุโลมตามความต้องการของสรรพสัตว์
๑๐. ขออุทิศกุศลทั้งปวงแก่สรรพสัตว์และโพธิญาณจนหมดสิ้น
เมื่อเพลาที่ข้าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ สัตว์ผู้มาอุบัติยังโลกธาตุของข้าพระองค์ จักได้บรรลุถึงอาหารเครื่องดื่ม อาภรณ์และสิ่งของนานัปการ สมดั่งปรารถนา อันพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในทิศทั้งสิบ จักทรงพิจารณาและรับเครื่องสักการะนั้น หากมิเป็นดั่งนี้ จักมิขอตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ (ปณิธานข้อ ๓๗. อาภรณ์เครื่องบริโภคเกิดขึ้นเอง ๓๔. ทรงพิจารณาและรับสักการะ)
เมื่อเพลาที่ข้าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ สรรพสิ่งในโลกธาตุ จักอลังการบริสุทธิ์ผ่องใสงดงาม มีรูปลักษณ์วิจิตรบรรจง ประณีตพิสดารอย่างที่สุด มิอาจพรรณนาให้สิ้นได้ หมู่สัตว์เหล่านั้น แม้นจักสมบูรณ์ซึ่งทิพยจักษุก็ตาม หากจักกล่าวแสดงถึงรูปลักษณ์วรรณะและชื่อสิ่งของเหล่านั้นได้ถ้วนแล้วไซร้ จักมิขอตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ (ปณิธานข้อ ๓๙. อลังการมิสิ้นสุด)
เมื่อเพลาที่ข้าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ วรรณรุกขชาติจำนวนมิอาจประมาณในโลกธาตุ จักมีความสูงใหญ่นับร้อยพันโยชน์ ลานรุกขชาตินั้นเล่าก็มีความสูงสี่ร้อยหมื่นลี้ ในหมู่โพธิสัตว์ทั้งปวงแม้นจักมีอินทรีย์แก่อ่อน ต่างกันก็สามารถล่วงรู้ได้ กล่าวคือหากปรารถนาจักทัศนาวิสุทธิเกษตรอลังการของพระพุทธเจ้าทั้งปวง ก็จักเห็นได้ที่หว่างรัตนพฤกษ์ เสมือนหนึ่งคันฉ่องใสที่มีภาพปรากฏเบื้องหน้า หากมิเป็นดั่งนี้ จักมิขอตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ (ปณิธานข้อ ๔๐. วรรณรุกขชาติพ้นประมาณ ๔๑. ปรากฏพุทธเกษตรที่พฤกษา)
เมื่อเพลาที่ข้าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ในพุทธเกษตรแห่งนั้น ย่อมมีความกว้างใหญ่ไพศาลกับทั้งอลังการและบริสุทธิ์สว่างใส ดุจแก้วกระจกทอแสงระยับไปในโลกธาตุของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสิบทิศ จำนวนอมิตะและอสงไขยเกินวิสัยจะคาดคิดเอาได้สรรพสัตว์ผู้ได้ประสบแล้วจักเกิดจิตอันหาได้ยาก หากมิเป็นดั่งนี้ จักมิขอตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ (ปณิธานข้อ ๔๒. ทอแสงประกายยังทศทิศ)
เมื่อเพลาที่ข้าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เบื้องล่างนับ แต่ปฐพีดลขึ้นมา เบื้องบนจนถึงอวกาศ ปราสาทมณเฑียร สถานหอทัศนา สระโบกขรณี มาลีแลรัตนพฤกษ์ สรรพสิ่งทั้งปวงที่ในโลกธาตุล้วนสําเร็จขึ้นด้วยอัญมณีรัตนชาติและเครื่องหอมจํานวนมหาศาลมิอาจประมาณ เครื่องหอมนั้นยังกรุ่นกลิ่นสุรภีโชยไปในทศทิศโลกธาตุสรรพสัตว์ผู้ได้สูดดมแล้วจักบำเพ็ญพุทธจริยา หากมิเป็นดั่งนี้ จักมิขอตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ (ปณิธานข้อ ๔๓. รัตนะและสุคันธากําจายไป)
เมื่อเพลาที่ข้าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ คณะโพธิสัตว์ทั้งหลายแห่งพุทธเกษตรในทิศทั้งสิบ เมื่อได้สดับนามข้าพระองค์แล้ว จักบรรลุถึงวิสุทธิ์วิโมกษ์สมันตคตสมาธิ และธารณีที่คัมภีรภาพทั้งปวง จักตั้งอยู่ในสมาบัติไปจนสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมาธิภาวะนั้น จักได้ถวายสักการะพระพุทธเจ้าจำนวนประมาณพระองค์มิได้ หาขอบเขตสิ้นสุดมิได้ โดยจักมิกระทบต่อสมาธิจิตหากเป็นดั่งนี้ จักมิขอตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ (ปณิธานข้อ ๔๔. สำเร็จสมาธิ ๔๕. ถวายพุทธบูชาในสมาธิ)
เมื่อเพลาที่ข้าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ หมู่โพธิสัตว์ทั้งหลายในโลกธาตุอื่น ๆ ที่ได้สดับนามของข้าพระองค์ จักบรรลุถึงธรรมที่ไกลจากชาติ (การเกิด) ได้รับธารณีบริสุทธิ์และปีติเกษมอยู่ ลุถึงสมตาภาวะ บำเพ็ญโพธิสัตวจริยา สมบูรณ์ซึ่งกุศลพีชะ เมื่อกาลที่เหมาะควรหากมิได้บรรลุธรรมกษานติ* ประการที่ ๑ ประการที่ ๒ ประการที่ ๓ และมิอาจบรรลุถึงความไม่เสื่อมถอยย้อนกลับในธรรมแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวงแล้วไซร้ จักมิขอตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ (ปณิธานข้อ ๔๖ ได้บรรลุธารณี ๔๗. สดับนามแล้วบรรลุธรรมกษานติ ๔๘. บรรลุถึงความมิเสื่อมถอย)
** ติสฺร: กฺษานฺติ ความอดทน ๓ คือ ๑) โฆษานุคต ธรฺม กฺษานฺติ ความอดทนต่อเสียงดังต่างๆโดยพิจารณาว่าเป็นของไม่เที่ยงแท้ถาวร ๒) อนุโลมิกี ธรฺม กฺษานฺติ ความอดทนที่จะปฏิบัติอนุโลมตามธรรม ๓) อนุตฺปตฺติก ธรฺม กฺษานฺติ ความอดทนปลงใจเชื่อในธรรมที่ไม่เกิดอีกต่อไป
พระวิศวภัทร แปล
Aputi.com ภาพ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา