Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Love Buddha
•
ติดตาม
22 พ.ย. 2021 เวลา 01:24 • ประวัติศาสตร์
มหาสุขาวตีวยูหสูตร
วรรค ๓๓ อุปายะให้พากเพียร
โลกียชนต่างยื้อแย่งช่วงชิงมิขวนขวายในกิจอันพึงกระทำตนนั้นตกอยู่ในความชั่วร้ายและความทุกข์ที่สาหัสยิ่งนัก ตรากตรำกายประกอบกิจการเพื่อสงเคราะห์ตนเอง มิว่าจักสูงศักดิ์ฤๅต่ำต้อยยากจนร่ำรวย เยาว์วัยฤาชราภาพ เป็นบุรุษฤาสตรีล้วนมีจิตครุ่นคิดแล่นไปเป็นกังวล* ผู้ไร้ผืนเกษตรก็ทุกข์ร้อน เพราะ(ต้องการ)ผืนเกษตร ผู้ไร้เคหะก็ทุกข์ร้อนเพราะ(ต้องการ)เคหะ ญาติวงศาแลทรัพย์สมบัติ แม้นจะอยู่มีหรือปราศจากก็เป็นทุกข์ร้อนดุจกัน มีหนึ่งว่ายังน้อยไปอีกหนึ่ง**
*อรรถาธิบายว่า คือ ครุ่นคิดในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว คือวิตกในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงทำให้จิตไม่เป็นสุข
**มีหนึ่งก็ว่ายังน้อยไปอีกหนึ่งเป็นสำนวนว่าไม่รู้จักพอ
คิดต้องการอยากมีพร้อม แม้นน้อยนิดฤามีพร้อมก็ย่อมเป็นทุกข์ร้อนอย่างยิ่ง มิว่าจัก(ถูกทำลาย)โดยอุทก อัคคี โจรโดย ศัตรูฤาเจ้าหนี้ โดยถูกเผาผลาญญาลอยคว้างกับสายน้ำ ถ้าแตกสลายเป็นผุยผง ในจิตก็ยังมีความตระหนี่ ในใจยังติดยึดมิอาจละวาง เมื่อวายชีพแล้วจึงต้องสละทิ้งทุกสิ่ง มิอาจตามผู้ใดไปได้ แม้นทุคตชนหรือผู้ร่ำรวยก็เสมือนกันนี้ คือมีทุกข์ทรมานอยู่มิสิ้นสุด บรรดามนุษยโลก มีบิดา บุตร พี่ชาย น้องชาย สามี ภรรยา ญาติและมิตร จึงเคารพรักใคร่ มิควรรังเกียจและริษยาแก่กัน แม้จักมั่งมีฤายากไร้ ก็อย่าละโมบและตระหนี่ จึงมีวาจาและการกระทำอ่อนโยนเป็นนิจ มิควรล่วงเกินต่อกัน
บางคราจิตเคืองโกรธเพียงชั่วแล่น จักเปลี่ยนเป็นความอาฆาตยิ่งใหญ่ในอนาคต เรื่องราวของโลกจักยิ่งทวีความร้ายกาจ ดุดัน แม้ยังมิถึงกาลมรณะ ก็จักหวาดระแวงภัย หมู่มนุษย์ผู้ตกอยู่ในความทะยานอยากและความพอใจนั้น ล้วนเป็นผู้กำเนิดขึ้นโดยลำพัง และจักลุแก่ความตายโดยลำพัง เป็นผู้มาโดยลำพังและจักไปเองโดยลำพัง ความทุกข์และความสุข จักเป็นผู้รับเองเฉพาะตน อันผู้อื่นนั้นจักรับแทนก็หามิได้ ความดีและความชั่วเป็นเครื่องยังให้กำเนิดในหนทางที่ต่างกัน* มิอาจหวนมาพบเจอกันได้อีก
*ความหมายคือ ความดีย่อมแปรเป็นผลคือกุศลนำไปสุคติภูมิ ส่วนความชั่วย่อมแปรเป็นผลคืออกุศลนำไปทุคติภูมิ และบุคคลบางจำพวกกำเนิดมาด้วยกุศลวิบาก คือเกิดมาไม่พิการ มีสติปัญญา สุขภาพแข็งแรง มีทรัพย์สมบัติ ฯลฯ เพราะผลแห่งความดีที่ตนได้ทำไว้ แต่กลับทำอกุศลความชั่วนานัปการ ยังให้ชาติอนาคต จักต้องได้รับอกุศลวิบากคือความเป็นผู้พิการ โง่เขลา โรคมาก เป็นผู้แร้งแค้นยากจน ฯลฯ หรือไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์อีก ตรงข้ามผู้ที่ชาติปัจจุบันเกิดมาด้วยความยากลำบาก แต่มุ่งมั่นทำความดี ก็จักเปลี่ยนแปลงอนาคตให้ประสบแต่สิ่งดี อันเป็นผลจากกุศลได้เช่นกัน อันจักเปลี่ยนแปรไปได้นับหมื่นประการตามการกระทำเฉพาะตน
คราที่ร่างกายยังปกติอยู่ จึงมิหมั่นเพียรก่อการกุศลอีกเล่า
ความดีและความชั่วนั้น มนุษย์มิสามารถรู้เห็นด้วยตนเอง สิ่งมงคล สิ่งอุบาทว์ เคราะห์กรรม และบุญวาสนานั้น เป็นเพราะการกระทำของแต่ละบุคคล ความที่กาย ใจ โง่เขลา มืดบอด เพราะตนประพฤติพานิรศาสน์คำสอนอื่นๆ จึงวิปลาสเห็นผิดเป็นชอบอยู่มิสิ้น มีมูลฐานไม่คงมั่นเพราะ (ปัญญาที่เป็นสัมมาทิฐิ) ถูกปิดกั้นและมีความมืดบอด มิอาจเลื่อมใสพระธรรมสูตร ดวงจิตก็มิใคร่ครวญพิจารณา เป็นผู้มีราคะและใจเร็ว ลุ่มหลง งมงาย ละโมบทรัพย์และรูป (วัตถุ) ถึงที่สุด ก็มิอาจระงับสละทิ้งได้ ถือเป็นทุกขเวทนายิ่งนัก
บุคคลข้างต้นนั้น มิรู้จักกุศล มิเข้าใจมรรคธรรม อีกไร้ซึ่งคำสอนจึงมิใช่เรื่องพิกลใดที่ยังยินดีเวียนว่ายในสังสารวัฏ กุศลธรรมและอบายธรรมนั้น ไม่เชื่อถือศรัทธา กลับตู่ว่ามิได้มีอยู่จริง หากจักพิจารณากันและกันให้ยิ่งขึ้นแล้ว จึงพิจารณาที่ตนเองก่อนเถิด บ้างก็ผู้เป็นบิดาร่ำไห้ต่อบุตร บ้างผู้เป็นบุตรร่ำไห้ต่อบิดา พี่ชายน้องชาย สามีภรรยาต่างร่ำไห้โศกาดูรต่อกัน ในการเกิดครั้งเดียวและมรณะครั้งเดียวนั้นต่างห่วงหาอาลัยอยู่ซึ่งกันและกัน* มิเศร้าโศกอาลัยและตัณหาเป็นเครื่องผูกมัด ไร้กาลจะหลุดพ้น ความตรึกคิดจินตนาล้วนมิห่างจากราคะ มิอาจพิจารณาโดยแยบคายแล้ว มุ่งมั่นเพียรประพฤติธรรม
เมื่ออายุขัยสิ้นลงแล้วจักกระทำสิ่งใดได้อีกเล่า หมู่ชนอยู่ในภูมิแห่งความหลงนี้ ผู้แจ้งแก่มรรคธรรมมีน้อย ต่างมีการเข่นฆ่าเป็นพิษร้ายเร้นอยู่ในจิต ความชั่วยังปะทุอยู่ เป็นผู้ที่มามืดและไปมืด สิ่งมุสาก็กำเริบ อยู่ผิดต่อธรรมชาติแห่งธรรม* กระทำบาปมหันต์ ตามใจ ยังให้อายุขัยลดลงรวดเร็ว แล้วตกสู่อบายภูมิเบื้องต่ำ ไร้กาลหลุดพ้นออกมา
*อรรถาธิบายว่า มนุษย์โลกผู้ไม่มีปัญญา ยังลุ่มหลงและละโมบในตัณหา มิรู้ว่าสรรพสิ่งในโลก ประดุจมายาความฝันและดอกไม้ที่สมมุติขึ้นในอากาศ หลงไปยึดว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ทั้งยังไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นจักเปลี่ยนแปลงและแตกดับไปอย่างรวดเร็ว มิสามารถรักษาให้คงอยู่ได้นานทั้งสิ้น ดั่งเมื่อเวลาเกิดญาติพี่น้องก็ให้ความรัก เมื่อเวลาสิ้นชีวิตก็ยิ่งเศร้าโศกเสียใจเป็นทวีคูณ ในห้วงสังสารวัฏแห่งการเกิดดับนี้ ผู้ยังมีชีวิตอยู่จักเจ็บปวดกับการจากไปของญาติมิตรผู้ที่สิ้นชีพไปแล้ว ก็ย่อมอาลัยในสังขารของตน ซึ่งต่างก็เป็นทุกข์ร้อนอาลัยกันทั้งสองฝ่าย ดุจมีดที่กรีดยังดวงใจเช่นนี้ จึงกล่าวว่าในการเกิดครั้งเดียวและการมรณะครั้งเดียวนั้น ต่างก็ห่วงหาอาลัยอยู่ซึ่งกันและกัน
หมู่เธอทั้งหลายพึงไตร่ตรองโดยแยบคายถึงการยังตนให้ห่างอบายทั้งปวง แล้วเลือกที่จักพากเพียรกุศลจริยาเถิด ตัณหา ราคะ และความรุ่งเรืองนั้น มิอาจรักษาไว้ได้นาน อันจักต้องละทิ้งไปทั้งสิ้น หาใช่ความสุขเลยไม่ พึงพากเพียรไปอุบัติยังสุขาวดีโลกธาตุ เป็นผู้มีปัญญาญาณแจ่มแจ้งแทงตลอดมี กุศลบารมียอดเยี่ยมนิรัติศัย มิคล้อยตามราคจริต ไม่บกพร่องในธรรมสูตรและศีลาจารเพื่อมนุษยนิกรในอนาคตเถิด
** ในพระสูตรกล่าวว่า คือ ผิดต่อฟ้าดิน หรือละเมิดต่อฟ้าดิน ในอรรถาธิบายกล่าวว่าคือ แปลว่า จิตมิโอนอ่อนตามคุณธรรมดีงามเบื้องสูง (ฟ้า) เบื้องล่างย่อมละเมิดต่อพญายม อาตมาจึงได้แปลโดยครอบคลุมนัยยะนี้ตามที่ปรากฏ
พระวิศวภัทร แปล
Aputi.com
ภาพ
ประวัติศาสตร์
จีน
บันทึก
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
มหาสุขาวตีวยูหสูตร
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย