22 พ.ย. 2021 เวลา 01:45 • ประวัติศาสตร์
มหาสุขาวตีวยูหสูตร
วรรค ๓๔ จิตลุถึงปัญญารู้แจ้ง
พระเมตไตรยโพธิสัตว์ทูลว่า พระพุทธองค์ตรัสสอนเรื่องศีลอันยิ่งด้วยความแยบคายและความดีงาม ล้วนเพราะพระเมตตาธิคุณยังให้หลุดพ้นจากความทุกข์โทมนัส พระพุทธองค์ทรงเป็นราชาแห่งธรรมประเสริฐกว่าเวไนยชนและอริยชน ทรงมีพระรัศมีรุ่งเรืองแจ่มใส ฉายออกไปไม่ติดขัดและไม่มีประมาณ ทรงเป็นครูแห่งเทวดาและมนุษย์ทั้งปวง มาบัดนี้ได้ประสบพระพุทธสุคตเจ้า ได้สดับพระนามของพระอมิตายุสอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จักมิเกิดยินดีโสมนัสนั้นหาเป็นมิได้ ในจิตได้เปิดออกซึ่งความรู้แจ้ง
ตรัสกับพระเมตไตรยะว่า ผู้ที่นอบน้อมต่อพระพุทธเจ้า จึงนับเป็นมหากุศล เป็นผู้เจริญพุทธานุสติด้วยความสัตย์ซื่อ ปหานความเคลือบแคลงสงสัย ถอดถอนตัณหาราคะทั้งหลาย และงดเว้นบ่อเกิดแห่งบาปทั้งปวง ท่องเที่ยวในไตรภูมิอย่างไร้สิ่งกีดกั้น เป็นผู้ประกาศสั่งสอนสัมมามรรคคือหนทางที่ถูกตรง อนุเคราะห์แก่ผู้ยังมิได้อนุเคราะห์ เธอทั้งหลายพึงทราบเถิดว่าบรรดามนุษย์ในทศทิศนั้น เมื่ออนาคตกัลป์อันยืดยาว หมู่สัตว์ในคติห้าจักทุรนทุราย ทุกข์หม่นเศร้าหมองมิสิ้นสุด เพลาถือกำเนิดจักทุกข์ทรมาน ยามชราก็ทุกข์ทรมาน ยามเจ็บป่วยก็ทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง ยามมรณะก็ทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง จักส่งกลิ่นร้ายกาจมิน่ายินดี
พึงเป็นผู้สลัดทิ้งเสียด้วยตนของตนเอง พึงชำระมลทินแปดเปื้อนแห่งจิต มีวาจา การกระทำที่ซื่อตรงและมีสัจจะ ทั้งภายใน (คือใจ) และภายนอก (คือกาย) ประกอบกัน หากบุคคลสามารถอนุเคราะห์ตนเองแล้ว ก็จงอนุเคราะห์ผู้อื่นเถิด พึงปรารถนาด้วยจิตเป็นที่สุด สั่งสมบุญญาธิสมภาร ในชาติหนึ่งแม้นจักพากเพียรยากลําบากก็ดั่งว่าชั่วขณะเดียว ภายหลังเมื่อไปอุบัติยังอมิตายุสโลกธาตุแล้วไซร้ ย่อมประกอบด้วยสุขารมณ์และโสมนัสพ้นประมาณ จักถอนออกซึ่งมูลเหตุของชาติและมรณะ มิต้องเสวยความทุกข์ทรมานอีก ย่อมมีชนมายุพันหมื่นกัลป์เป็นประมาณ มีอิสระดังมโนจินต์เช่นนี้ แลเธอทั้งหลายพึงพากเพียร ตั้งความปรารถนาให้ถึงซึ่งปณิธาน มิกังขาและกังวลในอกุศลผิดบาปของตนว่าจักมีกำลังวิบาก ยังให้ไปกำเนิดในสถานทุรกันดาร* รับทุกข์ทรมานนานัปการเป็นเพลาห้าร้อยปี ฤาจักไปกำเนิดในสัปตรัตนมหาธานี**แห่งนั้นเล่า
ทูลว่า ข้าพระองค์ได้สดับพระพุทโธวาทอย่างแจ่มแจ้งแล้วจักวิริยะศึกษาปฏิบัติตามที่ได้รับสนองพระอนุศาสน์มามิกล้าเคลือบแคลงเลยพระเจ้าข้า
*คือสถานที่ห่างไกลพระรัตนตรัยและเรื่องราวของสุขาวดีโลกธาตุ หรือหมายถึงไปเกิดยังอบายภูมิต่างๆ
**ในประโยคนี้มีความหมายโดยนัยยะว่า หากบุคคลผู้ประพฤติปวงกุศลกรรมทั้งภายในและภายนอก พร้อมกับตั้งจิตปณิธานปรารถนาไปอุบัติยังสุขาวดีแล้ว พึงมิต้องสงสัยและเป็นกังวลว่าตนจะได้ไปกำเนิดในอบายภูมิเพราะอกุศลวิบากที่ตนเคยกระทำมา หรือจะได้ไปกำเนิดในเมืองแห่งรัตนะ ๗ ประการ คือสุขาวดีพุทธเกษตร กล่าวคือ จะได้ไปกำเนิดยังสุขาวดีโลกธาตุเป็นที่แน่นอน ด้วยอำนาจกุศลที่ตนกระทำ(อำนาจภายในตน) และพระกรุณาพละแห่งมหาปณิธานของพระอมิตายุสพุทธเจ้า(อำนาจภายนอก)
พระวิศวภัทร แปล
Aputi.com ภาพ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา