22 พ.ย. 2021 เวลา 01:56 • ประวัติศาสตร์
มหาสุขาวตีวยูหสูตร
วรรค ๓๕ ทุกข์มหันต์ของโลกแห่งความเสื่อม
ตรัสกับพระเมตไตรยะว่า เธอทั้งหลายสามารถดำรงอยู่ในโลกแห่งนี้ ด้วยการตั้งใจไว้ถูกตรง มิกระทำความชั่วทั้งปวง จึงเรียกว่าเป็นมหาสาธุคุณอย่างยิ่ง ด้วยเหตุไฉนนั้นฤา อันทศทิศโลกธาตุนั้น กุศลโลกธาตุมีอยู่จำนวนมากและอบายโลกธาตุมีอยู่น้อย (หมู่สัตว์ในโลกเหล่านั้น) สั่งสอนอบรมได้ง่าย มีเพียงโลกธาตุแห่งความเสื่อมทั้งห้าประการ* ที่เป็นทุกข์ยิ่งนัก บัดนี้เราตถาคตได้กระทำซึ่งความเป็นพระสัมมาสัมพุทธะในโลกธาตุนี้ สั่งสอนอบรมเวไนยสัตว์ให้อุเบกขาความเสื่อมห้า** ให้ไปจากความทรมานห้าประการ*** ให้ไกลจากการเผาผลาญห้า ด้วยสั่งสอนตามนัยยะเช่นนี้ ยังให้ต้องสมาทานเช่นไร
*เรื่องความเสื่อมทางพระพุทธศาสนา
** คือการละเมิดศีล ๕ อันเป็นทางไปสู่อบายคือความเสื่อม หรือความไม่เจริญ
*** แปลว่าการเผาผลาญทั้ง ๕ ความหมายคือเป็นวิบากของความเสื่อมทั้ง ๕ อรรถาธิบายว่า เมื่อบุคคลละเมิดศีล ๕ เมื่อมีชีวิตย่อมถูกกฎหมายลงโทษ เมื่อตายไปก็ยังตกสู่อบายภูมิ​อุปมาความทุกข์ทรมานที่รุมเร้าดุจไฟเผาผลาญ
ประการที่หนึ่ง* สรรพสัตว์จำพวกต่างๆ ในโลกธาตุ กระทำความชั่วคือราคะ ผู้มีกำลังข่มเหงผู้อ่อนแอ กรรโชก แย่งชิงลักขโมย ประทุษร้าย ฆ่าฟันกันมิหยุดหย่อนแล้วช่วงชิงทรัพย์มาเป็นของตน เป็นผู้มิกระทำกุศลความดี ภายหลังจึงได้รับวิบากภัย เหตุนี้จึงอดอยาก อนาถา บ้างหูหนวก ตาบอด บ้า ใบ้ โง่เขลา น่าเกลียด สติไม่สมประดี มีเหตุแต่อดีตชาติที่มิศรัทธามรรคธรรม กระทำกุศลความดี ยังมีผู้สูงศักดิ์ ร่ำรวย เป็นปราชญ์ อายุยืน เฉลียวฉลาดและรอบรู้ เป็นเพราะเมื่อบุพชาติเป็นผู้มีเมตตาและกตัญญู บำเพ็ญกุศลและสั่งสมคุณธรรมความดีเอาไว้ ในโลกจึงเห็นมีเรื่องราวเหล่านี้ปรากฏดั่งเบื้องต้น
เมื่อ(ผู้กระทำชั่ว) สิ้นชีพแล้วจึงนิรยภูมิ ถือกำเนิดใหม่มีรูปร่างวิปริตไป เหตุนี้แลจึงมีนรก เดรัจฉานจำพวกสัตว์ปีก สัตว์มีกระดอง สัตว์เลื้อยคลาน อุปมาโลกธรรมประดุจกรงขังที่มากด้วยทุกขเวทนา อาลยวิญญาณจิตย่อมนำไปอุบัติตามกรรม ก็เมื่อเสวยอายุขัยแล้ว บ้างมีอายุยืนยาวบ้างก็สั้น เมื่อมีเหตุเกิดขึ้นก็มีวิปากอยู่เช่นนี้ เมื่ออกุศลมิสิ้นจึงมิอาจพ้นไปได้ เวียนว่ายอยู่ในกัลป์แห่งความยากลำบาก อันหลุดพ้นได้ยาก เป็นทุกข์อย่างยิ่ง มิอาจพรรณนาระหว่างฟ้าและดิน (คือโลกมนุษย์) ก็มีปกติอยู่เช่นนี้ แม้จักสนองในทันที แต่ย่อมหวนไปสู่ความเป็นกุศลและอกุศลทั้งสิ้น
* ความดี ๕ ประการ​ หมายถึงศีล ๕ มี ๑) เว้นจากการฆ่าสัตว์ ๒) เว้นจากการลักทรัพย์ ๓) เว้นจากการประพฤติผิดในกาม ๔ เว้นจากการพูดเท็จ ๕) เว้นจากการดื่มน้ำเมาสิ่งเสพติด
ประการที่สองนั้น คือมนุษย์ในโลกมอนุโลมตามธรรม มักมากในกาม ทะนงตน ถือดี เย่อหยิ่ง ลำพอง กระทำตามใจ ผู้เป็นใหญ่มิใสซื่อ ตั้งอยู่บนความถูกตรง ใส่ร้าย ยังโทษภัยแก่คุณธรรม ปากและใจต่างกัน มุสาทั้งมากน้อย ผู้ใหญ่และผู้น้อย (กิริยา)ภายในและภายนอกก็เย่อหยิ่งลำพอง เกรี้ยวกราดโง่เขลา เพ่งประโยชน์ตน ละโมบเพราะการได้และเสียประโยชน์ การมีชัยและปราชัยเป็นเหตุให้ผูกโกรธเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เมื่อพงษาสูญสิ้นสังขารแตกดับแล้ว จักทอดอาลัยในสิ่งอดีตและอนาคตมิได้
ผู้ร่ำรวยก็ตระหนี่เสียดาย มิยอมให้ทาน ด้วยรักชอบในสมบัตินั้น จึงถนอมรักษาและละโมบยิ่งขึ้น ยังจิตให้เหนื่อยล้าและกายเป็นทุกข์อยู่เช่นนี้ ที่สุดย่อมปราศจากสิ่งใดจักตามตนเองไปได้ มีแต่กุศลบารมีและบาปอบายที่จักตามติดไปถือกำเนิด บ้างได้อยู่ในสุขสถาน บ้างเสวยความทุกข์อันเผ็ดร้อน บ้างเห็นว่าความเกลียดชังและการติเตียนเป็นสิ่งดี แฝงเร้นด้วยจิตละโมบสิ่งของผู้อื่นอยู่เนืองนิตย์ มุ่งหวังประโยชน์ผู้อื่นเพื่อบำรุงตนเอง ยังผู้อื่นให้พินาศแล้วซ้ำเติม เมื่อเทพ (คือยมราช) พรากดวงวิญญาณแล้ว ย่อมสู่อบายภูมิ ตนนั้นต้องไปเกิดยังอบายภูมิสามรับทุกข์ทรมานประมาณมิได้ ในกัลป์แห่งความลำบากยากจักหลุดพ้นมีทุกข์มิอาจพรรณนา
ประการที่สาม คือมนุษย์ในโลกมีเหตุอันอัศจรรย์คือการกำเนิดขึ้นและมีอายุขัย บุคคลผู้ปราศจากความดีงาม มีกายแลจิตไม่ซื่อตรง แฝงความชั่วร้ายเป็นนิจ จิตครุ่นคิด แต่กามราคะ มีกิเลสเต็มอุรา มีกิริยาเลวทราม ลักเอาสมบัติของตระกูลไปขาย ด้วยผิดธรรมสิ่งที่พึงหมายก็มิปรารถนา* บ้างซ่องสุม รบ ฆ่า ปล้นสะดม ฉุดคร่า ขู่เข็ญด้วยกำลัง นำไปบำรุงภริยาและบุตรของตนให้เป็นสุข บุคคลที่ถูกทำร้ายนั้น ย่อมเกลียดแค้นเป็นทุกข์ด้วยความชั่วเช่นนี้ ยังให้วิญญาณของบุคคลผู้ดุจปีศาจนั้น สู่อบายภูมิทั้งสามรับทุกขเวทนาไม่มีประมาณ ว่ายเวียนในนั้น ยากจักหลุดพ้นจากกัลป์แห่งความเหนื่อยยาก ได้มีทุกข์ที่พรรณนามิได้
*อรรถกถาสิ่งอันพึงปรารถนาตามนัยยะของพระสูตรว่าคือมิรู้จักสถานะของตนเองมีกระทำสิ่งถูกต้องมิใคร่จักหลุดพ้นมิรู้จักใฝ่บุญกุศลสติปัญญาและมิรู้จักปรารถนาไปอุบัติยังสุขาวดี
ประการที่สี่ หมู่มนุษย์ในโลกมิปรารภการบำเพ็ญกุศล เป็นผู้กล่าววาจาส่อเสียดสองลิ้น กล่าววาจาหยาบ กล่าวคำเท็จ กล่าวเพ้อเจ้อ ริษยาคนดี ทำลายบัณฑิตให้ย่อยยับ อกตัญญูบุพการี ดูแคลนครูอาจารย์ มิเชื่อถือสหาย จึงยากจักได้รับความจริงใจ เทิดทูนตนเองไว้สูงส่งเพื่อประโยชน์ของตน ใช้อำนาจในทางผิด ข่มเหงผู้อื่น ปรารถนาให้ผู้อื่นนอบน้อมยำเกรง แต่ตนเองนั่นเล่ากลับมิรู้ละอายเกรงกลัว ยากที่จักอบรม มีมานะพองเร้นในจิต เพราะอาศัยกุศลในชาติก่อนๆปกป้องอยู่ (จึงกระทำชั่วอย่างปลอดภัย) ชาติปัจจุบันเมื่อกระทำความชั่วอีกบุญสมภารนั้นจึงสิ้นไป เมื่ออายุขัยล่วงแล้วจึงถูกความชั่วทั้งปวงชื่อว่า บาป รุมเร้า ซึ่งยมเทพจักบันทึกไว้ทั้งสิ้น
มีความชั่วนั้นเป็นเครื่องชักนำไป อันมิได้มาจากแห่งใดและมิได้ไกลห่าง* กรรมในกาลก่อนยังให้ถูกเพลิงเผาผลาญ มีกายใจแหลกเหลว มีทุกขเวทนาทรมานเป็นที่สุด ในเพลานั้นหากจะสำนึกได้ก็ไร้ประโยชน์เสียแล้ว
ประการที่ห้า บรรดามนุษย์ในโลกเป็นผู้เกียจคร้านผัดผ่อน มิยอมกระทำสิ่งกุศลเพื่อใช้สังขารนี้บำเพ็ญกุศลธรรม เป็นผู้แข็งขึ้นดื้อดึงต่อคำอบรมของบิดามารดา ประหนึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตถา เหมือนว่าตนนั้นมิได้มีบุตรอยู่ เป็นผู้อกตัญญู ฮึกเหิม ลำพอง มัวเมาสุรา มักมากในการดื่มกิน โง่หลงก่อวิวาท ไม่รู้จักความเป็นมนุษย์ที่ควรไร้คุณธรรมและกิริยาดีงาม เป็นผู้อันนรชนมิอาจทัดทานห้ามปรามไว้ได้ ญาติทั้งหกจำพวกนั้น** แม้จักมีหรือไร้ซึ่งเครื่องยังชีพก็มิรู้เอาเป็นภาระ ไม่ระลึกแม้พระคุณบิดามารดา มิสำนึกแม้ความดีของอาจารย์และมิตรสหาย
ความระลึกแห่งจิตการกระทำแห่งกายและวาจานั้น มิเคยมีแม้ความดีเพียงเล็กน้อย มิเลื่อมใสพุทธธรรมคำสอน มิเชื่อถือความดีและความชั่วของสังสารวัฏ เป็นผู้ใคร่ทำร้ายคนดี ยุยงหมู่สงฆ์ มีโมหะเป็นปัญญาของตน ไม่รู้ว่าชาติคือการเกิดนั้นมาจากที่ใด และมรณะคือความตายจะมุ่งไปแห่งใด ไร้ความอารีและโอนอ่อน ปรารถนามีอายุที่ยืนยาว แม้จักพร่ำสอนด้วยเมตตาจิตก็มิน้อมใจศรัทธา เพียรตักเตือนด้วยความเหนื่อยยากก็ไร้ผล ดวงจิตอัดอั้นดวงใจมิเปิดออก เมื่อเพลาที่จวนสิ้นอายุขัย จักละอายและตระหนกหวาดกลัว ในการที่ตนเองมิรู้จักบำเพ็ญกองกุศล เมื่อมรณภัยมาถึงจึงสำนึกได้ ก็เมื่อสำนึกได้ภายหลังจะเป็นประโยชน์อันใดเล่า
*หมายถึงกรรมชั่วหรือกรรมดีนั้นมาจากตนเองมิได้มาจากที่อื่น และติดตามตนเองอยู่มหายไปไหน
**มีพ่อ แม่ พี่ น้อง ภรรยา และบุตร
หว่างนภาคือเบื้องบนและพสุธาคือเบื้องล่าง แบ่งเป็นปัญจภูมิ* โดยชัดเจน วิปากผลแห่งความดีและความชั่ว เคราะห์ภัยและวาสนาก็สำแดงให้ปรากฏอยู่ อันตนจึงเป็นผู้ได้รับเอง ผู้อื่นใดมิอาจแทนได้ กุศลบุคคลย่อมกระทำความดี เป็นผู้มาจากความเกษมโสมนัส แล้วไปสู่ความเกษมโสมนัส จากความสว่างไปสู่ความสว่าง
อบายบุคคลย่อมกระทำความเสื่อมชั่วช้า เป็นผู้มาจากความทุกข์โทมนัสแล้วไปสู่ความทุกข์โทมนัส จากความมืดไปสู่ความมืด อันผู้ใดจักล่วงรู้มิได้ เว้นแต่พระพุทธเจ้าผู้สัพพัญญูเท่านั้น อันอนุศาสนีที่กล่าวแสดงนั้น ผู้เลื่อมใสประพฤตินั้นมีน้อย สังสารวัฏคือชาติและมรณะมิได้หยุดสิ้น อบายภูมิก็มิได้สูญไป มนุษย์ในโลกยากจักถึงความดับ (จากความทุกข์คือกิเลสเครื่องเศร้าหมอง)โดยสมบูรณ์เหตุฉะนี้อบายภูมิสามจึงมีขึ้นประกอบด้วยทุกขเวทนาประมาณมิได้ แล้วเสวยชาติภพในกัลป์ที่เหนื่อยยากนี้ ไร้กาลหลุดพ้น จักลุถึงวิมุตติได้ยาก ทุกข์ทรมานมิอาจพรรณนา
ดั่งความเสื่อมห้า ความทรมานห้า ความเผาผลาญห้านี้ อุปมาอัคคีกองใหญ่ที่เผาผลาญหมู่สัตว์ หากตนเองสามารถแน่วแน่ชำราบจิตของตน(ในความเสื่อมห้าความทรมานห้าความเผาผลาญห้า) สำรวมกาย มีความระลึกอันชอบที่ตั้งไว้ถูกตรง มีวาจาและการกระทำสอดคล้อง ประกอบกิจทั้งปวงด้วยความสัตย์ซื่อ กระทำ แต่ความดีงามทั้งปวง มีประพฤติอบายจริยา จักหลุดพ้นได้เฉพาะตนแล้ว เสวยกุศลนั้น จักบรรลุถึงความมีอายุขัยยืนยาว คือนิรวาณมรรคเช่นนี้แลคือมหากุศลใหญ่ทั้งห้าประการ
*ปัญจภูมิ คือ คติ ๕
นิรวาณมรรค คือ ความดับ (จากกิเลส) เพราะความไม่เกิด(ของกิเลส) อีกเช่นนี้จึงเรียกว่าความมีอายุขัยยืนยาว
พระวิศวภัทร แปล
Aputi.com ภาพ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา