Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Love Buddha
•
ติดตาม
22 พ.ย. 2021 เวลา 02:46 • ประวัติศาสตร์
มหาสุขาวตีวยูหสูตร
วรรค ๓๘ อภิวาทพระพุทธองค์บังเกิดรัศมี
พระผู้มีพระภาครับสั่งต่อพระอานนท์ว่า หากเธอทั้งหลายปรารถนาจักทัศนาพระอมิตายุสอรหันตสัมมาสัมพุทธะ พร้อมทั้งหมู่โพธิสัตว์และอรหันต์ทั้งปวงที่อยู่ในโลกธาตุแห่งนั้น พุงบ่ายหน้ายังภาคประจิมทิศ เมื่อยามอาทิตย์จะอัสดงลับไป โดยกระทำนมัสการด้วยเศียรเกล้าแล้วสรรเสริญว่า “นโมอมิตาภยะพุทธายะ”
ครั้งนั้นพระอานนท์เถรเจ้าได้ลุกจากอาสนะ บ่ายหน้าไปยังประจิมทิศ ยอกรขึ้นวันทนาและกระทำนมัสการด้วยเศียรเกล้า พลางกล่าวว่า “ข้าพเจ้าปรารถนาจักทัศนาพระอมิตายุสพุทธะแห่งสุขาวดีโลกธาตุ เพื่อถวายสักการะและสั่งสมกุศลมูล”
ในระหว่างที่กระทำศิราภิวาทนั้นแล จึงได้ยลพระพักตร์อันกว้างใหญ่ไพศาล พระวรลักษณ์ที่วิจิตราลังการของพระอมิตาสพุทธะในทันที อันอุปมาด้วยสุวรรณคีรีมาศ มีความสูงออกไปกว่าโลกธาตุทั้งปวง ทั้งยังได้สดับบรรดาพระพุทธตถาคตในทิศทั้งสิบสดุดีสรรเสริญกุศลนานัปการแห่งพระอมิตายุสพุทธะอันไม่ติดขัดและต่อเนื่องกันไปไม่ขาดสาย
พระอานนท์ทูลว่า “อันพุทธเกษตรที่บริสุทธิ์แห่งนั้นยังมิเคยมีแต่ที่ใดมาก่อน ข้าพระองค์ก็ปรารถนายินดีจักไปอุบัติยังโลกธาตุแห่งนั้น”
พระโลกนาถตรัสว่า “อันผู้ที่อุบัติในโลกธาตุแห่งนั้นล้วนเคยอยู่ใกล้ชิดและปลูกฝังกุศลมูลในพระพุทธเจ้าจำนวนประมาณพระองค์มิได้มาแล้ว เมื่อเธอปรารถนาอุบัติยังโลกธาตุแห่งนั้น พึงสำรวมจิตเป็นหนึ่งแล้วน้อมไปด้วยศรัทธา*”
*ประโยคนี้มีความหมายว่า ผู้ปรารถนาได้พบพระอมิตายุสพุทธะและไปอุบัติที่สุขาวดีโลกธาตุ ต้องมีจิตแน่วแน่และมีศรัทธาเป็นพื้นฐานที่สำคัญยิ่ง
ก็แลเมื่อสมัยที่ตรัสพระพุทธฎีกานี้อยู่ พระอมิตายุสอรหันตสัมมาสัมพุทธะได้เปล่งรัศมีประภาส จำนวนประมาณมิได้ออกมาจากฝ่าพระหัตถ์ฉายต้องยังพุทธเกษตรโลกธาตุทั้งปวง ครั้งนั้นบรรดาพุทธประเทศทั้งปวง ก็สว่างไสวประดุจสถานที่แห่งนี้ที่มีรัศมีอันประเสริฐและบริสุทธิ์ยิ่งของพระอมิตายุสพุทธะสว่างไสวอยู่ เป็นเหตุให้กาฬบรรพต หิมาลัยบรรพต วัชรบรรพต และภูเขาเหล็กใหญ่น้อยทั้งปวงที่วนรอบจักรวาล สายน้ำกระแสสินธุ์ วนาสณฑ์ป่าชัฏ ปราสาทแห่งทิพยชน
รวมทั้งดินแดนสถานทั้งปวง ไม่มีแห่งใดเลยที่จะแผ่ฉายไปมิถึง ครุวนาอาทิตย์อรุโณทัยฉายแสงสว่างไสวรุ่งเรืองไปจนถึงนิรยสถาน ลำธารและยมโลกต่างถูกเปิดออกด้วยความสว่างให้เป็นวรรณะเดียวกัน อุปมาอุทกกัลป์ที่มีน้ำเต็มเปี่ยมอยู่ในโลกธาตุ บรรดาสรรพสิ่งในนั้น ล้วนจมหายมิปรากฏ เป็นห้วงมหรรณพที่คัมภีรภาพและไพศาล จักยลเห็นแต่เพียงชลชาติเท่านั้น อันรัศมีประภาสแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก็เป็นดุจฉะนี้ รัศมีทั้งหลายของพระสาวกพระโพธิสัตว์ล้วนถูกบดบังไว้จนสิ้นจักยลเห็น แต่พระพุทธรัศมีเท่านั้นอันสว่างไสวรุ่งเรืองโอภาสเป็นที่สุด
บริษัทสี่ในสมาคมแห่งนี้รวมถึง หมู่เทพนาค คติแปด มนุษย์และอมนุษย์ทั้งปวง ต่างได้ทอดทัศนาสุขาวดีโลกธาตุ อันประกอบไปด้วยอลังการนานาประการ แลเห็นพระอมิตายุสอรหันตสัมมาสัมพุทธะประทับบนบัลลังก์อาสน์ที่ใหญ่โต มีพระเดชานุภาพและพระคุณธรรมยิ่งใหญ่โอฬาร พระวรลักษณ์อุดมด้วยความประเสริฐรุ่งเรือง หมู่พระสาวกพระโพธิสัตว์อยู่ล้อมรอบทั้งหน้าหลังด้วยความเคารพ อุปมาสุเมรุราชคีรี ที่ผุดขึ้นแต่ผืนมหาสาคร ปรากฏเป็นแสงสว่างฉายฉานไปทั่วอันมีความวิสุทธิ์และเสมอกัน ไร้สิ่งแปลกปลอมเจือปนและไร้รูปลักษณ์ที่ผิดแผกออกไป จักมีก็แต่มวลหมู่รัตนชาติที่ไพจิตราลังการที่บรรดาอริยชนประทับอยู่เท่านั้น
พระอานนท์เถระเจ้าพร้อมด้วยพระโพธิสัตว์ทั้งปวงต่างเกิดมหาโสมนัสเป็นอุเพงคาปีติ แล้วน้อมกายลงถวายอภิวาทโดยนำศิรเศียรจรดผืนแผ่นดิน แล้วพากันสรรเสริญว่า “นโม อมิตาภยะสัมมาสัมพุทธายะ”
บรรดาเทพนิกรไปจนถึงสัตว์เดรัจฉานที่มีกระดอง สัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลานที่ได้ยลรัศมีแล้ว บรรดาโรคาทุกข์จักมิระงับสิ้นไปก็หามิได้ สิ่งหมองเศร้าทั้งปวงนั้นไซร้จักมิได้หลุดพ้นก็เห็นบ่มีผู้ได้ทัศนาทั้งสิ้นล้วนเกิดเมตตาจิต กระทำกุศล โสมนัสยินดี เสียงแห่งระฆังกังสดาล วีณาเครื่องสายและเครื่องสังคีตดุริยางค์ทั้งปวงมิได้ดีดสีตามประเภทของตนโดยปกติ แต่บรรเลงเป็นสำเนียงห้าประการ ภายในพุทธประเทศโลกธาตุทั้งปวงอันมีหมู่เทพนิกรก็ถือเอาบุปผาและสุคันธชาติ ดำเนินมา แต่นภากาศแล้วเกลี่ยลงถวายสักการะ
*อัษฐคติหรือคติ ๔ หรือคณะ ๘ มี ๑. เทพ ๒. นาคต. ยักษ์ ๔. คนธรรพ์ ๕. อสูร 5. ครุฑ ๗. กินนร ๔. มโหราคะ
**ความอิ่มใจ, ความดื่มในใจมี ๕ คือ ๑. ขุททกาปิติปีติเล็กน้อยพอขนชั้นน้ำตาไหล ๒.ขณิกาปิติปีติชั่วขณะรู้สึกแปลบ ๆ ดุจฟ้าแลบต. โอกกันติกาปิติปีติเป็นระลอกรู้สึกลงมาๆดุจคลื่นซัดฝั่ง ๔. อุพเพคาปิติปีติโลดลอยให้ใจฟูตัวเบาหรืออุทานออกมา ๕. พรฌาปีติปีติซาบซ่านเอิบอาบไปทั่วสรรพางค์เป็นของประกอบกับสมาธิ
***แปลว่าขอนอบน้อมแด่พระอมิตาภะ ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
ในสมัยครั้งนั้น สุขาวตีโลกธาตุ อันนับแต่(สหา)โลกธาตุแห่งนี้ไปภาคเบื้องประจิมทิศผ่านโลกธาตุต่างๆ ไปร้อยพันโกฏินยุตะ* แต่ด้วยอาศัยพระพุทธานุภาพยังให้เสมือนหนึ่งปรากฏยังเบื้องหน้า ประดุจบุคคลผู้มีทิพยจักษุบริสุทธิ์เพ่งหาดินแดนแห่งหนึ่ง แลสุขาวตีชนแห่งนั้นก็ได้ทัศนาดินแดนแห่งนี้ ล้วนได้ยลเห็นสหาโลกธาตุพระศากยมุนีตถาคตและหมู่ภิกษุที่ล้อมรอบอยู่เพื่อสดับการแสดงพระธรรมเทศนา
*นยุตะ คือสังขยาจำนวน ๑ หมื่น บ้างก็ว่า นยุตะ, นิรุตะ, นหุตะ (บาลี) คือ สังขยาจำนวนหนึ่งแสน หรือหนึ่งโกฏิเป็นหลักนับ คือหนึ่งร้อยโกฏิ เป็นหนึ่งอยุตะ, ร้อยอยุตะ เป็นหนึ่งนิยุตะ ส่วนนยุตะเท่ากับเลขหนึ่งต่อท้ายด้วยศูนย์ยี่สิบสองตัว พจนานุกรมบาลีอังกฤษของสมาคมบาลีปกรณ์กล่าวว่า นหุตะหมายถึงสังขยาจำนวนมาก, หนึ่งหมื่น แต่พจนานุกรมสันสกฤต-อังกฤษของเซอร์มอเนียวิลเลี่ยมและปราชญ์คนอื่น ๆ ว่า ได้แก่ หนึ่งโกฏิ
พระวิศวภัทร แปล
Aputi.com
ภาพ
ประวัติศาสตร์
จีน
เรื่องเล่า
บันทึก
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
มหาสุขาวตีวยูหสูตร
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย