25 พ.ย. 2021 เวลา 01:00 • ไลฟ์สไตล์
ของอร่อย “วันขอบคุณพระเจ้า” - รู้เอาไว้ก่อนไปลอง
“วันขอบคุณพระเจ้า” ปีนี้ตรงกับวันที่ 25 พฤศจิกายน ตามปกติเราจะเห็นไก่งวงอบตัวใหญ่เป็นอาหารจานหลักที่รับประทานเฉลิมฉลองกัน เรียกว่าวันขอบคุณพระเจ้าก็ต้องกินไก่งวงกัน แต่รู้ไหมครับว่า ทำไมวันขอบคุณพระเจ้าจึงต้องกินไก่งวง?
ขอบคุณภาพประกอบจาก bhg
วันขอบคุณพระเจ้า(Thanksgiving Day)นั้นเป็นเทศกาลของชาวอเมริกัน พวกฝรั่งตาน้ำข้าวชนชาติอื่นเขาไม่มีฉลองวันขอบคุณพระเจ้ากัน เพราะอะไรหรือครับ? ก็ต้องเล่าประวัติของวันขอบคุณพระเจ้าเสียก่อน
เรื่องของวันขอบคุณพระเจ้า เกิดจากพวก Pilgrims ซึ่งเป็นชาวยุโรปที่ต้องการเสรีภาพในการนับถือศาสนา ได้อพยพไปอยู่ยังดินแดนใหม่คือ สหรัฐอเมริกา
พวก Pilgrims ได้อพยพไปโดยเรือ Mayflower ไปขึ้นฝั่งที่ Plymouth Rock รัฐ Massachusetts เมื่อปี 1620 พอไปถึงตั้งรกราก ก็ได้ทำการเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารต่าง ๆ เพื่อยังชีพ ในฤดูการเก็บเกี่ยวของปีแรกก็ได้ผลผลิตดี ดังนั้น พวก Pilgrims จึงได้จัดการเฉลิมฉลองเพื่อขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าในการนำพาพวกเขามายังดินแดนใหม่ที่อุดมสมบูรณ์
ในงานฉลองนี้ มีชาวพื้นเมืองดั้งเดิมคือพวกอินเดียนแดงมาร่วมกินเลี้ยงด้วย เรียกว่าอยู่ด้วยกันก็มากินกัน อันที่จริงพวกอินเดียนแดงก็แนะนำให้พวกที่อพยพไปใหม่นี้หลายอย่าง อย่างเช่นพืชผลและการล่าสัตว์ที่มีอยู่ในดินแดนใหม่
งานวันขอบคุณพระเจ้าจึงเป็นวันเฉลิมฉลองในประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ส่วนฝรั่งชาติอื่นไม่ได้อพยพไปไหนจึงไม่มีวันขอบคุณพระเจ้ากัน
ทำไมเมื่อถึงวันขอบคุณพระเจ้าต้องกินไก่งวง? อันที่จริง ถึงแม้ไก่งวงจะเป็นสัตว์ป่าที่มีอยู่มากในแคว้น New England (ซึ่งเมือง Plymouth ตั้งอยู่) แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดว่า ในการเลี้ยงฉลองของวันขอบคุณพระเจ้าในปีแรกนั้นมีการรับประทานไก่งวงด้วยแต่อย่างใด
เชื่อกันว่าอาหารที่เลี้ยงกันในวันขอบคุณพระเจ้าก็คงเป็นพวกสัตว์ปีกหลายอย่างเช่น เป็ด ห่าน รวมทั้งไก่งวงด้วย
จนกระทั่งประธานาธิบดีลินคอล์นได้ประกาศให้วันขอบคุณพระเจ้าเป็นวันหยุดราชการในปี 1863 จึงมีผู้อยากฟื้นฟูเรื่องเดิม ๆ ให้เป็นส่วนหนึ่งของวันขอบคุณพระเจ้า และไก่งวงก็เป็นส่วนหนึ่งของงานนั้น และได้เป็นอาหารในวันขอบคุณพระเจ้าตั้งแต่นั้นมา
ภาพเขียนฝืมือ Otto Bettmann ขอบคุณภาพประกอบจาก wbur
เพราะฉะนั้น วันขอบคุณพระเจ้าก็ต้องกินไก่งวงโดยเอามาอบ ซึ่งวิธีอบไก่งวงนั้น Gourmet Story ก็ขออนุญาตไปขอยืมมาจากนาย Darren McGrady ผู้เคยเป็นพ่อครัวชาวอังกฤษประจำพระราชวังบักกิงแฮมถึง15 ปี ซึ่งคนอังกฤษนั้นเขาไม่มีประเพณีวันขอบคุณพระเจ้า ดังนั้น การอบไก่งวงของนาย McGrady จึงเป็นการอบไก่งวงเพื่อวันคริสต์มาสของราชสำนักอังกฤษ เป็นอาหารชาววังซึ่งท่านผู้อ่านสามารถอ่านได้จาก Gourmet Story ตอน “อาหารวันคริสต์มาส - มีของให้ลิ้มลองมากมาย” ที่
คราวนี้เมื่อไก่งวงอบเป็นอาหารพิเศษในวันขอบคุณพระเจ้า ก็ต้องทำให้หรูหราหน่อยด้วยการยัดไส้ไก่งวง ของที่ยัดไส้(stuffing)นั้นก็ประกอบด้วย การเอา celery กับหัวหอมใหญ่ที่เอามาผัดกับเนยจนส่งกลิ่นหอม แล้วผสมเข้ากับขนมปังที่หั่นเป็นลูกเต๋าเล็ก ๆ ส่วนผสมอื่นก็เอาตามใจชอบเช่น แอปเปิล เบคอน มันฝรั่ง ฯลฯ เอาส่วนผสมนั้นยัดเข้าไปในตัวไก่งวงเพื่ออบ นอกจากนี้ ก็ยังนิยมทำ stuffing นี้เผื่อใส่ชามไว้ต่างหากไว้กินกับไก่งวงอีกด้วย
ใครที่เคยลิ้มชิมรสไก่งวงมาจะพบว่า ไก่งวงนั้นมีรสชาติฉืด ๆ ไม่อร่อยเหมือนไก่ธรรมดา เพราะฉะนั้น ก็จะต้องมีซอสที่ไว้กินกับไก่งวง ซึ่งซอสนั้นก็คือ ซอสแครนเบอร์รี่
ต้นแครนเบอร์รี่(cransberry) เป็นไม้พุ่มเตี้ย ๆ ลูกของมันเวลาสุกเป็นสีแดง รสชาติฝาด ๆ เขาก็จะลูกแครนเบอร์รี่เอามาทำซอสทานกับไก่งวงนี้
ในสมัยของพวก Pilgrims ก็เชื่อกันว่าคงไม่มีซอสที่จะกินกับไก่งวง เพราะการทำซอสต้องไปเคี่ยวกับน้ำตาล และน้ำตาลในสมัย Pilgrims นั้นก็เป็นของแพงมากด้วยยังไม่มีการผลิตเอง
ขอบคุณภาพประกอบจาก cookinwithmima
มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์อยู่แต่เพียงว่าว่า นายพล Ulysses S. Grant ผู้บังคับบัญชาการทหารฝ่ายเหนือในสงครามกลางเมือง(Civil War) (ซึ่งต่อมาก็ได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐ)สั่งให้เอาซอสแครนเบอร์รี่ไปให้แก่พวกทหารของเขาไว้ทานกับอาหารเนื้อ ซึ่งก็เป็นเวลา 50 กว่าปีหลังจากงานเลี้ยงวันขอบคุณพระเจ้าครั้งแรก
โดยสรุปก็คือไม่ทราบจริง ๆ ครับว่า ทำไมเวลาทานไก่งวงอบต้องทานกับซอสแครนเบอรี่ ทำไมไม่ทานกับซอสผลไม้อื่นเช่นบลูเบอร์รี่ หรือสตรอเบอร์รี่
วิธีทำซอสแครนเบอร์รี่ก็ง่ายแสนง่ายเพียงแต่เอาลูกแครนเบอร์รี่เคี่ยวกับน้ำตาลเท่านั้นเอง ส่วนใครจะทำให้มีรสชาติดีขึ้นด้วยการใส่น้ำส้มคั้น หรือใส่เครื่องเทศอย่างอื่นก็สามารถที่จะทำได้
อาหารประกอบอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้การรับประทานอาหารเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้าสมบูรณ์คือ มันฝรั่งบด
มันฝรั่งบดหรือที่ฝรั่งเรียกว่า mash potato เป็นอาหารที่มีอยู่ในงานเลี้ยงของการขอบคุณพระเจ้าครั้งแรกอย่างแน่นอน เพราะเป็นของที่ได้จากการเพาะปลูกของเขาเอง
การทํามันฝรั่งบดนี้เริ่มด้วยการผัดเนยกับนมหรือครีมจนได้ที่ จากนั้นก็ก็ใส่มันฝรั่งบดลงไปผสมให้เข้ากัน โรยเกลือและพริกไทยเล็กน้อยก็เป็นอันเสร็จพิธี นำมารับประทานได้เลย เป็นเครื่องเคียงอาหารหลัก
แต่บางคนก็จะทำน้ำเกรวี่ทีราดช่วยเพิ่มรสชาติ น้ำเกรวี่ก็ทำจากน้ำสต๊อก ถ้าอบไก่งวงเอง ก็เอาน้ำสต๊อกที่ได้จากการอบไก่งวง ถ้าไม่ได้อบไก่เองก็ใช้น้ำสต๊อกไก่ธรรมดาก็ได้
การทำน้ำเกรวี่ก็เริ่มด้วยการเอาเนยมาผัดกับแป้งข้าวโพด แล้วก็เอาน้ำสต๊อกที่เรามีนั้นใส่เข้าไป คนให้เข้ากันจนสุก แค่นี้เราก็จะได้น้ำเกรวี่เอาไว้ทานกับไก่งวงก็ได้ เอาไว้ราดมันฝรั่งบดก็ได้ ทำให้การรับประทานอาหารในวันขอบคุณพระเจ้ามีสีสันขึ้นไปอีกอย่างหนึ่ง
ขอบคุณภาพประกอบจาก wholeandheavenlyoven
นอกจากอาหารหลักและเครื่องเคียงที่ว่ามาแล้ว ก็ต้องมีอาหารผักเอาไว้รับประทานด้วย แต่ก็ไม่ได้มีกติกาอะไรที่แน่นอนว่าจะต้องเป็นผักอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นถ้าท่านมีผักอะไร ไม่ว่าจะเป็นผักสลัดต่าง ๆ แครอท ข้าวโพด brussel sprout และ ฯลฯ ก็นำมารับประทานกับไก่งวงได้ทั้งสิ้น
แต่อาหารวันขอบคุณพระเจ้าของเราจะจบลงไม่ได้ถ้าไม่ได้พูดถึงของหวาน ขนมของหวานในวันขอบคุณพระเจ้านั้นก็คือ “พายฟักทอง”
เหตุที่ขนมพายฟักทองได้มาเป็นอาหารหวานที่นำมารับประทานกันในวันขอบคุณพระเจ้านั้น ว่ากันว่า ชาวอินเดียนแดงที่ตั้งรกรากอยู่แถวนั้นมาก่อนที่พวก Pilgrims อพยพมาเป็นผู้แนะนำฟักทองมาให้พวก Pilgrims ปลูก
อาหารที่ทำในงานเลี้ยงวันนั้นนอกจากไก่งวงแล้ว ของหวานก็คือ “พายฟักทอง” ซึ่งเป็นผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ แต่คิดว่าพายฟักทองเวอร์ชั่นแรก ๆ คงเป็นแบบชาวบ้าน ดีไม่ดีจะไม่มีแป้งอบ ในภายหลังถึงมีการพัฒนาขึ้นมาเป็นขนมพายฟักทองที่น่ากินอย่างทุกวันนี้
เรื่องของ “พายฟักทอง” Gourmet Story เคยพูดไปแล้วในตอน “ขนมหวานวันคริสต์มาส - จะไปชิมอันไหนก่อนดี?” ฉะนั้นจึงขอให้ท่านผู้อ่านโปรดได้ไปอ่านย้อนหลังได้ที่
ขอบคุณภาพประกอบจาก theloopywhisk
มีร้านอาหารในกรุงเทพฯมากมายที่มีอาหารวันขอบคุณพระเจ้าจำหน่ายในช่วงเวลาดังกล่าวให้ทั้งชาวต่างประเทศและชาวไทยไปลิ้มลอง ตั้งแต่อาหารเย็นที่มีไก่งวงอบชุดใหญ่ตามโรงแรม หรือร้านอาหารฝรั่ง บางทีก็อยู่ในอาหารบุฟเฟ่ต์ ไปจนถึงอาหารและขนมต่าง ๆ เช่น แซนด์วิชไก่งวง พายฟักทอง ตามร้านอาหารและขนมทั่วไป
ถึงเราอาจจะไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ ไม่ได้เป็นชาวอเมริกัน แต่ก็ไม่มีกติกาอันใดที่จะห้ามไม่ให้เราทานของอร่อยของวันขอบคุณพระเจ้า แต่การที่เราได้รู้ประวัติและความเป็นมาของอาหาร ก็จะช่วยเพิ่มอรรถรสในการกินอาหารของเรามากยิ่งขึ้น
เรื่องตอนที่แล้ว “ผักชี” - อร่อยปาก อร่อยใจ” อ่านได้ที่
Gourmet Story - เรื่องราวเกี่ยวกับอาหารที่เป็นเกร็ดความรู้ เล่าสู่กันฟัง เพิ่มความอร่อยของอาหารที่เรารับประทาน ติดตามได้ที่
โฆษณา