31 ธ.ค. 2021 เวลา 23:29 • ประวัติศาสตร์
เจ้าหญิงนาซี สายลับของฮิตเลอร์
สเตฟานี ฟอน โฮเอนโลเออ (Stephanie von Hohenlohe) มิใช่เจ้าหญิงโดยสายเลือด แต่เป็นเจ้าหญิงจากการสมรสกับเจ้าชายนักการทูตชาวออสเตรียซึ่งเป็นสมาชิกพระองค์หนึ่งในราชตระกูลโฮเอนโลเออซึ่งเป็นเจ้าเยอรมันสายหนึ่ง ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตเธอเป็นสายลับให้แก่นาซี ซึ่งหน่วยเอฟบีไอเรียกเธอว่าเป็น “สายลับนาซีที่ฉลาดเป็นกรด เป็นตัวอันตรายที่สุดเทียบได้กับผู้ชายนับ 10,000 คน” เธอมีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเหล่าบุคคลชั้นสูงของนาซีรวมถึงฮิตเลอร์ โดยฮิตเลอร์เรียกเธอว่า “เจ้าหญิงที่รัก”
ในครั้งนี้ จะมาเล่าเรื่องชีวิตของเจ้าหญิงผู้เป็นสายลับอันเป็นที่รักของฮิตเลอร์ที่ทั้งแซ่บและแสบมาให้อ่านกันหลังจากที่ห่างหายหัวไปนานนับ 2 เดือน
ภาพของสเตฟานีในปี 1932 ที่มา: Spartacus-education.com
🎭 พื้นเพ
รากเหง้าดั้งเดิมของสตรีผู้นี้เป็นสามัญชนที่บ้างก็ว่ามาจากครอบครัวที่มีเชื้อสายยิวจากฝั่งแม่ที่ชื่อลุดมิลล่า คูรานด้า (Ludmilla Kuranda) ส่วนพ่อชื่อว่าโยฮันน์ เซบาสเตียน ริชเตอร์ (Johann Sebastian Richter) ซึ่งทำอาชีพเป็นทันตแพทย์หรือไม่ก็เป็นนักกฎหมายชั้นผู้น้อย แต่บ้างก็ว่าจริง ๆ แล้วเธอเป็นลูกนอกกฎหมายของทั้งพ่อและแม่ที่เป็นชาวยิว เพราะแม่ของเธอแอบไปมีชู้กับชายชาวยิวด้วยกันผู้ประกอบอาชีพเป็นคนปล่อยเงินกู้ในตอนที่โยฮันน์ติดคุกในข้อหาฉ้อโกงเป็นเวลา 7 เดือน
1
ดูเหมือนว่า พันธุกรรมแห่งความมากรักนี้ในเวลาต่อมาก็ตกทอดสู่ลูกสาวด้วยเช่นเดียวกัน แต่สเตฟานีจะเติบโตขึ้นมาเป็นสตรีที่ฉลาดแกมโกง เป็นนักฉวยโอกาส แถมยังเก่งกาจในการแสวงหาความนิยมชมชอบจากผู้ชายได้อย่างหาตัวจับยาก
ชื่อเดิมของเธอคือสเตฟานี จูเลียน ริชเตอร์ (Stephany Julienne Richter) เธอเกิดเมื่อปี 1891 ที่กรุงเวียนนา เมื่อครั้งที่ยังเป็นเมืองหลวงแห่งหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี (แต่บ้างก็ว่าเธอเกิดที่กรุงปราก)
1
ชื่อสเตฟานีของเธอถูกตั้งตามเจ้าหญิงสเตฟานีแห่งเบลเยียม ผู้กลายมาเป็นชายาของมกุฎราชกุมารรูดอล์ฟ พระโอรสองค์เดียวของจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ ที่ 1 แห่งออสเตรีย การตั้งชื่อนี้ราวกับว่าจะรู้ล่วงหน้าว่าในกาลข้างหน้าเด็กน้อยผู้นี้ก็จะได้กลายเป็นเจ้าหญิงองค์หนึ่งเช่นกัน
การศึกษาเบื้องต้นเป็นสิ่งที่เด็กน้อยสเตฟานีไม่ชื่นชอบเอาเสียเลย เธอมีผลการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่ย่ำแย่ แต่ก็พอไปได้กับวิชาฟิสิกส์ และได้คะแนนดีในวิชาพละและประวัติศาสตร์
1
พอโตเป็นสาวน้อยวัย 15 ปี สเตฟานีก็เข้าเรียนเพื่อฝึกหัดการเต้นบัลเลต์ที่ราชอุปรากรแห่งกรุงเวียนนา จากนั้นก็ถูกส่งไปเรียนภาษาอังกฤษ เธอมีพรสวรรค์ด้านภาษามาก เมื่ออายุได้ 21 ปีเธอสามารถพูดได้หลายภาษา
1
แต่ชื่อเสียงความงามของเธอเป็นที่รู้กันทั่วตั้งแต่ตอนเยาว์วัยในตอนอายุ 16 ปี แถมเธอเป็นคนที่รู้จักใช้ความสวยสะพรั่ง ความมีเสน่ห์ และความช่ำชองโลก เพื่อพาตัวเองเข้าสู่สังคมชั้นสูงของเวียนนาตั้งแต่ที่ยังเป็นสาวน้อยวัยแรกรุ่น เธอมีพรสวรรค์ในการทำให้ตัวเองเป็นจุดรวมของความสนใจเวลาที่มีการจัดงานสังสรรค์ขึ้น
เจ้าหญิงสเตฟานีผู้เป็นยิว ที่มา Daily Mail
🎭 สู่ตำแหน่งเจ้าหญิง
สเตฟานีพาตัวเองเข้าสู่สังคมชั้นสูง และได้ไป “คั่ว” กับชายสูงวัยผู้มียศฐาบรรดาศักดิ์ จนกระทั่งในปี 1913 ตอนที่มีอายุ 20 ต้น ๆ เธอก็ได้ไปมีความสัมพันธ์กับชายที่สมรสแล้ว ชายคนดังกล่าวนั้นเป็นถึงลูกเขยขององค์จักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ ที่ 1 คืออาร์ชดยุกฟรานซ์ ซัลวาตอร์ เจ้าชายแห่งทัสคานี (Archduke Franz Salvator, Prince of Tuscany) ที่เป็นสวามีของอาร์ชดัชเชสมารี วาเลอรี แห่งออสเตรีย (Archduchess Marie Valerie of Austria) ผู้สูงวัยกว่าเธอเป็น 20 กว่าปี
2
มิเพียงเท่านั้น สเตฟานีดันบังเกิดได้ตั้งท้องลูกของอาร์ชดยุกฟรานซ์ ซัลวาตอร์ขึ้นมาด้วย แต่เธอไม่ได้มีความสัมพันธ์กับชายแค่คนเดียว เธอยังเที่ยวไปหลับนอนกับชายชั้นสูงคนอื่นด้วย หนึ่งในนั้นมีเจ้าชายฟรีดริช ฟรานซ์ ฟอน โฮเอนโลเออ-วาลเดนเบิร์ก-ชิลลิงส์เฟิร์ส (Prince Friedrich Franz von Hohenlohe-Waldenburg-Schillingsfürst) ที่สูงวัยกว่าเธอราวสิบปีเศษ
การที่จะให้อาร์ชดยุกฟรานซ์ ซัลวาตอร์ ที่สมรสแล้วรับผิดชอบลูกในท้องให้คงเป็นไปลำบาก สเตฟานีจึงไปหลอกเจ้าชายฟรีดริชว่าเธอตั้งท้องลูกของเขา สเตฟานีจึงได้สมรสกับผู้ที่มีสถานะเป็นเจ้าชายจากราชตระกูลเยอรมันเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ปี 1914 ที่กรุงลอนดอน อันเป็นปีเดียวกับที่สงครามโลกครั้งที่ 1 ระเบิดขึ้นมา
เมื่อได้สมรสกับเจ้าชาย สเตฟานีเลยถูกยกสถานะกลายเป็นเจ้าหญิง และเธอก็ใช้คำนำหน้าว่า “เจ้าหญิง” ตลอดชีวิตถึงแม้ว่าภายหลังจะหย่ากับเจ้าชายฟรีดริชก็ตาม (ซึ่งแตกต่างจากเจ้าอังกฤษ ที่สตรีสามัญชนเมื่อมาสมรสกับเจ้าชายอังกฤษจะไม่ถูกยกสถานะเป็นเจ้าหญิงแต่จะถูกเรียกตามบรรดาศักดิ์ที่ได้รับตามเจ้าชายที่เป็นสวามี)
เจ้าชายฟรานซ์ โจเซฟ (Prince Franz Josef) ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ปี 1914 ที่กรุงเวียนนา บรรดาพระญาติในราชตระกูลโฮเอนโลเออต่างกังขาว่าเด็กที่เกิดมาจะไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกับพวกตน แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงรับรองสถานะของเด็กผู้นี้ ซึ่งมีชื่อเต็มอันยาวเหยียดว่า Franz Josef Rudolf Hans Weriand Max Stefan Anton von Hohenlohe-Waldenburg-Schillingsfürst
1
สเตฟานีหย่าขาดกับเจ้าชายฟรีดริชเมื่อปี 1920 และในปีเดียวกันนั้นเจ้าชายก็ได้สมรสใหม่กับสตรีชั้นสูงชาวฮังการีที่มีสถานะเป็นเคาท์เตส ส่วนฝ่ายสเตฟานียังคงมีสถานะเป็นเจ้าหญิงอยู่และใช้นามสกุล Hohenlohe-Waldenburg-Schillingsfürst ต่อตามธรรมเนียมออสเตรีย และดำรงตนว่าอยู่ในสถานะเจ้าหญิงมาโดยตลอด
สเตฟานีจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ในแวดวงสังคมราชวงศ์ยุโรปมาตลอด ร่วมงานสังสรรค์ปาร์ตี้ของสังคมชั้นสูงเสมอ แถมยังมีมิตรสหายเป็นสมาชิกราชวงศ์อังกฤษและเยอรมันด้วย
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น สเตฟานีทำหน้าที่เป็นพยาบาลสนามให้กับกองทัพออสเตรียในแนวรบด้านตะวันออก และติดตามกองทัพพร้อมกับพยาบาลสนามคนอื่น ๆ ไปในแนวหน้าของสนามรบด้วย แต่เธอไม่ได้ทำหน้าที่เยี่ยงพยาบาลทั่วไป เธอมีคนรับใช้ติดตามตัวไปด้วย
พอสงครามยุติและเธอได้หย่า สเตฟานีไปพำนักอยู่ที่ฝรั่งเศส และใช้ชีวิตหรูหราฟู่ฟ่า เธอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับชายมากหน้าหลายตา ซึ่งล้วนแต่มีฐานะหรือไม่ก็มียศฐาบรดาศักดิ์ ไม่ว่าจะเป็นดยุกแห่งเวสมินเตอร์คนที่ 2 (Duke of Westminster) จอห์น วอร์เดน (John Warden) ซึ่งถึงแม้คราวนี้จะไม่มียศฐาบรรดาศักดิ์สูงส่ง แต่เขาคือหนึ่งในหุ้นส่วนรายใหญ่ที่สุดของบริษัทน้ำมัน Standard Oil ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเจ้าของคือ จอห์น ดี ร็อกกี้เฟลเลอร์ มหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งชาวอเมริกัน ซึ่งปัจจุบันบริษัทนี้ก็กลายมาเป็นบริษัท ExxonMobil และยังเคยเป็นเมียน้อยของนักธุรกิจด้านประกันผู้มั่งคั่งชื่อว่าเซอร์วิลเลียม การ์ธเวท (Sir William Garthwaite)
1
ภาพที่น่าจะเป็นรูปของสเตฟานีกับเจ้าชายฟรานซ์ โจเซฟ ที่มา: Alchetron
🎭 สายลับนาซี
ในปี 1927 สเตฟานีได้พบกับชายผู้ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับ 3 บนเกาะอังกฤษผู้เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ Daily Mail และ Daily Mirror นามว่าแฮร์โรลด์ ซิดนีย์ แฮมเวิร์ธ (Harold Sidney Harmsworth) หรือลอร์ดรอธเธอร์เมียร์ (Lord Rothermere) เพราะได้ไปเจอกันที่คาสิโนที่เมืองมอนติ คาร์โล และจากนั้นต่างคนต่างก็รู้สึกนิยมชมชอบซึ่งกันและกันมาโดยตลอด
สเตฟานีเห็นอกเห็นใจและเข้าข้างประเทศผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งถูกปฏิบัติอย่างเลวร้ายจากสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ลอร์ดรอธเธอร์เมียร์ทั้งทึ่งและนิยมที่ตัวเธอเข้าใจสถานการณ์ได้ดีขนาดนี้ เธอใช้อิทธิพลเหนือลอร์ดรอธเธอร์เมียร์ให้หนังสือพิมพ์ Daily Mail เขียนบทความแสดงความเห็นอกเห็นใจที่สนธิสัญญาแวร์ซายส์บังคับกดขี่เยอรมนีมากเกินไป
สเตฟานีพำนักอยู่ที่ปารีสจนกระทั่งรัฐบาลฝรั่งเศสกดดันให้เธอออกจากประเทศเพราะสงสัยว่าเธอเป็นสายลับจากการกระทำเหล่านี้ เธอจึงย้ายนิวาสสถานไปพำนักอยู่ที่โรงแรมหรูในย่านเมย์แฟร์ ที่กรุงลอนดอนตั้งแต่ปี 1932
ลอร์ดรอธเธอร์เมียร์เป็นบุคคลที่ชื่นชอบฮิตเลอร์ในตอนแรก มิหนำซ้ำยังอุทิศตนเป็นพันธมิตรกับเยอรมนี เขาจึงได้มอบเงินให้เธอใช้เดือนละ 5,000 ปอนด์ หรือคิดเป็น 200,000 ปอนด์ตามค่าเงินปัจจุบัน (แต่บางแหล่งบอกว่าเงินจำนวนนี้ให้เป็นเงินรายปี) เงินจำนวนนี้มอบให้เพื่อสเตฟานีในการสนับสนุนเยอรมนี และหาเครือข่ายพรรคพวกเพื่อสนับสนุนเยอรมนีในแวดวงชั้นสูงอันทรงอิทธิพลของเธอ และเขายังหวังว่าสเตฟานีจะแนะนำให้เขารู้จักบุคคลซึ่งเป็น “วงใน” ของนาซี
2
ด้วยสถานะเจ้าหญิง ณ ที่นั้นเธอได้เข้าสังคมเพื่อสร้างสายสัมพันธ์กับชนชั้นสูงในอังกฤษ ทั้งเหล่าขุนนางผู้มีบรรดาศักดิ์ สมาชิกรัฐสภา ซึ่งพวกนาซีเห็นว่ามีประโยชน์ต่อรัฐบาลใหม่ของพวกตนภายหลังจากที่พวกนาซีขึ้นสู่อำนาจเมื่อปี 1933 โดยเธอทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสารลับให้แก่บุคคลผู้มีตำแหน่งหน้าที่ระดับสูงในอังกฤษที่เห็นอกเห็นใจเยอรมนี
1
สเตฟานียังได้ดำเนินการวิ่งเต้นอย่างลับ ๆ เพื่อเรียกร้องให้มีการคืนดินแดนบางส่วนของเยอรมนีที่ถูกยึดไปในสงครามโลกครั้งที่ 1 คืนให้แก่เยอรมนีดังเดิม ซึ่งลอร์ดรอธเธอร์เมียร์ให้ทุนการดำเนินงานเรื่องนี้แก่เธอเป็นจำนวน 300,000 ปอนด์ หรือคิดเป็น 13 ล้านปอนด์ตามค่าเงินปัจจุบัน
1
ข้อมูลตรงนี้ระบุต่างกัน บางแหล่งกล่าวว่าหลังจากที่ฮิตเลอร์ขึ้นสู่อำนาจในปี 1933 เขาได้สั่งการให้เธอโน้มน้าวให้ลอร์ดรอธเธอร์เมียร์ดำเนินการเรียกร้องให้คืนดินแดนที่เยอรมนีเสียไปในสงครามโลกครั้งที่ 2 กลับคืนมา ซึ่งหากเธอทำสำเร็จเธอจะได้รับเงินจำนวน 300,000 ปอนด์
รัฐบาลอังกฤษ ฝรั่งเศส และอเมริกัน ต่างสงสัยว่าเธอเป็นสายลับให้แก่รัฐบาลนาซีเยอรมัน อีกทั้งดำรงบทบาทวิ่งเต้นให้ชาวอังกฤษสนับสนุนฝ่ายเยอรมนีด้วย ซึ่งคุณูปการเหล่านี้ทำให้เธอได้รับรางวัลเป็นเหรียญทองจากพรรคนาซี
ฮิตเลอร์กับลอร์ดรอธเธอร์เมียร์ ที่มา: Spartacus-education.com
🎭 มิตรภาพกับฮิตเลอร์
สเตฟานีได้รู้จักมักจี่กับบุคคลระดับสูงของเยอรมนี เช่น เอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำอังกฤษ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคนาซี อย่าง ไฮน์ริช ฮิมเลอร์ (Heinrich Himmler) ซึ่งประกาศให้เธออยู่ในฐานะ “ชาวอารยันกิตติมศักดิ์")
และต่อมาสเตฟานีก็ได้รู้จักกับ ฟูเรอร์ หรือท่านผู้นำ คือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ คำถามคือ เธอรู้จักฮิตเลอร์เป็นการส่วนตัวได้อย่างไร?
เหตุเพราะสเตฟานีได้เป็นชู้รักของกัปตันฟริตซ์ ไวเดอร์มานน์ (Captain Fritz Wiedemann) ซึ่งเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของฮิตเลอร์ มาตั้งแต่ปี 1937 ดังนั้น เธอจึงสามารถติดต่อกับฮิตเลอร์ผ่านคู่รักของเธอได้ ซึ่งเธอทำให้ฮิตเลอร์สนใจในตัวเธอได้อย่างรวดเร็ว และยังได้รับแจ้งว่าลอร์ดรอธเธอร์เมียร์มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือพรรคนาซี แถมเขายังส่งของขวัญราคาแพงให้กับฮิตเลอร์หลายชิ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้วย
สเตฟานีจัดแจงให้มีงานเลี้ยงมื้ออาหารค่ำเกิดขึ้น เพื่อให้ฮิตเลอร์ได้พบปะกับลอร์ดรอธเธอร์เมียร์ และบุคคลสำคัญอื่น ๆ ซึ่งสเตฟานีกับลอร์ดรอธเธอร์เมียร์ได้พบกับฮิตเลอร์ตัวต่อตัวที่สถานที่พักผ่อนของเขาที่เมืองทางตอนใต้ของเยอรมนีชื่อว่าเบิร์กซ์เติชกาดดึน (Berchtesgaden) ซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่พลเมืองชาวอังกฤษจะได้รับเชิญเช่นนี้
ฮิตเลอร์ประทับใจในตัวสเตฟานีมาก เขาจึงมอบปราสาทหลังหนึ่งที่พวกนาซียึดมาได้เพื่อมอบเป็นรางวัลให้แก่เธอ และเรียกเธออย่างชิดเชื้อว่า “เจ้าหญิงที่รัก” (แต่บ้างก็ว่าปราสาทแห่งนี้ผู้ที่มอบให้เป็นบุคคลอื่นในพรรคนาซี)
ในฐานะสายลับนาซี เธอเดินทางไปทั่วเพื่อพบปะกับเครือข่ายนาซีหรือไม่ก็พบปะผู้คนระดับสูงเพื่อหาการสนับสนุนฝั่งเยอรมนีในการทำสงคราม ซึ่งจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า เช่นปี 1937 เธอเดินทางไปสหรัฐฯ ซึ่งหนังสือพิมพ์ที่นั่นก็ลงข่าวว่าเธอคือสายลับของนาซี หรือเมื่อเดินทางคืนกลับมายังยุโรปเธอก็ได้จัดแจงให้ชู้รักของเธอได้ประชุมลับกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของอังกฤษ ซึ่งพอเรื่องนี้เป็นข่าวหลุดออกไปได้สร้างความโกรธแค้นแก่สาธารณชนมาก แถมยังทำให้ฝั่งฝรั่งเศสไม่สบอารมณ์อย่างรุนแรงเพราะคิดว่าอังกฤษพยายามเป็นมิตรสร้างสันติกับเยอรมนีลับหลังประเทศตน
เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อนักการเมืองมีชื่ออังกฤษเดินทางไปเยือนซูเดนเทน (Sudentenland) ดินแดนข้อพิพาทที่ฮิตเลอร์ต้องการยึดจากเชคโกสโลวาเกียเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ เขาไปพำนักที่ปราสาทที่ฮิตเลอร์มอบแก่สเตฟานี แถมถูกเธอชักจูงจนเขียนจดหมายกลับไปแจ้งแก่นายกรัฐมนตรีอังกฤษในเวลานั้นคือเนวิลล์ เเชมเบอร์เลน (Neville Chamberlian) ว่าประชาชนชาวซูเดนเทนต้องการเข้าร่วมเยอรมนี ซึ่งส่งผลให้อังกฤษตกลงใจทำข้อตกลงยอมรับให้ดินแดนดังกล่าวเป็นของเยอรมนีเพื่อแลกกับเงื่อนไขที่จะไม่รุกรานส่วนที่เหลือของเชคโกสโลวาเกีย ซึ่งฮิตเลอร์ก็ลงนามในข้อตกลงนี้ แต่ก็ผิดสัญญาภายหลังในไม่กี่เดือนต่อมา ตรงกับคำกล่าวที่ว่า ไม่มีสัจจะในหมู่โจร
1
แม้กระทั่งการเยือนเยอรมนีของอดีตกษัตริย์อังกฤษผู้สละราชบัลลังก์กับชายาอเมริกันของพระองค์คือเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งวินด์เซอร์ (Edward, Duke of Windsor) กับวอลลิส ดัชเชสแห่งวินเซอร์ ก็มีสเตฟานีเป็นผู้จัดการให้
2
จะเห็นได้ว่า การดำเนินงานของสเตฟานีส่งอิทธิพลต่อเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อยู่ไม่น้อยเลย
1
สเตฟานีกับฟริตซ์ ไวเดอร์มานน์ ที่มา: Spartacus-education.com
🎭 วงแตกจึงต้องแยกทาง
จากรายงานของ MI6 ซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรองของอังกฤษ ระบุว่า ท่านผู้นำฮิตเลอร์เรียกตัวสเตฟานีไปพบอยู่บ่อย ๆ เพราะนิยมในความเฉลียวฉลาดและคำแนะนำดี ๆ จากเธอ ดูเหมือนว่าสเตฟานีจะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่มีอิทธิพลเหนือท่านผู้นำ
ต่อมา พอฮิตเลอร์รู้ว่าสเตฟานีเป็นชู้รักกับที่ปรึกษาส่วนตัวของเขาแถมเธอยังเป็นยิววงก็แตกทันที เขาตัดเธอออกจากเครือข่ายวงในของเขา มิหนำซ้ำการที่เธอกับชู้รักที่ปรึกษาส่วนตัวของฮิตเลอร์ทำการคัดค้านเขาเรื่องการบุกเชคโกสโลวาเกียเป็นการก้าวเท้าผิดข้าง กัปตันฟริตซ์ ไวเดอร์มานน์จึงถูกส่งไปเป็นกงสุลเยอรมนีประจำเมืองซานฟรานซิสโกที่สหรัฐอเมริกา ส่วนสเตฟานีจึงย้ายออกมาจากปราสาทที่มอบเป็นของขวัญกลับอังกฤษไป
พอกลับอังกฤษ ลอร์ดรอธเธอร์เมียร์มอบเช็คจำนวน 5,000 ปอนด์ให้กับเธอเป็นครั้งสุดท้าย และแจ้งว่าเขาจะไม่จ่ายเงินค่าใช้จ่ายให้กับเธออย่างที่เคยจ่ายให้อีกต่อไป สเตฟานีจึงเปิดศึกโดยการฟ้องร้องต่อศาลว่าลอร์ดรอธเธอร์เมียร์ได้ผิดสัญญากับเธอว่าจะจ่ายเงินให้ไปตลอดชีวิต เธอว่าจ้างทนายคนเดียวกับที่ทำคดีหย่าให้กับวอลลิส ซิมป์สัน
แต่สเตฟานีแพ้คดีที่ยื่นฟ้องนี้ไป แต่กระนั้น ลอร์ดรอธเธอร์เมียร์ก็ยังมอบเงินก้อนใหญ่พอควรให้กับเธอเพื่อแลกให้เธอออกจากประเทศอังกฤษไป และทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้เธอตีพิมพ์บันทึกเรื่องราวระหว่างเธอกับเขา
ด้วยเหตุนี้ สเตฟานีจึงย้ายไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาพร้อมกับแม่ของเธอโดยใช้ชื่อปลอมเพราะเกรงว่าสื่อจะตามรุมทึ้งเธอ แต่ถึงอย่างนั้น พอขึ้นเรือไป นักข่าวก็เข้ามาทักทายกับเธอทันที
ภาพถ่ายเมื่อเดือนมกราคม ปี 1936 ซึ่งมีทั้งฮิตเลอร์ ลอร์ดรอธเธอร์เมียร์ และสเตฟานี ที่มา: Spartacus-education.com
🎭 เชลยที่เป็นสายลับ
บางแหล่งข้อมูลก็ระบุแตกต่างไปว่า เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดขึ้นในปี 1939 ด้วยความกลัวว่าจะถูกจับเพราะเป็นสายลับให้กับเยอรมนี สเตฟานีจึงหนีจากลอนดอนข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังสหรัฐอเมริกาที่เมืองซานฟรานซิสโกเพื่อไปสมทบกับคู่รักของเธอ แต่ทั้งคู่ถูกเจ้าหน้าที่เอฟบีไอจับตามองอย่างใกล้ชิด
ปี 1941 สเตฟานีถูกกักตัวเป็นเวลาหลายวันโดยเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่โรงแรมในกรุงวอชิงตันดีซี แล้วเธอก็ไปมีความสัมพันธ์กับผู้อำนวยการตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐอเมริกาเป็นเวลาหลายเดือนเหตุเพราะอาศัยอยู่ในโรงแรมแห่งเดียวกัน
แต่พอเมื่ออ่าวเพิร์ลของสหรัฐอเมริกาถูกโจมตีโดยญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสงครามโลกอย่างเป็นทางการ เธอจึงถูกเจ้าหน้าที่จากหน่วยเอฟบีไอกักตัวไว้ในฐานะชาวต่างด้าวที่เป็นศัตรู เอฟบีไอหวาดระแวงว่าสเตฟานีจะใช้อิทธิพลและเครือข่ายที่มีจนสร้างผลกระทบแก่สงครามโลกครั้งที่ 2 เธอจึงถูกส่งตัวไปที่ค่ายกักกันทั้งที่รัฐฟิลาเดลเฟียและเท็กซัส
ประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี รูสเวลท์ (Franklin D. Roosevelt) ได้กระตุ้นเป็นการส่วนตัวให้ผู้อำนวยการเอฟบีไอในเวลานั้นให้เนรเทศสเตฟานีออกจากประเทศไป แต่คณะกรรมมาธิการด้านกฎหมายล้มเลิกการส่งตัวเธอออกนอกประเทศ
ในระหว่างถูกจับกุมตัว สเตฟานีได้ให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับรายละเอียดด้านบุคลิกภาพของฮิตเลอร์ให้กับทางการอเมริกันเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ทางจิตวิทยา ซึ่งจากการวิเคราะห์นี้ทำนายว่าฮิตเลอร์จะฆ่าตัวตายถ้าเยอรมนีแพ้สงคราม
ภาพสเตฟานีในนิตยสาร Life Magazine เมื่อปี 1939 ที่มา: SFLUXE
🎭 ได้รับอิสรภาพ
พอมาในปี 1945 เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง สเตฟานีได้รับการปล่อยตัวก่อนกำหนดอย่างมีเงื่อนไขจากทางการอเมริกัน เธอจึงเดินทางกลับยุโรปและไปพำนักอยู่ที่ประเทศเยอรมนี และกลับไปติดต่อกับชู้รักคนเก่าคือกัปตันฟริตซ์ ไวเดอร์มานน์ อีกทั้งยังเขียนหนังสือให้กับเขา
ณ ที่แห่งนั้นเธอก็ได้ดำเนินชีวิตตามวิถีทางเดิมของตัวเองคือสร้างเครือข่ายอันทรงอิทธิพลในแวดวงสังคมที่นั่น
สเตฟานี ฟอน โฮเอนโลเออ จากโลกนี้ไปในวัย 80 ปี เมื่อปี 1972 ที่เมืองเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์
ปราสาท Schloss Leopoldskron ที่ฮิตเลอร์มอบให้แก่สเตฟานี ที่มา: SFLUXE
อ้างอิง:

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา