Thinking Error (ความคิดที่บิดเบือน)
รูปแบบของ Thinking error ที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวันของผู้ที่มีความนับถือตนเองต่ำ (Low Self-Esteem) ตัวอย่างเช่น:
All or nothing thinking – การคิดในแง่ที่แน่นอนหรือเป็นภาพขาวดำ โดยไม่มีสีเทา เป็นการคิดแบบสุดขั้ว ตัวอย่าง เช่น การคิดว่า 'ฉันล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง'
Over-generalising - การคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ครั้งเดียวเป็นสัญญาณของรูปแบบที่ยาวนาน ตัวอย่าง เช่น คิดว่า 'การที่แฟนทิ้งฉันหมายความว่าจะไม่มีใครรักฉันและฉันจะอยู่คนเดียวตลอดไป”
Fortune telling - การคาดเดาว่าสิ่งต่างๆจะกลายเป็นเรื่องเลวร้ายในอนาคตและเชื่อว่าคำทำนายเหล่านั้นจะเป็นจริง ตัวอย่างเช่น คิดว่า "ถ้าฉันออดิชั่นสำหรับละครของโรงเรียน ฉันจะทำผิดพลาดมากเกินไป และฉันจะไม่ถูกเลือกอย่างแน่นอน”
Catastrophising - กระโดดไปสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ตัวอย่างเช่นคิดว่า "ฉันทำผิดพลาดในการนำเสนอประวัติในชั้นเรียน ดังนั้นฉันจะได้รับเกรดที่ไม่ดีอย่างแน่นอน และฉันจะจบลงด้วยความล้มเหลวในชีวิตโดยสิ้นเชิง ถ้าอย่างนั้นฉันจะไม่ได้งานที่ต้องการอีกในอนาคตเลย
Mind-reading - ตั้งสมมติฐานเชิงลบเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นกำลังคิดเกี่ยวกับตัวคุณโดยที่ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ ตัวอย่างเช่น คิดว่า "ฉันรู้ว่าทุกคนที่โรงเรียนคิดว่าฉันโง่”
Magnification - ทำให้ข้อบกพร่องของคุณไม่ได้สัดส่วน ตัวอย่างเช่น คิดว่า ‘การดิ้นรนในวิชาคณิตศาสตร์ทำให้ฉันโง่’
Negative comparisons - การเปรียบเทียบตัวเองในแง่ลบกับผู้อื่น ตัวอย่างเช่น คิดว่า ‘พี่สาวของฉันเก่งกว่าฉันทุกอย่าง ฉันไม่มีประโยชน์เมื่อเทียบกับฉัน '
Unrealistic expectations - การคิดถึงตัวเองในแง่ของ "ฉันควร" หรือ "ฉันต้อง" ตัวอย่างเช่น คิดว่า "ฉันควรได้คะแนนเต็มในการสอบกีตาร์" และ คิดว่า "ฉันต้องทำให้ทุกคนพอใจ"
Focusing on the negatives - เช่นในสถานการณ์ในความคิดเห็นของคนอื่นหรือเกี่ยวกับตัวคุณเอง ตัวอย่างเช่น ไม่สามารถหยุดคิดที่จะสอบภาษาฝรั่งเศสล้มเหลว แม้ว่าเธอจะสอบได้เช่นเดียวกับวิชาอื่น ๆ ก็ตาม
Disbelieving the positives - การปฏิบัติต่อข้อมูลเชิงบวกเป็นเท็จหรือบิดเบือนข้อมูลให้เป็นเชิงลบ ตัวอย่างเช่น คิดว่า ‘ครูของฉันแค่พยายามทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเมื่อเขาบอกว่าเรียงความของฉันดี เขาไม่ได้ตั้งใจอย่างนั้นจริงๆ '
Putting yourself down - คิดต่อตัวเองในทางที่แย่ลง ตัวอย่างเช่น คิดว่า 'ฉันล้มเหลวอย่างน่าเกลียด'
Self-blame - คิดว่าทุกสิ่งที่ผิดพลาดเป็นเพราะคุณแม้ว่าจะไม่ใช่ความผิดหรือความรับผิดชอบของคุณก็ตามและคิดว่าทุกสิ่งที่คนพูดหรือทำคือปฏิกิริยาตอบสนองต่อคุณ ตัวอย่างเช่น คิดว่า ‘พ่อเหลือแค่ฉันกับแม่ เพราะฉันเป็นคนไม่ดี’
Emotional reasoning – การคิดว่าเพราะบางสิ่งบางอย่างให้ความรู้สึกเป็นจริงกับคุณ มันเป็นความจริง ตัวอย่างเช่น คิดว่า ‘ฉันรู้สึกน่าเกลียด ฉันก็เลยต้องน่าเกลียด’
I can’t’ thinking - สงสัยในความสามารถของคุณในการทำบางสิ่งเนื่องจากคุณมีมุมมองตัวเองและความสามารถของคุณอย่างไร ตัวอย่างเช่น คิดว่า "ฉันไม่สามารถลองทีมฮ็อกกี้ของโรงเรียนได้เพราะฉันทำได้ไม่ดีพอ"
Blaming others - โทษคนอื่นว่าคุณรู้สึกอย่างไรกับตัวเอง ตัวอย่างเช่น คิดว่า 'ถ้าแม่ของฉันปล่อยให้ฉันทำในสิ่งที่ฉันอยากทำ ฉันจะไม่ตะโกนใส่เธอและรู้สึกว่าเป็นคนเลว' และอีกตัวอย่าง คิดว่า 'ถ้าคนอื่นพูดในสิ่งที่ดีกว่าเกี่ยวกับตัวฉันฉันจะรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น'
เป็นเรื่องปกติที่เราทุกคนจะมีข้อผิดพลาดในการคิดเกี่ยวกับตัวเองในชีวิตประจำวันอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อเราติดอยู่ในวงจรอุบาทว์ของความนับถือตนเองที่ต่ำ จากความคิดที่บิดเบือนเหล่านี้จะเกิดบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากนั้นไม่นานความคิดบิดเบือนเหล่านี้ จะเริ่มวนเวียนอยู่ในใจของคุณจนรู้สึกราวกับว่าคุณไม่สามารถกำจัดมันออกไปจากจุดนั้นได้ จนมันไปเสริมสร้างความคิดเชิงลบมากขึ้นเรื่อยๆ
การเกิดความเชื่อเบื้องลึกซึ่งเกี่ยวกับตัวเองนั้น ทำให้คุณรู้สึกถึงอารมณ์เชิงลบที่หลากหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เช่น การขาดความมั่นใจ ความสงสัยในตนเอง และความกลัวที่จะถูกปฏิเสธ ความล้มเหลวความอัปยศอดสู และการถูกตัดสินจากผู้อื่นในแง่ลบ
อย่าลืมว่าความคิดพวกนี้เป็นเพียงแค่ความคิด มันไม่ได้เป็นจริง เราไม่ได้เป็นเช่นความคิดนั้นนะคะ
cr รูปภาพ: https://www.quora.com/
Reference: BANISH Your Self-Esteem Thief, A Cognitive Behavioral Therapy Workbook on Building Positive Self-Esteem for Young People
- 1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
