8 ก.พ. 2022 เวลา 05:54 • ไอที & แก็ดเจ็ต
ศัพท์ S&T ทันโลก ตอน 3
จาก 1G ถึง 5G (ตอน 1)
https://pixabay.com/photos/network-5g-cellular-technology-6926764/
ถึงวันนี้คนที่ไม่มี "มือถือ" คงน้อยลงๆ ทุกที มีมือถือทั่วโลกตอนนี้ราว 7 พันล้านเครื่อง ซึ่งเกือบเท่ากับจำนวนประชากรโลก แม้ว่าบางคนมีมากกว่า 1 เครื่องและมีอีกหลายคนที่ไม่มีสักเครื่องก็ตาม
มีผู้ประเมินว่าในปี ค.ศ. 2020 จะมีอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งมือถือและทั้งที่ไม่ใช่มือถือ เช่น อุปกรณ์ในรถยนต์หรือบ้านที่เชื่อมต่อออนไลน์มากถึง 2.5 แสนล้านชิ้น
คราวนี้ลองดูที่แอป(พลิเคชัน) สำหรับมือถือบ้าง ก็ประเมินว่าจะเพิ่มแบบก้าวกระโดดจาก 1 แสนล้านแอปใน ค.ศ. 2013 เป็น 2.7 แสนล้านแอปใน ค.ศ. 2017 !
เมื่อรวมกับว่าเว็บโซเชียลมีเดียยอดนิยมอย่าง เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ และยูทูบ ที่มีข้อมูลมหาศาลและเพิ่มมากขึ้นทุกนาที นั่นย่อมหมายความว่า ผู้คนทั่วโลกต่างก็ต้องการช่องทางที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสารข้อมูลปริมาณมากอย่างรวดเร็ว แม่นยำ และไม่ขาดหกตกหล่น
หลายคนเลยเรียกหา 4G เอ๊ะ แล้ว คำว่า 4G นี่หมายถึง อะไรกันแน่ครับ
https://pixabay.com/illustrations/technology-5g-icon-person-man-5348129/
ย้อนอดีต 1G กับ 2G
คำว่า G ในที่นี้ ก็มาจากคำว่า generation หรือ "รุ่น" และ 4G ก็หมายถึง มาตรฐานของระบบเทคโนโลยีมือถือที่ก้าวเข้าสู่รุ่นที่ 4 นั่นเอง แน่นอนว่ากว่าจะมาถึง 4G ก็มี 1G 2G และ3G มาแล้ว กล่าวสรุปแบบย่อสุดๆ คือ 1G เป็นมาตรฐานแรกสุดที่ทำให้สามารถเชื่อมต่อสัญญาณ "เสียง" ของมือถือได้ แต่ยังเป็นแบบแอนะล็อก (analog) อยู่
มือถือยุค 1G นั้นมีภาพคือ เป็นรุ่นที่ใหญ่น้องๆ ดัมเบลยกน้ำหนัก จนมีคนแอบแซวว่าเป็นรุ่น "กระดูกหมู" แต่กลับกันราคาแพงสุดๆ จนสามารถใช้อวดความมั่งมีได้ คล้ายกับรถยนต์หรูๆ
ในเทคโนโลยีรุ่นนี้ แต่ละคลื่นความถี่จะมีช่องสัญญาณย่อยๆ ที่มีผู้ใช้งานได้เพียงคนเดียว เปรียบได้กับถนนแคบๆ ที่มีรถบรรทุกคนเดียววิ่งบรรทุก "สัญญาณวิทยุ" ก้อนเดียวไปส่งที่ปลายทาง จึงต้องการช่องสัญญาณจำนวนมาก เพื่อไม่ให้สัญญาณเสียงที่ส่งออกไปรบกวนกัน ระบบนี้จึงมีข้อจำกัดอยู่มาก แถมแบตเตอรี่สมัยนี้ก็ยังไม่ดีนัก จึงมักเห็นตัวโทรศัพท์ตั้งบนแท่นชาร์จแทบตลอดเวลา
พอมาถึง 2G สัญญาณก็เป็นดิจิทัล (digital) เรียบร้อย 2G ทำให้ส่งสัญญาณเสียงหากันได้มากขึ้นกว่าเดิมภายในช่องสัญญาณเดียว เหมือนรถบรรทุกที่มีพื้นที่บรรทุกสัญญาณเสียงไปเป็น "หีบห่อ" ได้ จึงจุมากกว่าเดิมที่บรรทุกไปแค่ก้อนเดียว เพราะมีเทคโนโลยีที่ช่วยให้สามารถ "บีบอัด" สัญญาณเสียงหลายๆ สัญญาณ จึงส่งไปพร้อมๆ กันได้แบบเป็นแพ็ก ก่อนไปแยกสัญญาณกลับที่ปลายทาง
มือถือ 2G เล็กลงมากจนถือด้วยมือได้สบายๆ ไม่ได้เป็นตุ้มน้ำหนักแบบเดิมอีกแล้ว ลักษณะเด่นอีกอย่างของรุ่นนี้ก็คือ ส่งเป็นข้อความได้ด้วย แทนที่จะต้องโทร.หากันอย่างเดียว
 
ถึงยุคนี้ก็มีการแข่งขันกันสร้างระบบมาตรฐาน โดยระบบแบบอเมริกาที่เรียกว่า D-AMPS กับระบบ GSM ที่เริ่มใช้กันในยุโรป และผลก็เป็นดังที่เห็นคือ D-AMPS เลิกใช้ไปเรียบร้อยโรงเรียนอเมริกันแล้ว ขณะที่ GSM ยังคงใช้กันอยู่ คำว่า GSM ย่อมาจากคำเต็มว่า Global System for Mobile Communication (ระบบสื่อสารโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งเชื่อมโยงกันได้ทั่วโลก) แต่บ้างก็ว่ามาจะมาจากชื่อเดิมว่า Groupe Spécial Mobile ที่บุกเบิกเทคโนโลยีนี้
 
ปัญหาสำคัญของมือถือรุ่น 2G ก็คือ การเชื่อมต่อสัญญาณระหว่างเคลื่อนที่จะยังไม่ดีนัก จึงอาจมีปัญหา "สายหลุด" ให้รำคาญใจได้บ้าง
[ตอนหน้ามาต่อที่ 3G ไปจนจบครับ]
https://pixabay.com/illustrations/internet-5g-technology-connection-4899254/

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา