25 ก.พ. 2022 เวลา 14:16 • ปรัชญา
"จิตที่เพลินกับอารมณ์ ละได้ด้วยการมีอินทรียสังวร
(การสํารวมอินทรีย์)"
1. เมื่อมีสติ ความเพลินย่อมดับ
2. กายคตาสติ มีความสำคัญต่ออินทรียสังวร
ลักษณะของผู้ไม่ตั้งจิตในกายคตาสติ (จิตที่ไม่มีเสาหลัก)
ลักษณะของผู้ตั้งจิตในกายคตาสติ (จิตที่มีเสาหลักมั่นคง)
3. อินทรียสังวรปิดกั้นการเกิดขึ้นแห่งบาปอกุศล
  • เมื่อมีสติ ความเพลินย่อมดับ
ภิกษุทั้งหลาย!  
ภิกษุนั้น เห็นรูปด้วยตาแล้ว
ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในรูป
อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความรัก
ย่อมไม่ขัดเคือง ในรูป
อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความเกลียดชัง ...
ภิกษุนั้น ได้ยินเสียงด้วยหูแล้ว
ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในเสียง
อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความรัก
ย่อมไม่ขัดเคือง ในเสียง
อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความเกลียดชัง ...
ภิกษุนั้น รู้สึกกลิ่นด้วยจมูกแล้ว
ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในกลิ่น
อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความรัก
ย่อมไม่ขัดเคือง ในกลิ่น
อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความเกลียดชัง ...
ภิกษุนั้น ลิ้มรสด้วยลิ้นแล้ว
ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในรส
อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความรัก
ย่อมไม่ขัดเคือง ในรส
อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความเกลียดชัง ...
ภิกษุนั้น ถูกต้องสัมผัสด้วยกายแล้ว
ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในสัมผัสทางกาย
อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความรัก
ย่อมไม่ขัดเคือง ในสัมผัสทางกาย
อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความเกลียดชัง ...
ภิกษุนั้น รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว
ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในธรรมารมณ์
อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความรัก
ย่อมไม่ขัดเคือง ในธรรมมารมณ์
อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความเกลียดชัง
เป็นผู้อยู่ด้วยสติเป็นไปในกายอันตนเข้าไปตั้งไว้แล้ว
มีจิตหาประมาณมิได้ด้วย
ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ
อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็นบาปอกุศลทั้งหลายด้วย
ภิกษุนั้น เป็นผู้ละเสียได้แล้ว
ซึ่งความยินดี และความยินร้ายอย่างนี้แล้ว
เสวยเวทนาใดๆ อันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม
มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ
ไม่เมาหมกอยู่ ในเวทนานั้นๆ
เมื่อภิกษุนั้น ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ
ไม่เมาหมกอยู่ ในเวทนานั้นๆ
นันทิ (ความเพลิน) ในเวทนาทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมดับไป
เพราะความดับแห่งนันทิของภิกษุนั้น
จึงมีความดับแห่งอุปาทาน
เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน
จึงมีความดับแห่งภพ
เพราะมีความดับแห่งภพ
จึงมีความดับแห่งชาติ
เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล
ชรามรณะ โสกะปริเทวะฯ จึงดับสิ้น
ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
  • กายคตาสติ มีความสำคัญต่ออินทรียสังวร
ลักษณะของผู้ไม่ตั้งจิตในกายคตาสติ
(จิตที่ไม่มีเสาหลัก)
ภิกษุทั้งหลาย!  
เปรียบเหมือนบุรุษจับสัตว์หกชนิด
อันมีที่อยู่อาศัยต่างกัน มีที่เที่ยวหากินต่างกัน
มาผูกรวมกันด้วยเชือกอันมั่นคง
คือ เขาจับงู มาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึ่ง
จับจระเข้...จับนก...จับสุนัขบ้าน...จับสุนัขจิ้งจอก...
จับลิง มาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึ่งๆ
แล้วผูกรวมเข้าด้วยกัน เป็นปมเดียวในท่ามกลาง ปล่อยแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย!  
ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้นทั้งหกชนิด มีที่อาศัยและที่เที่ยวต่างๆ กัน
ก็ยื้อแย่งฉุดดึงกัน เพื่อจะไปสู่ที่อาศัยที่เที่ยวของตน ๆ
งูจะเข้าจอมปลวก จระเข้จะลงน้ำ นกจะบินขึ้นไปในอากาศ
สุนัขจะเข้าบ้าน สุนัขจิ้งจอกจะไปป่าช้า ลิงก็จะไปป่า
ครั้นเหนื่อยล้ากันทั้งหกสัตว์แล้ว
สัตว์ใดมีกำลังกว่า
สัตว์นอกนั้นก็ต้องถูกลากติดตามไป
ตามอำนาจของสัตว์นั้น
ข้อนี้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย!  
ภิกษุใดไม่อบรมทำให้มากในกายคตาสติแล้ว
ตา ก็จะฉุดเอาภิกษุนั้นไปหารูปที่น่าพอใจ
รูปที่ไม่น่าพอใจก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง
หู ก็จะฉุดเอาภิกษุนั้นไปหาเสียงที่น่าฟัง
เสียงที่ไม่น่าฟังก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง
จมูก ก็จะฉุดเอาภิกษุนั้นไปหากลิ่นที่น่าสูดดม
กลิ่นที่ไม่น่าสูดดมก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง
ลิ้น ก็จะฉุดเอาภิกษุนั้นไปหารสที่ชอบใจ
รสที่ไม่ชอบใจก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง
กาย ก็จะฉุดเอาภิกษุนั้นไปหาสัมผัสที่ยั่วยวนใจ
สัมผัสที่ไม่ยั่วยวนใจก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง
และใจ ก็จะฉุดเอาภิกษุนั้นไปหาธรรมารมณ์ที่ถูกใจ
ธรรมารมณ์ที่ไม่ถูกใจก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง
ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
...
ลักษณะของผู้ตั้งจิตในกายคตาสติ
(จิตที่มีเสาหลักมั่นคง)
ภิกษุทั้งหลาย!  
เปรียบเหมือนบุรุษจับสัตว์หกชนิด
อันมีที่อยู่อาศัยต่างกัน มีที่เที่ยวหากินต่างกัน
มาผูกรวมกันด้วยเชือกอันมั่นคง
คือ เขาจับงูมาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึ่ง
จับจระเข้...จับนก...จับสุนัขบ้าน...จับสุนัขจิ้งจอก...
และจับลิงมาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึ่งๆ
ครั้นแล้ว นำไปผูกไว้กับเสาเขื่อน หรือเสาหลักอีกต่อหนึ่ง
ภิกษุทั้งหลาย!  
ครั้งนั้น สัตว์ทั้งหกชนิดเหล่านั้น มีที่อาศัยและที่เที่ยวต่างๆ กัน
ก็ยื้อแย่งฉุดดึงกัน เพื่อจะไปสู่ที่อาศัยที่เที่ยวของตนๆ
งูจะเข้าจอมปลวก จระเข้จะลงน้ำ นกจะบินขึ้นไปในอากาศ
สุนัขจะเข้าบ้าน สุนัขจิ้งจอกจะไปป่าช้า ลิงก็จะไปป่า
ภิกษุทั้งหลาย!  
ในกาลใดแล ความเป็นไปภายในของสัตว์ทั้งหกชนิดเหล่านั้น
มีแต่ความเมื่อยล้าแล้ว
ในกาลนั้น มันทั้งหลายก็จะพึงเข้าไป
ยืนเจ่า นั่งเจ่า นอนเจ่า อยู่ข้างเสาเขื่อนหรือเสาหลักนั้นเอง
ข้อนี้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย!
ภิกษุใดได้อบรมทำให้มากในกายคตาสติแล้ว
ตา ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหารูปที่น่าพอใจ
รูปที่ไม่น่าพอใจ ก็ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง
หู ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหาเสียงที่น่าฟัง
เสียงที่ไม่น่าฟัง ก็ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง
จมูก ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหากลิ่นที่น่าสูดดม
กลิ่นที่ไม่น่าสูดดม ก็ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง
ลิ้น ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหารสที่ชอบใจ
รสที่ไม่ชอบใจ ก็ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง
กาย ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหาสัมผัสที่ยั่วยวนใจ
สัมผัสที่ไม่ยั่วยวนใจก็ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง
และใจ ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหาธรรมารมณ์ที่ถูกใจ
ธรรมารมณ์ที่ไม่ถูกใจก็ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง
ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน.
ภิกษุทั้งหลาย!
คำว่า “เสาเขื่อน หรือเสาหลัก” นี้
เป็นคำ เรียกแทนชื่อแห่ง กายคตาสติ
ภิกษุทั้งหลาย!  
เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้
พวกเธอทั้งหลายพึงสำ เหนียกใจไว้ว่า
“กายคตาสติของเราทั้งหลาย
จักเป็นสิ่งที่เราอบรม กระทำให้มาก
กระทำให้เป็นยานเครื่องนำไป
กระทำให้เป็นของที่อาศัยได้
เพียรตั้งไว้เนืองๆ เพียรเสริมสร้างโดยรอบคอบ
เพียรปรารภสม่ำเสมอด้วยดี” ดังนี้
ภิกษุทั้งหลาย!  
พวกเธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกใจไว้ด้วยอาการอย่างนี้แล
  • อินทรียสังวร ปิดกั้นการเกิดขึ้นแห่งบาปอกุศล
ภิกษุทั้งหลาย!  
เรื่องเคยมีมาแต่ก่อน
เต่าตัวหนึ่ง เที่ยวหากินตามริมลำธารในตอนเย็น
สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง
ก็เที่ยวหากินตามริมลำธารในตอนเย็นเช่นเดียวกัน
เต่าตัวนี้ได้เห็นสุนัขจิ้งจอกซึ่งเที่ยวหากินแต่ไกล
ครั้นแล้ว จึงหดอวัยวะทั้งหลาย มีศีรษะเป็นที่ห้า
เข้าในกระดองของตนเสีย เป็นผู้ขวนขวายน้อยนิ่งอยู่
แม้สุนัขจิ้งจอกก็ได้เห็นเต่าตัวที่เที่ยวหากินนั้นแต่ไกลเหมือนกัน
ครั้นแล้ว จึงเดินตรงเข้าไปที่เต่า คอยช่องอยู่ว่า
“เมื่อไรหนอ เต่าจักโผล่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งออก
ในบรรดาอวัยวะทั้งหลาย มีศีรษะเป็นที่ห้า
แล้วจักกัดอวัยวะส่วนนั้นคร่าเอาออกมากินเสีย” ดังนี้
ภิกษุทั้งหลาย!  
ตลอดเวลาที่เต่าไม่โผล่อวัยวะออกมา
สุนัขจิ้งจอกก็ไม่ได้โอกาส ต้องหลีกไปเอง
ภิกษุทั้งหลาย!  
ฉันใดก็ฉันนั้น มารผู้ใจบาป ก็คอยช่อง
ต่อพวกเธอทั้งหลายติดต่อไม่ขาดระยะอยู่เหมือนกันว่า
“ถ้าอย่างไร เราคงได้ช่อง ไม่ทางตา ก็ทางหู หรือทางจมูก
หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ” ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย!  
เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ พวกเธอทั้งหลาย
จงเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายอยู่เถิด
ได้เห็นรูปด้วยตา ได้ฟังเสียงด้วยหู ได้ดมกลิ่นด้วยจมูก
ได้ลิ้มรสด้วยลิ้น ได้สัมผัสโผฏฐัพพะด้วยกาย
หรือได้รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว
จงอย่าได้ถือเอาโดยลักษณะที่เป็นการรวบถือทั้งหมด
อย่าได้ถือเอาโดยลักษณะที่เป็นการแยกถือเป็นส่วนๆ เลย
สิ่งที่เป็นบาปอกุศล คือ อภิชฌาและโทมนัส
จะพึงไหลไปตามบุคคล
ผู้ไม่สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เพราะการไม่สำรวมอินทรีย์เหล่าใดเป็นเหตุ
พวกเธอทั้งหลายจงปฏิบัติเพื่อการปิดกั้นอินทรีย์นั้นไว้
พวกเธอทั้งหลายจงรักษา และถึงความสำรวม
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เถิด
ภิกษุทั้งหลาย!  
ในกาลใด พวกเธอทั้งหลาย
จักเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายอยู่
ในกาลนั้น มารผู้ใจบาป
จักไม่ได้ช่องแม้จากพวกเธอทั้งหลาย
และจักต้องหลีกไปเอง
เหมือนสุนัขจิ้งจอกไม่ได้ช่องจากเต่าก็หลีกไปเอง ฉะนั้น
“เต่า หดอวัยวะไว้ในกระดอง ฉันใด
ภิกษุ พึงตั้งมโนวิตก (ความตริตรึกทางใจ)
ไว้ในกระดอง ฉันนั้น
เป็นผู้ที่ตัณหาและทิฏฐิไม่อิงอาศัยได้
ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
ไม่กล่าวร้ายต่อใครทั้งหมด
เป็นผู้ดับสนิทแล้ว” ดังนี้แล

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา