Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
A WAY OF LIFE : ทางผ่าน
•
ติดตาม
26 ก.พ. 2022 เวลา 10:16 • ปรัชญา
"ความสําคัญแห่งอินทรียสังวร"
1. อินทรียสังวร เป็นเหตุให้ได้มาซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ
2. ผู้ไม่สำรวมอินทรีย์คือผู้ประมาท
ผู้สำรวมอินทรีย์คือผู้ไม่ประมาท
3. ความไม่ประมาท เป็นยอดแห่งกุศลธรรม
4. ผู้มีอินทรียสังวร จึงสามารถเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ ได้
5. อาสวะบางส่วนสามารถละได้ด้วยการสำรวม
6. อาสวะบางส่วนสามารถละได้ด้วยการบรรเทา
7. ผลที่ได้เพราะเหตุแห่งการปิดกั้นอาสวะ
★
อินทรียสังวร เป็นเหตุให้ได้มาซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ
ภิกษุทั้งหลาย!
เปรียบเหมือนต้นไม้
เมื่อสมบูรณ์ด้วยกิ่งและใบแล้ว
สะเก็ดเปลือกนอก ก็บริบูรณ์
เปลือกชั้นใน ก็บริบูรณ์
กระพี้ ก็บริบูรณ์ แก่น ก็บริบูรณ์ นี้ฉันใด
ภิกษุทั้งหลาย!
เมื่ออินทรียสังวร มีอยู่
ศีล ก็ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย
เมื่อ ศีล มีอยู่
สัมมาสมาธิ ก็ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย
เมื่อ สัมมาสมาธิ มีอยู่
ยถาภูตญาณทัสสนะ ก็ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย
เมื่อ ยถาภูตญาณทัสนะ มีอยู่
นิพพิทาวิราคะ ก็ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย
เมื่อ นิพพิทาวิราคะ มีอยู่
วิมุตติญาณทัสสนะ ก็ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย
ฉันนั้น เหมือนกันแล
★
ผู้ไม่สำรวมอินทรีย์คือผู้ประมาท ผู้สำรวมอินทรีย์คือผู้ไม่ประมาท
ภิกษุทั้งหลาย!
ภิกษุเป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความประมาท เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย!
เมื่อภิกษุไม่สำรวมระวัง ซึ่งอินทรีย์คือตาอยู่
จิตย่อมเกลือกกลั้วในรูปทั้งหลาย
อันเป็นวิสัยแห่งการรู้สึกด้วยตา
เมื่อภิกษุนั้นมีจิตเกลือกกลั้วแล้ว
ปราโมทย์ ย่อมไม่มี
เมื่อ ปราโมทย์ ไม่มี ปีติ ก็ไม่มี
เมื่อ ปีติ ไม่มี ปัสสัทธิ ก็ไม่มี
เมื่อ ปัสสัทธิ ไม่มี ภิกษุนั้นย่อมอยู่เป็นทุกข์
เมื่อ มีทุกข์ จิตย่อมไม่ตั้งมั่น
เมื่อ จิตไม่ตั้งมั่น ธรรมทั้งหลายย่อมไม่ปรากฏ
เพราะธรรมทั้งหลายไม่ปรากฏ
ภิกษุนั้น ย่อมถึงซึ่งการถูกนับว่า
เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความประมาท โดยแท้
(ในกรณีแห่งอินทรีย์ คือ หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
ก็มีนัยยะอย่างเดียวกัน)
ภิกษุทั้งหลาย!
อย่างนี้แล ภิกษุเป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความประมาท
...
ภิกษุทั้งหลาย!
ภิกษุเป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย!
เมื่อภิกษุสำรวมระวัง ซึ่งอินทรีย์คือตาอยู่
จิตย่อมไม่เกลือกกลั้ว ในรูปทั้งหลาย
อันเป็นวิสัยแห่งการรู้สึกด้วยตา
เมื่อภิกษุนั้น ไม่มีจิตเกลือกกลั้วแล้ว
ปราโมทย์ ย่อมเกิด
เมื่อ ปราโมทย์ แล้ว ปีติ ย่อมเกิด
เมื่อใจมี ปีติ ปัสสัทธิ ย่อมมี
เมื่อมี ปัสสัทธิ ภิกษุนั้น ย่อมอยู่เป็นสุข
เมื่อ มีสุข จิตย่อมตั้งมั่น
เมื่อ จิตตั้งมั่น แล้ว
ธรรมทั้งหลายย่อมปรากฏ
เพราะธรรมทั้งหลายย่อมปรากฏ
ภิกษุนั้น ย่อมถึงซึ่งการถูกนับว่า
เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท โดยแท้
(ในกรณีแห่งอินทรีย์ คือ หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
ก็มีนัยยะอย่างเดียวกัน)
ภิกษุทั้งหลาย!
อย่างนี้แล ภิกษุเป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท
★
ความไม่ประมาท เป็นยอดแห่งกุศลธรรม
ภิกษุทั้งหลาย!
สัตว์ทั้งหลายที่ไม่มีเท้า
มีสองเท้า มีมากเท้าก็ดี
มีรูป ไม่มีรูป มีสัญญา ไม่มีสัญญา
มีสัญญาก็หามิได้ ไม่มีสัญญาก็หามิได้ก็ดี
มีประมาณเท่าใด
ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ
ย่อมปรากฏว่าเลิศกว่าบรรดาสัตว์เหล่านั้น
ภิกษุทั้งหลาย!
กุศลธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่งบรรดามี
กุศลธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้น
มีความไม่ประมาทเป็นมูล
มีความไม่ประมาทเป็นที่ประชุมลง
ความไม่ประมาท ย่อมปรากฏว่าเป็นเลิศ
กว่าบรรดากุศลธรรมเหล่านั้น ฉันใดก็ฉันนั้น
ภิกษุทั้งหลาย!
ข้อนี้เป็นสิ่งที่ภิกษุผู้ไม่ประมาทพึงหวังได้ คือ
เธอจักเจริญ กระทำ ให้มากซึ่งอริยมรรคมีองค์ ๘
(การที่ความไม่ประมาทเป็นยอดแห่งกุศลธรรมทั้งปวง
ในสูตรนี้ ทรงอุปมาด้วยพระตถาคตเป็นสัตว์เลิศกว่าสัตว์ทั้งปวง.
ส่วนในสูตรอื่นอีกมากแห่ง
ทรงอุปมาด้วย
รอยเท้าช้างเลิศคือใหญ่กว่ารอยเท้าสัตว์ทั้งหลาย
ทรงอุปมาด้วย
ยอดเรือนเลิศคืออยู่เหนือไม้โครงเรือนทั้งหลาย
ทรงอุปมาด้วย
รากไม้โกฏฐานุสาริยะ เลิศกว่ารากไม้หอมทั้งหลาย
ทรงอุปมาด้วย
แก่นจันทร์แดง เลิศกว่าไม้แก่นหอมทั้งหลาย
ทรงอุปมาด้วย
ดอกวัสสิกะ (มะลิ) เลิศกว่าดอกไม้หอมทั้งหลาย
ทรงอุปมาด้วย
ราชาจักรพรรดิ เลิศกว่าพระราชาเมืองขึ้นเมืองออกทั้งหลาย
ทรงอุปมาด้วย
แสงจันทร์ เลิศคือรุ่งเรืองกว่าแสงดาวทั้งหลาย
ทรงอุปมาด้วย
แสงอาทิตย์ภายหลังฝนตกไม่มีเมฆในฤดูสารท แจ่มใสกว่าฯ
ทรงอุปมาด้วย ผ้ากาสี เลิศกว่าบรรดาผ้าทอด้วยเส้นด้ายทั้งหลาย)
★
ผู้มีอินทรียสังวร จึงสามารถเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ ได้
ภิกษุทั้งหลาย!
บุคคลอาจเพื่อเป็นผู้มีปกติตามเห็นกายในกายอยู่
เพราะเขาละธรรมหกอย่าง
หกอย่าง อย่างไรเล่า? หกอย่าง คือ
ความเป็นผู้ยินดีในการงาน
ความเป็นผู้ยินดีในการคุยฟุ้ง
ความเป็นผู้ยินดีในการหลับ
ความเป็นผู้ยินดีในการคลุกคลีกันเป็นหมู่
ความเป็นผู้ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย
ความเป็นผู้ไม่รู้ประมาณในการบริโภค
ภิกษุทั้งหลาย!
เพราะ ละธรรมหกอย่าง เหล่านี้แล
บุคคลจึงเป็นผู้อาจเพื่อเป็นผู้มีปกติตามเห็นกายในกายอยู่
(ผู้อาจเป็นผู้มีปกติตามเห็นกายในกายในภายใน
-ในภายนอก
-ในภายในและภายนอก
และผู้อาจเป็นผู้มีปกติตามเห็นเวทนาในเวทนา
-ตามเห็นจิตในจิต
-ตามเห็นธรรมในธรรม
ล้วนแต่มีข้อความที่ทรงตรัสไว้อย่างเดียวกัน)
★
อาสวะบางส่วนสามารถละได้ด้วยการสำรวม
ภิกษุทั้งหลาย!
อาสวะทั้งหลาย
ส่วนที่จะพึงละเสียด้วยการสำรวม เป็นอย่างไรเล่า?
ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในกรณีนี้
พิจารณาโดยแยบคายแล้ว
เป็นผู้สำรวมด้วยการสังวรในอินทรีย์
คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
อันเป็นอินทรีย์ที่เมื่อภิกษุไม่สำรวมแล้ว
อาสวะทั้งหลาย
อันเป็นเครื่องทำความคับแค้นและเร่าร้อน
จะพึงบังเกิดขึ้น
และ เมื่อภิกษุเป็นผู้สำรวมแล้วเป็นอยู่
อาสวะทั้งหลาย
อันเป็นเครื่องทำความคับแค้นและเร่าร้อน
จะไม่พึงบังเกิดขึ้น แก่ภิกษุนั้น
ภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้เป็นเพราะ
เมื่อภิกษุไม่สำรวมด้วยอาการอย่างนี้
อาสวะทั้งหลาย
อันเป็นเครื่องทำความคับแค้นและเร่าร้อน
จะพึงบังเกิดขึ้น
และ เมื่อภิกษุสำรวมแล้วเป็นอยู่
อาสวะทั้งหลาย
อันเป็นเครื่องทำความคับแค้นและเร่าร้อน
จะไม่พึงบังเกิดขึ้น แก่ภิกษุนั้น
ภิกษุทั้งหลาย!
นี้เรากล่าวว่า อาสวะทั้งหลาย
ส่วนที่จะพึงละเสียด้วยการสำรวม
★
อาสวะบางส่วนสามารถละได้ด้วยการบรรเทา
ภิกษุทั้งหลาย!
อาสวะทั้งหลาย
ส่วนที่จะพึงละเสียด้วยการบรรเทา เป็นอย่างไรเล่า?
ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในกรณีนี้
พิจารณาโดยแยบคายแล้ว
ย่อมไม่รับเอาไว้ในใจ
ย่อมละเสีย ย่อมบรรเทา
ทำให้สิ้นสุด ทำให้ถึงความมีไม่ได้
ซึ่งกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก
อันบังเกิดขึ้นแล้ว
และย่อมไม่รับเอาไว้ในใจ
ย่อมละเสีย ย่อมบรรเทา
ทำให้สิ้นสุด ทำให้ถึงความมีไม่ได้
ซึ่งสิ่งอันเป็นอกุศลธรรมอันเป็นบาปทั้งหลาย
ที่บังเกิดขึ้นแล้ว
ภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้เป็นเพราะ
เมื่อภิกษุไม่บรรเทาด้วยอาการอย่างนี้
อาสวะทั้งหลาย
อันเป็นเครื่องคับแค้นและเร่าร้อน จะพึงบังเกิดขึ้น
และ เมื่อภิกษุบรรเทาอยู่
อาสวะทั้งหลาย อันเป็นเครื่องคับแค้นและเร่าร้อน
จะไม่พึงบังเกิดขึ้น แก่ภิกษุนั้น
ภิกษุทั้งหลาย!
นี้เรากล่าวว่า อาสวะทั้งหลาย
ส่วนที่จะละเสียด้วยการบรรเทา
★
ผลที่ได้ เพราะเหตุแห่งการปิดกั้นอาสวะ
ภิกษุทั้งหลาย!
เมื่อใด ภิกษุละเสียได้ซึ่งอาสวะทั้งหลาย
อันจะพึงละได้ด้วยการสังวร ...
ละเสียได้ซึ่งอาสวะทั้งหลาย
อันจะถึงละได้ด้วยการบรรเทา ... แล้ว
ภิกษุทั้งหลาย!
ภิกษุนี้เรากล่าวว่า
เป็นผู้ปิดกั้นแล้วด้วยการปิดกั้นซึ่งอาสวะทั้งปวง อยู่
ตัดตัณหาได้ขาดแล้ว รื้อถอนสังโยชน์ได้แล้ว
กระทำ ที่สุดแห่งทุกข์ได้แล้ว
เพราะรู้เฉพาะซึ่งมานะโดยชอบ ดังนี้แล
1 บันทึก
9
6
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ตามดู ไม่ตามไป
1
9
6
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย