24 มี.ค. 2022 เวลา 12:30 • นิยาย เรื่องสั้น
เรื่องสั้น ยังอยู่ (Still)
ยังอยู่ (Still)
ครั้นร่างกายหายดีแล้ว ความคิดที่จะกลับไปยังคอนโดฯ ของผมก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างที่ชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง และแม้ว่ากำหนดการนั้นจะคือพรุ่งนี้ แต่เอาเข้าจริง ๆ ผมกลับรอให้ถึงเวลาที่ว่าไม่ไหว ดังนั้นเมื่อรู้ตัวอีกที บางสิ่งบางอย่างที่ค้างคาอยู่ลึก ๆ ในใจ ก็บอกให้ผมนั้นเหยียบคันเร่งให้มิด เพื่อที่จะไปจุดหมายปลายทางให้เร็วที่สุด
ว่าแต่… เธอจะยังอยู่ที่นั่นไหมนะ?
เมื่อรถเทียบสนิทตรงลานจอด สิ่งแรกที่ผมทำก็คือวิ่งไปยังลิฟต์ทันที ด้วยใจร้อนรนนี้ ถ้าจะมีอะไรที่เคลื่อนที่ได้เร็วกว่าสิ่งที่ผมกำลังโดยสารอยู่ แน่นอนว่าผมคงไม่ลังเลสักนิดที่จะใช้มัน
ช่างเป็นการรอคอยที่ยาวนาน...
ชั้น 1
ชั้น 2
ชั้น 3
ชั้น 4
ชั้น 5
ชั้น 6
ชั้น 7
ว่ากันตามความรู้สึก อยากจะบอกเหลือเกินว่านี่คือการเคลื่อนที่ที่เชื่องช้าติดอันดับต้น ๆ ในใจ แต่น่าจะตรงข้ามกับเวลาตรงข้อมือของผม เวลามักจะเดินทางรวดเร็วอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาที่เรานั้นกำลังเร่งรีบ
ตอนนี้จวนจะได้เวลาแล้ว ดังนั้นเมื่อประตูลิฟต์ถูกเปิดจนมากพอที่จะแทรกตัวผ่านออกไปได้ ผมก็รีบวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปทางขวามือของตัวเองทันที
ตอนนี้ห้อง 713 อยู่ตรงหน้าแล้ว
นี่คือห้องของผมเอง แต่จะว่าไปแล้ว นี่ก็เกินกว่าครึ่งปีที่ผมนั้นได้ไปจากที่นี่… ตอนนี้หัวใจของผมนั้นเต้นรัวเร็วราวกับจะหลุดออกมาจากอกเสียให้ได้
ตื่นเต้นทำไมน่ะหรือ? พูดตามตรงก็คือ
…อันที่จริงแล้ว ผมก็แค่กลัวว่าเธอจะเปลี่ยนไปน่ะ...
9
8
7
6
5
4
3
2
1
0
เมื่อการนับถอยหลังในใจสิ้นสุดลง และสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด ผมก็ใช้กุญแจไขลูกบิด แล้วผลักประตูเข้าไปข้างในห้องทันที
และแม้จะรู้สึกหวาดหวั่นเพียงใด แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องแล้ว ผมก็กลั้นใจกวาดสายตามองหาเธอไปทั่ว
แต่ก็พบกับความว่างเปล่า ไร้ร่องรอย ไม่เจอแม้แต่เงาของเธอ…
และถ้าในห้องน้ำก็ไม่อยู่
งั้นก็คงจะเหลือเพียงแค่…
ระเบียง!!!
ไวเท่าความคิด เมื่อตอนนี้ผมเดินไปมือจับลูกบิดประตูตรงทางออกไปยังระเบียงแน่น
และแม้ว่าผมนั้นจะสัมผัสได้ว่าอากาศข้างนอกนั้นเย็นยะเยือกเพียงใด แต่สุดท้ายเหงื่อมากมายก็พร้อมใจกันไหลออกมาอยู่ดี
สารภาพตามตรงว่าความรู้สึกที่ไม่ชอบมาพากลนี้ ทำให้หัวใจของผมนั้นเต้นแรงมากกว่าครั้งไหน ๆ ในชีวิต…
แม้ว่าน้ำลายจะถูกกลืนลงคออย่างยากเย็น แต่เมื่อรวบความกล้าได้มากพอ ผมก็เปิดประตูหลังห้องออกไปยืนอยู่ตรงระเบียงทันที
“เหมย!!!” ผมเรียกชื่อผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงระเบียงด้วยน้ำเสียงสั่นครือ ซึ่งเจ้าของชื่อก็หันมามองผมอย่างช้า ๆ ตามเสียงเรียก
เธอยังอยู่ที่นี่จริง ๆ ด้วย... และยังคงสวยเหมือนเดิมไม่ปลี่ยนแปลงไปอย่างที่ผมกังวลก่อนหน้านี้
จะติดอย่างเดียวก็ตรงใบหน้าที่เศร้าสร้อยนี้เท่านั้น…
หรือว่าจริง ๆ แล้ว มันจะไม่มีวันหายดีกันแน่นะ…
น้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มนั้นแทนบทสนทนาจากเธอ ดั่งใบมีดกรีดลึกลงกลางใจ ถ้าจะมีสิ่งใดที่ทำให้ผมนั้นรู้สึกแย่ ก็น่าจะเป็นการได้เห็นคนที่รักเสียใจอย่างนี้
เห็นดังนั้นผมก็ก้าวไปใกล้เธอ เพื่อหวังจะดึงเข้ามากอด แต่ก่อนที่จะได้ทำอย่างนั้น จู่ ๆ เหมยก็หันกลับไปยังระเบียง ปีนราวกั้น แล้วกระโดดลงไปข้างล่างทันที!!!
21:09 น. เวลาที่นาฬิกาข้อมือบอกความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมากับผมอีกครั้งหนึ่ง
ยังคงเกิดขึ้นรวดเร็วเกินกว่าที่จะทันตั้งตัว และเตรียมใจ เหตุการณ์ในวันนี้เหมือนวันนั้นทุกอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เวลาเดิม เหตุการณ์เดิม ทุกอย่างถูกฉายซ้ำเพื่อตอกย้ำความจริงที่เจ็บปวด
วันนั้นเราทะเลาะกันอย่างรุนแรงมากกว่า เพราะความลับที่ปิดบังมานานของผมถูกเปิดเผยหมดเปลือก เหมยมองหน้าผมอย่างผิดหวัง ความผิดพลาดที่ผมได้ทำลงไปนั้นเกินกว่าที่เธอรับได้ และความเสียใจที่มากมายนั้น ก็ทำให้เธอคิดสั้นด้วยการกระโดดลงไปจากชั้น 7 ตรงที่ผมกำลังยืนอยู่นี้ ต่อหน้าต่อตา โดยที่ผมเองนั้นไม่อาจจะยับยั้งเอาไว้ได้ทัน
เหตุการณ์ที่ผมร้องไห้จะเป็นจะตาย กอดร่างไร้วิญญาณของเธอที่ข้างล่างในวันนั้น ยังคงชัดเจนในความทรงจำ
ไม่นานหลังจากนั้นผมก็ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ต้องกลับไปรักษาตัวที่บ้าน โดยมีแม่ของผมคอยดูแล และมุ่ยน้องสาวของเหมยที่เทียวไปเทียวมา ใส่ใจอยู่ไม่ห่าง
สารภาพว่าความรู้สึกผิดนั้นทำให้ผมอยากฆ่าตัวตายตามเหมยไปให้มันรู้แล้วรู้รอดเลย ซึ่งจะว่าไปแล้วผมก็พยายามอยู่เนือง ๆ ด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามแต่จะคิดได้อยู่เหมือนกัน แต่สุดท้ายก็มักจะเป็นแม่ หรือไม่ก็มุ่ย ที่มาช่วยไว้ได้ทัน หรือห้ามเอาไว้เสียก่อน ซึ่งทั้งสองคนก็ดูจะไม่ไว้ใจให้ผมอยู่ตามลำพัง หรือมีอะไรก็ตามที่สามารถทำร้ายตนเองได้อยู่ใกล้ตัวสักเท่าไหร่
แต่ก็น่าจะรู้นะว่า คนที่เฝ้าระวัง กับคนที่รอคอยโอกาสนั้นมันแตกต่างกัน
และแล้ววันที่พวกเขาทั้งสองคนเผลอ การฆ่าตัวตายครั้งที่ 11 ของผมก็ได้เริ่มต้นขึ้น วันนั้นผมกินยาพาราเซตามอลเข้าไป 50 เม็ด ตามด้วยยาแก้แพ้อีก 50 เม็ด เพราะเชื่อว่าจะได้นอนหลับแล้วจากไปอย่างสงบ แต่มันกลับเป็นความเชื่อที่ผิดมหันต์ เพราะฤทธิ์ของสิ่งที่ผมกินเข้าไปนั้นทำให้ผมนอนหลับเป็นตายก็จริง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมตายจริง ๆ ตามที่ต้องการ ความโหดร้ายคือ เมื่อตื่นขึ้นมาในสภาพเจียนตายนั้น ผมต้องทุกข์ทรมานกับการอ้วกอย่างรุนแรง ซึ่งถ้ามุ่ยไม่กลับมาพบเข้า และนำส่งโรงพยาบาลซะก่อน ป่านนี้ผมคงจะได้ตายตามเหมยไปสมใจแล้ว
ซึ่งการนอนโรงพยาบาลในครั้งนั้นก็ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตเดิม ๆ ของผมไปอย่างสิ้นเชิง ตลอด 3 วันแรกภาพเหตุการณ์ตั้งแต่จำความได้ตลอดยี่สิบปีนั้นได้เข้ามาวนเวียนอยู่ในหัว ราวกับดูสารคดีชีวิตเรื่องยาว และนั่นทำให้ผมได้เห็นว่าตัวเองผ่านอะไรมาบ้าง และเติบโตมากขึ้นแค่ไหนในแต่ละช่วงเวลา ทำให้คิดอะไรได้เยอะมาก คิดได้ว่าถ้าเราตายไปจริง ๆ แล้ว คนรอบข้างจะรู้สึกยังไง เรายังไม่ได้ทำอะไรอีกตั้งเยอะ ดังนั้นเราพร้อมที่จะตายจริง ๆ แล้วหรือ
จากนั้นก็ได้ใช้เวลาคิดในสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป คิดสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ฯลฯ จึงเกิดเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนหน้านั้น นั่นก็คือ "จากนี้ไป จุดมุ่งหมายของผมก็คือ การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าเพื่อคนที่รัก”
แต่ทุกสิ่งในโลกล้วนมีค่าใช้จ่ายที่สาสมเสมอ และดูเหมือนว่าตอนนี้ผมต้องยอมรับความจริงข้อนี้ให้ได้โดยเร็วซะด้วย
เชื่อไหมว่าเมื่อผ่านเส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตายนั้น ผมสามารถมองเห็นวิญญาณได้!!!
ไม่ว่าจะเป็นยายแก่ที่นั่งอยู่บนเตียงที่โรงพยาบาล เด็กน้อยที่ยืนอยู่ด้วยกันในลิฟต์เมื่อกี้ หรือตาลุงหัวขาดที่สวนกันตรงทางเดินก่อนเข้ามาในห้องนี้ ฯลฯ
ไม่ได้ตาฝาด ที่ผมเห็นมันคือวิญญาณจริง ๆ และแน่นอนว่าการที่ผมได้เห็นเหมยเมื่อกี้ก็ยืนยันได้อย่างชัดเจนอีกครั้งหนึ่งว่า นี่คือความสยองครั้งใหม่ที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม!!!
แล้วจู่ ๆ เสียงเรียกสายเข้าคุ้นหูก็ดังขึ้นในความเงียบ ปลุกผมให้กลับมาอยู่กับปัจจุบันอีกครั้ง
ผมรีบหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูทันที
ให้ตายสิ!!! เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องนี้ มองเห็นภาพคนโทรเข้ามาแล้ว ยิ่งทำให้ผมนั้นรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่
“พี่ดิม ๆ เมื่อไหร่จะมาหามุ่ยที่ห้องสักทีอะ สัญญาแล้วนะว่าจะมา นี่ก็ดึกมากแล้ว มุ่ยคิดถึง รีบมาเร็ว ๆ นะคะที่รัก”
จบจากประโยคหวานหยด ผมได้แต่ตบปากรับคำต้นสายไปตามเรื่อง
ใช่แล้วครับ…
ถ้าให้สารภาพตามตรงก็คงจะต้องบอกว่า ที่จริงแล้วผมนั้นไม่เคยคิดกับมุ่ยมากเกินไปกว่าการเป็นน้องสาวเลย ดังนั้นเรื่องเกินเลยระหว่างเราทั้งสองมันคือความผิดพลาด
ตามสูตรเป๊ะ ๆ เลย เหมยไม่อยู่ มุ่ยมาหาผมที่ห้อง ดื่มกินกัน และสุดท้ายไม่ต้องอธิบายต่อหลายคนก็น่าจะพอเข้าใจ…
จากวันนั้นมุ่ยก็ใช้สิ่งนี้ผูกมัดผมเรื่อยมา เพื่อแลกกับการที่ความลับยังจะเป็นความลับอยู่ต่อไป และแม้ว่ามันจะเป็นการแอบคบกันอย่างลับ ๆ แต่เธอก็ดูจะพอใจกับสถานะนี้
แต่ความลับไม่มีในโลก สุดท้ายเหมยก็จับได้ และความผิดหวังจากการกระทำของคนที่เธอรักสองคนก็ทำให้เธอนั้นเสียใจอย่างมาก และตัดสินใจจากโลกนี้ไป
อันที่จริงแล้ว ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เรื่องราวระหว่างผมกับมุ่ยนั้นจะจบลงอย่างไร ที่รู้แน่ ๆ ในตอนนี้ก็แค่เพียง ต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามความต้องการของมุ่ยเท่านั้น ถ้าผมไม่อยากเป็นต้นเหตุในการคิดสั้นของใครเพิ่มอีก
มาถึงตรงนี้คุณคิดว่าผมยังมีทางเลือกอื่นอีกเหรอ?
เพราะแค่นี้ผมก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว…
และจากเหตุการณ์ที่พบในวันนี้ มันทำให้ผมค่อนข้างที่จะมั่นใจแล้วว่า วิญญาณของเหมยกำลังพบเจอกับอะไรอยู่
นับจากวันที่เธอตาย ในทุก ๆ คืนเวลา 21:09 น. ตรงระเบียงที่ผมกำลังยืนอยู่นี้ เหมยจะต้องปรากฎตัวออกมาฆ่าตัวตายซ้ำ ๆ วนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อยไป จนกว่าจะหมดเวรหมดกรรม
แน่นอนว่าถ้าพรุ่งนี้ผมมาที่นี่ในเวลาเดิม เราก็จะได้พบกันอีกครั้ง บางทีถ้าสื่อสารกับเธอได้ก็คงจะดีไม่น้อย ผมอยากที่จะขอโทษเธอจริง ๆ จากใจ กับความผิดพลาดที่ได้ทำลงไป และถ้าจะมีวิธีไหนที่ทำให้เธอพ้นทุกข์ หมดเวรหมดกรรรมจากอัตวินิบาตกรรมครั้งนี้ได้ผมก็ยินดี
END
ยังอยู่ (Still) / Mirrr
“อัตวินิบาตกรรม” หรือ “การฆ่าตัวตาย” ในความเชื่อของชาวพุทธนั้น ถือเป็นบาปมหันต์ เพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมาเพื่อชดใช้เวรกรรมของตัวเอง แต่การฆ่าตัวตายถือเป็นการไปหยุดวิบากกรรมทั้ง ๆ ที่ยังชดใช้ไม่หมด จึงมีบาปหนัก เมื่อตายไปก็จะยังไม่ได้เกิดทันที จะต้องฆ่าตัวตายในสถานที่เดิม เวลาเดิม ด้วยวิธีการเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัยของการเป็นมนุษย์ และเมื่อกลับมาเกิดใหม่ก็ต้องฆ่าตัวตายไปอีก 500 ชาติ
1
โฆษณา