30 มี.ค. 2022 เวลา 05:36 • หนังสือ
#33 CWG. 4️⃣ — บทที่ 9 (ตอนที่ 4) : พวกที่เลือกช่วยเหลือเธอ คือรูปธรรมชีวิตที่ดำรงอยู่ในมิติอื่น
ผู้แปล : คุณซิม จากเพจ Books for Life
ผู้เรียบเรียง : แอดมิน (ซึ่งผมอาจแก้ไข เพิ่มคำแปล และ เรียบเรียงประโยคใหม่บางส่วน)
Q : Now what I would really like to do is take that close-up glance at what living as an awakened species would look like—and how humans can create and experience life in a new way on Earth.
นีล : ตอนนี้สิ่งที่ผมอยากคุยต่อไป เป็นเรื่องของวิถีชีวิตของเผ่าพันธุ์ที่ตื่นแล้วนั้นเป็นยังไง —และด้วยวิธีการใดที่มนุษย์จะสามารถสร้างและมีประสบการณ์ถึงวิถีชีวิตแบบใหม่นั้นได้บนโลก
I want to go over again what you said in our previous conversations about how advanced beings from outer space live.
ผมอยากทบทวนเรื่องที่พระองค์เคยบอกไว้ในการสนทนาครั้งก่อนๆของเรา ว่าสิ่งมีชีวิตที่มีพัฒนาการอยู่ในขั้นสูงจากนอกโลกนั้นใช้ชีวิตกันอย่างไร
A : I will be happy to, but first you must understand that I am not talking about beings from “outer space” as you have defined it.
พระเจ้า : ฉันยินดีที่จะพูดอีกครั้งให้เธอฟังนะ แต่ก่อนอื่น เธอต้องเข้าใจก่อนว่า ฉันไม่ได้พูดถึงสิ่งมีชีวิต “จากนอกโลก” ตามที่เธอให้คำจำกัดความ
.
Q : What do you mean “as I have defined it”? Outer space is outer space. It’s the part of the cosmos that exists off this planet. It’s the rest of the universe. That’s how I define it. How do you define it?
นีล: พระองค์หมายความว่าอะไรครับ “ตามที่ผมให้คำจำกัดความ”❓ นอกโลกก็คือนอกโลก มันเป็นส่วนหนึ่งของอวกาศที่ดำรงอยู่นอกดาวเคราะห์ดวงนี้ มันคือพื้นที่อื่นๆในจักรวาล นั่นคือคำจำกัดความของผม แล้วคำจำกัดความของพระองค์คืออะไรครับ❓
1
A : Well, I’m going to quote your metaphysical master, William Shakespeare here:
พระเจ้า : เอาล่ะ ฉันจะขอใช้คำของหนึ่งในอาจารย์ด้านอภิปรัชญา★ของโลก ที่ชื่อ วิลเลี่ยม เช็คสเปียร์ ที่กล่าวว่า :
★metaphysics : อภิปรัชญา – ปรัชญาว่าด้วยความจริงในธรรมชาติ
“There are more things in Heaven and Earth, Horatio, than are dreamt of in your philosophy.”
“ยังมีสิ่งอื่นอีกมากมายในสวรรค์และโลก มากมายเกินกว่าที่เจ้าจะเคยนึกฝันนะพ่อหนุ่ม”
.
Q : Which means?
นีล : ซึ่งหมายความว่า❓
A : Which means there are more things in what you call “outer space” than are dreamt of in your cosmology.★
พระเจ้า : ซึ่งหมายความว่า มีสิ่งต่างๆอีกมากมายนักในที่ที่เธอเรียกว่า “นอกโลก / ในอวกาศ” มากเกินกว่าที่เธอจะเคยนึกฝันในด้านจักรวาลวิทยา★ของพวกเธอ
★ cosmology : ความรู้ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับจักรวาล ซึ่งมนุษย์โลกน่าจะมีความรู้ในด้านนี้เพียงน้อยนิด
— แอดมิน —
When you refer to “beings from outer space,” you are referring to that part of the universe of which you are aware. Yet the universe is much larger and far more inter-dimensional than you may think.
เมื่อเธอเอ่ยถึง “สิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกโลก” เธอกำลังเอ่ยถึงเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของจักรวาล “เท่าที่เธอเคยรู้มา” เท่านั้น แต่ทว่า จักรวาลนั้นมีขนาดที่ใหญ่โตมโหฬารนัก และมีหลากหลายมิติเกินกว่าที่เธอจะนึกคิดจินตนาการได้
1
Entities from the limited aspect of All That Exists that you call “outer space” are currently manifesting as physical entities, just as you are. And like humans, not all “beings from outer space” are peaceful, as I have already noted. Some are, and some are not.
ด้านอันคับแคบจำกัดของ “สิ่งอันเป็นทั้งหมดนั้น” ที่เธอเรียกว่าสิ่งมีชีวิตจาก “นอกโลก / ในอวกาศ” เป็นเพียงการสำแดงตัวเองออกมาอยู่ในรูปของสิ่งมีชีวิตทางกายภาพ (มีร่างกาย) ซึ่งพวกเธอเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน และไม่ใช่ว่า "สิ่งมีชีวิตจากนอกโลก" ทั้งหมดจะรักสันติ ก็เหมือนกันกับมนุษย์ อย่างที่ฉันเคยบอกไป บางพวกก็รักสันติ แต่บางพวกก็ไม่
Even those who are peaceful nevertheless occasionally behave violently, just as humans who see themselves as peaceful sometimes behave violently.
แม้กระทั่งพวกที่รักสันติ ก็ยังมีพฤติกรรมที่รุนแรงเป็นครั้งคราว ก็เหมือนกันกับมนุษย์ที่เห็นตนเองว่าเป็นคนรักสันติ แต่ในบางขณะก็สามารถมีพฤติกรรมที่รุนแรงได้เช่นกัน
.
Q : To put it mildly. Many humans kill other humans.
นีล : ถ้าจะใช้คำที่เบาหน่อยก็คือ มีมนุษย์จำนวนมากที่เข่นฆ่ามนุษย์ด้วยกันเอง
A : Exactly. So when I refer to beings who are choosing to help you, and when I describe the new way humanity could choose to live based on how this awakened species lives, I am referring to entities who are not from the celestial realm in which beings experience themselves as only or primarily physical.
พระเจ้า : ถูกแล้ว ดังนั้นเมื่อฉันพูดถึงสิ่งมีชีวิตที่เลือกให้ความช่วยเหลือเธอ และเมื่อฉันอธิบายถึงวิธีการใช้ชีวิตแบบใหม่ที่มนุษย์สามารถเลือกได้โดยอ้างอิงจากวิถีชีวิตของเผ่าพันธุ์ที่ตื่นขึ้นแล้ว ฉันไม่ได้กำลังเอ่ยถึงสิ่งมีชีวิตที่มาจากดาวดวงอื่น ที่กำลังมีประสบการณ์ถึงตัวเองว่าเป็นรูปธรรมชีวิตทางกายภาพที่ใช้ร่างกายเป็นหลัก (เหมือนพวกเธอ)
1
.
Q : You’ve got my attention.
นีล : นี่มันชักจะน่าสนใจแล้วครับ
A : I am referring to life forms existing in Another Dimension.
พระเจ้า : ฉันกำลังเอ่ยถึงรูปธรรมชีวิตที่ดำรงอยู่ในมิติอื่น
.
Q : A dimension where the entities are not physical?
นีล : มิติของสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีร่างกายน่ะเหรอครับ❓
A : A dimension where they need not be. A dimension where they can be, if they wish to be, if they choose to “take on” what you would call a physical form, but where doing so is not required for them to have the experience for which all of life was created.
พระเจ้า : เป็นมิติที่ ร่างกาย “ไม่ใช่สิ่งจำเป็น” สำหรับพวกเขา เป็นมิติที่พวกเขาจะสามารถ ‘เป็น’ แบบใดก็ได้ตามที่พวกเขาปรารถนา พวกเขาอาจเลือกที่จะ “เข้าใช้” สิ่งที่เธอเรียกว่าร่างกาย แต่การทำเช่นนั้น ก็ไม่จำเป็นที่พวกเขาจะต้องมีประสบการณ์แบบที่ชีวิตโดยทั่วไปถูกสร้างขึ้นมา★
1
★ตรงนี้หมายความว่า ไม่ต้องผ่านการเข้าไปอยู่ในท้อง รอคลอด พอคลอดแล้วก็ค่อยๆให้ร่างกายโตขึ้นมา แต่เป็นการสร้างร่างกายที่โตเต็มที่แล้วขึ้นมาได้เลยทันทีแล้วเข้าครอบครองเพื่อนำไปใช้งาน เหมือนบีบอัดพลังงานบริสุทธิ์ที่มีอยู่แล้วทั่วไปในจักรวาลให้กลายเป็นสสารแล้วนำไปใช้งานได้เลยในทันที ประมาณนั้นครับ
ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจลงมาบนโลกแล้วคงเห็นว่าถ้าปรากฏเป็นร่างพลังงานเลย มนุษย์อาจเข้าใจผิดว่าเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ ตามืดบอดแบบเฉียบพลัน เพราะตะลึง กลัว นับถือ ฯลฯ เลยทำให้ความเข้าใจว่าจริงๆแล้วตัวมนุษย์เองนั้นก็ยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ไม่ต่างกัน เพราะพวกเราทั้งหมดต่างก็มาจากพระเจ้าที่เป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่งเหมือนกัน ก็เลยทำให้จะปักใจเชื่อสิ่งที่ได้ยินอย่างเดียวโดยไม่ได้ใช้สติปัญญาของตัวเองเพื่อการวิวัฒน์ของตนเองเลย มนุษย์จะกลายเป็นผู้งมงายเดินตามต้อยๆแทน คิดอะไรไม่เป็นเลย หวังพึ่งพวกเขาเพียงอย่างเดียว (อยากสบายว่างั้นแหละ) ประโยชน์สูงสุดที่ควรจะได้รับก็เลยเสียไป
ซึ่งการวิวัฒน์ของตัวเอง ตัวเองก็ต้องทำเอง ใครจะมาทำให้เราไม่ได้ ทำได้แค่เพียงชี้แนะเท่านั้น ทำไม่ทำก็อยู่ที่เราเลือกเอง นี่ทำให้ผมนึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้านะ "อัตตาหิ อัตตโนนาโถ" – ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน และ เราเป็นได้แค่ผู้ชี้ทางเท่านั้น หากเธออยากได้เธอต้องทำเอาเอง ; ซึ่งเรื่องอะไรประมาณนี้ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ที่พวกเรานับถือพวกเขาเป็นเทพ เลยหวังแต่จะพึ่งท่าเดียว พวกเขาก็เลยปรากฏโดยใช้ร่างมนุษย์เหมือนกันน่าจะเกิดประโยชน์กว่า อะไรประมาณนี้เป็นต้นครับ (พระองค์จะอธิบายในบทต่อๆไปครับ) — แอดมิน —
========= จบบทที่ 9 =========

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา