Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
IDEAsum
•
ติดตาม
11 เม.ย. 2022 เวลา 05:00 • หนังสือ
22 กฎเหล็กที่นักการตลาดปฏิเสธไม่ได้ : The 22 Immutable Laws of Marketing
สวัสดีครับ เพื่อนๆ
หนังสือเล่มนี้จะพูดถึง กฎการตลาดที่ปฏิเสธไม่ได้ 22 กฎ ที่จะทำให้เพื่อนๆเข้าใจการตลาดมากขึ้น ผ่านคำอธิบายที่ง่าย
แม้แต่คนที่ไม่ค่อยเข้าใจการตลาดยังเข้าใจได้ครับ
โดยสรุปแล้วหนังสือเล่มนี้ เล่าถึง
- การตลาดคือการแข่งว่าใครจะเป็นที่1ในใจลูกค้า
- สร้างทางเลือกใหม่ๆ
- การตลาดไม่ได้แข่งกันด้วยสินค้า แต่คือการรับรู้ของลูกค้า
- ลูกค้าจะมีลำดับแบรนด์ในใจเสมอ
- การกำหนดกลุ่มเป้าหมายนั้น ไม่เจาะจงว่าจะต้องอายุเท่านั้นเสมอไป คุณลุงที่อยากจะรู้สึกเป็นวัยรุ่นอีกครั้งก็หันมาดื่ม Coke ได้
- และอื่นๆ
หลักๆคือเรื่องของการรับรู้ ครับ
หลังจากอ่านแล้ว เพื่อนๆ จะเข้าใจหลักการและเป้าหมายของการตลาดมากขึ้นครับ
หนังสือเล่มนี้เหมาะกับ
คนที่ต้องการเรียนรู้เรื่องการตลาด
โดยผมจะขอยก 7ไอเดีย ที่สำคัญ มาสรุปให้เพื่อนได้อ่านกันครับ
เชิญอ่านได้เลยครับ
1 . The law of Leadership
เป็นที่1 ดีกว่า แค่เป็นสิ่งที่ดีกว่า
จะง่ายกว่ามากถ้าคุณเข้าไปอยู่ในใจลูกค้าได้เป็นคนแรก ดีกว่าการที่ต้องไปโน้มน้าวใจลูกค้าว่าสินค้าคุณที่กว่า ที่1ในใจเขาอย่างไร
เรามักจะจำ คนแรกที่ทำได้ มากกว่าคนที่2ที่ทำได้
เช่น ใครคือคนแรกที่บินผ่าน ทะเลแอตแลติก แบบเดี่ยว นั้นคือ Charles Lindbergh
และใครคือคนที่2ล่ะ?
แบรนด์ที่เป็นผู้นำ(ที่1) มักเป็นแบรนด์ที่ถูกนำชื่อมาใช้แทนการกระทำ เช่น Xerox(ซีร็อกซ์) Google
2.The law of category
ถ้าคุณเป็นที่1 ในหมวดนั้นไม่ได้ สร้างหมวดใหม่ที่คุณจะเป็นที่1
เช่น การที่ IBM ประสบความสำเร็จด้าน "คอมพิวเตอร์" และมีคู่แข่งจะเข้ามาในหมวดเดียวกัน
Burroughs, Control Data, General Electric, Honeywell, NCR, RCA, Sperry
IBM คือ อันดับหนึ่งในด้าน คอมพิวเตอร์
Dec คือ อันดับหนึ่งใน มินิคอมพิวเตอร์
3.The law of mind
เป็นที่1ในใจลูกค้าดีกว่าเป็นเจ้าแรกในตลาด
การเป็นที่1ในใจลูกค้า คือทุกอย่างของการตลาด
เช่น การที่ IBM ไม่ใช่เจ้าแรกที่ทำ Mainframe คอมพิวเตอร์ (Remington คือ เจ้าแรก) แต่ด้วยการทำการตลาด ทำให้ IBM เป็นที่1ในใจและชนะการแข่งขันด้าน Mainframe คอมพิวเตอร์
4.The law of perception
การตลาดไม่ได้แข่งกันด้วยสินค้า แต่คือการรับรู้
ไม่มีข้อเท็จจริงและไม่มีสินค้าที่ดีที่สุด
ลูกค้ามักจะตัดสินใจจากการรับรู้ต่อกันมา(จากคนอื่น) แทนที่จะใช้การรับรู้ของตนเอง นี้เรียกกันว่าหลักการ Everybody knows (เพราะทุกคนรู้)
เช่น ทุกคนรู้ว่า ญี่ปุ่นผลิตรถคุณภาพสูงกว่าอเมริกา ดังนั้นผู้คนตัดสินใจโดยอิงจากข้อเท็จจริงที่ว่า ทุกคนรู้เรื่องนี้
5.The law of Focus
สิ่งที่มีพลังในการตลาดคือ การเป็นเจ้าของคำในใจของลูกค้า
บริษัทสามารถประสบความสำเร็จได้จากการเป็น เจ้าของคำ
ไม่จำเป็นต้องเป็นคำที่ซับซ้อน คำง่ายๆดีที่สุด
เช่น
Pepsi-Cola คือ Youth (ความเยาว์)
Volvo คือ Safety
Domino's คือ home delivery
6.The law of Ladder
กลยุทธ์ที่ใช้ขึ้นอยู่กับ ขาบันไดที่คุณครอบครอง
สินค้าทุกอย่างไม่ได้ถูกสร้างมาเท่าเทียม มันมีลำดับชั้นในใจของลูกค้าไว้ตัดสินใจ
ขาบันไดแต่ละขั้นเปรียบเสมือน Brand ต่างๆ
เช่น ในวงการรถเช่า
Hertz คือที่1 บนขาบันได
Avis คือที่2
และ National คือที่3
เช่น ถึงแม้ว่า Avis จะเป็นที่2 แต่ก็อออกโฆษณาว่า
"Avis is only No.2 in rent-a-cars. So why go with us? We try harder."
อาจจะดีกว่า แมเว่าคุณจะเป็นที่3 ของขาบันไดที่ใหญ่ แทนที่จะเป็นที่1 ของขาบันไดที่เล็ก
7.The law of candor (ยอมรับว่าตนเองผิด)
เมื่อคุณยอมรับด้านลบแล้ว ลูกค้าจะให้ด้านบวกกับคุณ
หลักการนี้ดูจะขัดแย้งกับ บริษัทและธรรมชาติของมนุษย์
วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการเข้าไปอยู๋ในใจลูกค้าคือ การยอมรับด้านลบและเปลื่ยนเป็นด้านบวก
เช่น
The 1970 VW will stay ugly longer
Joy The most expensive perfume in the world
Listerine(น้ำยาบ้วนปาก) เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ
Listerine คงจะไปบอกลูกค้าไม่ได้ว่า "รสชาติไม่ได้แย่อะไร" ซึ่งยิ่งจะทำให้เกิดด้านลบต่อการรับรู้
แทนที่จะทำอย่างนั้น Listerine เลือกใช้กฏนี้ โดยการเปลื่ยนเป็น "The taste you hate twice a day"
ไม่เพียงแค่บริษัทจะยอมรับว่า รสชาติมันแย่ แต่กลับเป็นการยอมว่า หลายคนก็เกลียดมัน
นี้คือ ไอเดียที่ว่า Listerine "kills a lot of germs"
ลูกค้าคิดขึ้นได้ว่า อะไรที่รสชาติเหมือนยาฆ่าเชื้อ ก็คงจะฆ่าเชื้อโรคได้ดี
สรุปอีกครั้ง
- การตลาดคือการแข่งว่าใครจะเป็นที่1ในใจลูกค้า
- สร้างทางเลือกใหม่ๆ
- การตลาดไม่ได้แข่งกันด้วยสินค้า แต่คือการรับรู้ของลูกค้า
- ลูกค้าจะมีลำดับแบรนด์ในใจเสมอ
- การกำหนดกลุ่มเป้าหมายนั้น ไม่เจาะจงว่าจะต้องอายุเท่านั้นเสมอไป คุณลุงที่อยากจะรู้สึกเป็นวัยรุ่นอีกครั้งก็หันมาดื่ม Coke ได้
- และอื่นๆ
เป็นยังไงกันบ้างครับ สำหรับตัวผมแล้ว ผมเริ่มมาเข้าใจการตลาดได้ดีมากขึ้นเพราะหนังสือเล่มนี้เลยครับ (ถึงแม้ว่าจะเรียนการตลาดมา4ปีก็ตาม)
เป็นหลักการที่เข้าใจง่าย และเน้นไปที่มุมมองของลูกค้าเป็นหลัก แทนที่จะเป็นมุมมองของนักการตลาด
เพื่อนๆมีความเห็นยังไงกันบ้าง คอมเม้นต์ไว้ได้เลยครับ
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ
การตลาด
หนังสือ
รีวิวหนังสือ
4 บันทึก
2
3
4
2
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย