12 เม.ย. 2022 เวลา 23:00
ฌาน คือ เหตุแห่งการตรัสรู้ ของพระศาสดา
1
เพื่อความถ้วนรอบในฌาน อันเป็นธรรมที่พระศาสดาได้ตรัสรู้ และนำมาประกาศ ให้หมู่มวลมนุษยชาติได้รู้ตาม ได้ปฏิบัติตาม เพื่อความสิ้นทุกข์โดยถ้วนรอบ และปวงญาติของอาตมาทุกคน ก็จะต้องเป็นผู้รู้จริง แทงตลอดในฌานนี้ จนเป็นที่ถ้วนรอบเช่นเดียวกัน จึงจะสามารถกระทำฌานเพื่อดับทุกข์ให้สิ้น แล้วหลุดพ้นออกจากวัฏสงสารนี้ได้
ลำดับต่อไปนี้ อาตมาจะได้แสดงในหัวข้อธรรมว่า ฌาน คือธรรมอันเป็นเหตุให้พระศาสดาได้ตรัสรู้ เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยได้อาศัยเอา มหาสัจจกสูตรบ้าง ปาสราสิสูตรบ้าง โพธิราชกุมารสูตรบ้าง เป็นที่ตั้ง เพื่อแสดงธรรมนี้ ขอพวกเราได้รับฟังไปตามลำดับ ดังต่อไปนี้เถิด
ในเรื่องนี้ขอยกเอาองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่ตั้งแห่งธรรม โดยอาตมาขอท้าวความถึงสมัยที่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตัดสินพระทัยออกบวช พระองค์ท่านไม่ได้บรรลุอุตตริมนุสสธรรม อลมริยญาณทัสสนวิเสส โดยทันที พระองค์ท่านไม่ได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยทันที แต่ได้แสวงหาโมกขธรรมอยู่
โดยในเบื้องต้นพระองค์ท่าน ได้เข้าไปสู่สำนักของท่านอาฬารดาบส ที่นั่นได้เรียนรู้การกระทำญาณจนถึง อากิญจัญญายตนะญาน ได้เรียนรู้ตามได้โดยง่าย กระทำตามได้โดยง่าย แต่เมื่อตรวจสอบแล้ว ญาณนั้นเป็นไปเพียงเพื่อ
สังวตตติ ยาวเทว อากิญจัญญายตนูปปัตติยาติ เท่านั้น คือเป็นไปเพียงเพื่อเข้าไปสู่ความเป็นอากิญจัญญายตนะเท่านั้น พระองค์ท่านเห็นว่าญาณนั้นไม่เป็นไปเพื่อ นิพพิทา วิราคะ นิโรธะ อุปสมะ อภิญญาญะ สัมโพธะ นิพพานัง แต่อย่างใดเลย จึงได้ตัดสินพระทัยเดินทางจากไป
แล้วหลังจากนั้นได้เข้าไปสู่สำนักของท่านอุททกดาบส ที่นั่นท่านอุททกดาบส ได้สอนการกระทำฌาน ให้องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนถึงญาณที่8 คือเนวสัญญานาสัญญายตนะญาณ องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียนรู้ตาม และกระทำตามได้โดยง่าย
และเมื่อตรวจสอบแล้วเห็นว่าญาณนั้น
สังวตตติ ยาวเทว เนวสัญญานาสัญญายตนูปปัตติยาติ เท่านั้น คือเป็นไปเพียงเพื่อกระทำให้เข้าไปสู่ความเป็น เนวสัญญานาสัญญายตนญาณ เท่านั้น ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด เพื่อความดับทุกข์ เพื่อความสงบ เพื่อความเป็นผู้รู้ยิ่ง เพื่อความบรรลุธรรม เพื่อนิพพานหรือปรินิพพานแต่อย่างใดเลย เมื่อเห็นดังนี้ก็จึงตัดสินใจเดินทางจากไป
แล้วหลังจากนั้นก็เลือกสถานที่ ที่ตนเองเห็นว่าเหมาะสม แก่การที่จะประพฤติปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรม และในขณะนี้นี่เอง ที่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กำลังใช้กรรม พระองค์ได้ตรัสว่า ปุพพกัมเมน โจทิโต เราได้ถูกกรรมเก่าโจทย์ท้วงเอาแล้วหนอ กรรมนี้เกิดจากองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยที่พระองค์ท่านเป็นโชติปาละ พระองค์ท่านได้กล่าวจาบจ้วง ต่อพระปัจเจกกัสสปะ ในการกระทำมาซึ่งความได้มาซึ่งโพธิญาณที่กวงโพแห่งหนึ่ง
จากคำกล่าวว่า การได้มาซึ่งโพธิญาณจะได้เพียงเท่านี้นั่นหรือ ดังนี้นั้น เป็นเหตุให้องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องมาใช้กรรมหนักอยู่ถึง 6 ปี คือการบำเพ็ญทุกรกิริยานั้น ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม แต่เป็นการใช้กรรม
เพราะเมื่อพ้นกรรมแล้วองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงกับอุทานว่า
วตัมหิ มุตตัง วตัมหิ ตายะ ทุกกรการิกายะ
สาธุ มุตตัง วตัมหิ ตายะ
อนัตถสัญหิตายะ ทุกกรการิกายะ
สาธุ วตัมหิ โพธิสมัชฌคูติ
โอ เราเป็นผู้พ้นจากทุกกรกิริยานั้นแล้วหนอ
โอ สาธุ เราได้พ้นจากทุกกรกิริยาอันไม่ประกอบด้วยประโยชน์แล้วหนอ
โอ สาธุ เราเป็นสัตว์ผู้บรรลุโพธิญาณแล้ว
นี่คือพระองค์ท่านได้อุทานหรือรำพึง ตอนที่พระองค์ท่านได้บรรลุธรรมแล้ว คือหลังจากพ้นจากใช้กรรมนั้นแล้วด้วย
แล้วหลังจากนั้น พระองค์ท่าน ก็ได้มีสติระลึกว่า การกระทำทุกกรกิริยานั้น แม้จะประพฤติปฏิบัติด้วยความพากเพียรอย่างเผ็ดร้อนเพียงใด ก็ไม่บรรลุธรรม และตรวจสอบเลยว่า บุคคลผู้หนึ่งผู้ใดที่จะกระทำความเพียรอันเผ็ดร้อน หยาบกล้าถึงขนาดนี้ ในอดีตก็ตาม ในอนาคตก็ตาม หรือในปัจจุบันนี้ก็ตาม จะไม่มีใครสามารถกระทำได้เท่านี้ หรือทำได้ก็อย่างที่พระองค์ทำได้เท่านี้ แต่การกระทำดังกล่าวนี้ ก็ไม่บรรลุอุตตริมนุสสธรรม อลมริญญาณทัสสนวิเสส เลย พระองค์ท่านได้รำพึงว่า คงจะมีทางอื่นกระมังหนอ
แล้วหลังจากนั้น พระองค์ท่านก็ได้ระลึกขึ้นว่า ในสมัยที่พระองค์ท่านเป็นราชกุมารอยู่ พระองค์ท่านได้เสด็จไปร่วมงานวัปปมงคล ของท้าวศากยะผู้เป็นพระราชบิดา พระองค์ท่านได้นั่งที่ร่มไม้หว้าอันสงบเยือกเย็น ที่นั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เป็นเหตุให้องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยนั้น ได้บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติ สุข อันเกิดแต่วิเวกอยู่ พระองค์ท่านได้รำพึงว่า ทางนี้กระมังหนอ จะเป็นเหตุแห่งการตรัสรู้ได้
แล้วพระองค์ท่านมีสติแล่นไปตามทางนั้นว่า ทางนี้หละ ที่จะเป็นทางบรรลุโพธิญาณ หรือบรรลุธรรมได้ หลังจากนั้นพระองค์ท่านก็ได้ดำริ หรือมีความนึกคิดขึ้นว่า เราผู้กลัวสุขที่เว้นแต่กาม เว้นจากอกุศลธรรมหรือ พระองค์ท่านก็ย้ำชัดลงไปว่า เราไม่เป็นผู้กลัวสุขที่เว้นแต่กาม เว้นจากอกุศลธรรมเลย
แต่เมื่อตรวจสอบตัวเองแล้วเห็นว่า ขณะนี้เรามีร่างกายผ่ายผอมมากเช่นนี้ การที่จะถึงสุขนั้น ไม่ได้ทำได้โดยง่าย อย่างกระไรเลย เราพึงบริโภค อาหารหยาบ คือข้าวสุก ขนมสดเถิด แล้วหลังจากนั้นพระองค์ท่านก็ได้ตัดสินพระทัยบริโภคอาหารยาบ คือข้าวสุก ขนมสด
และในขณะนั่นเอง ปัญจวัคคีย์ทั้ง5 ซึ่งทนุบำรุงองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ ด้วยหวังว่าเมื่อองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรลุธรรมแล้ว จะบอกข้อธรรมต่างๆให้กับตนเอง ได้เห็นองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้กลับมาบริโภคอาหารยาบ คือข้าวสุก ขนมสดแล้ว ก็เบื่อหนาย เดินทางหนีจากองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป ด้วยสำคัญว่า องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นผู้คลายความเพียร เป็นผู้มักมาก คลายความเพียร เวียนมาสู้ความเป็นผู้มักมากซะแล้ว ก็เดินทางจากไป
แล้วหลังจากนั้นองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้บริโภคอาหารยาบ จนมีกำลังขึ้น เมื่อมีกำลังแล้ว พระองค์ท่านก็สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน คือ มีวิตก มีวิจาร มีปีติ สุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ นี้คือองค์ธรรมแห่งฌาน1
เมื่อบรรลุฌาน1 แล้ว ลำดับต่อไปองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็บรรลุฌานที่2 คือไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติ และสุขซึ่งจิตในภายในนั้น เป็นธรรมอันเอกผุดขึ้นอยู่ พระองค์ท่านบรรลุฌานที่2
หลังจากนั้น พระองค์ท่านก็บรรลุฌานที่3 คือสภาวะที่เป็นอุเบกขา มีจิต มีสติสัมปัชชัญญะเสวยสุขอยู่ คือไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร ไม่มีปีติ ไม่มีสุข ในขณะนี้เป็นเวทนาที่เป็นอทุกขมสุขอยู่ คือเป็นอุเบกขาอยู่ นี้คือฌานที่3 องค์คุณฌานที่3 ที่พระองค์ท่านได้ตรัสรู้
แล้วหลังจากนั้นก็บรรลุฌานที่4 คือจตุตถฌาน ณ ที่ฌานที่4 นี้ จะละสุข ละทุกข์ คือไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ละสุขละทุกข์ก่อนๆจนสิ้น ละโสมนัส โทมนัสก่อนๆ จนสิ้นไปหมด
นี่คือสภาวะของการบรรลุธรรม ขององค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเกิดจากหลังจากพ้นกรรมแล้ว การกระทำกรรมทุกกรกิริยานั้น พระองค์ท่าน ไม่ดู ไม่ฟัง ไม่ดม ไม่กิน ไม่สัมผัส ไม่รับรู้ธรรมารมณ์ใดๆ ใช้กรรมอยู่ 6 ปี ก็ไม่บรรลุธรรม
แต่พอพระองค์ท่านระลึกถึงความหลัง สมัยเป็นราชกุมารอยู่ คือสมัยเป็นราชกุมารพระองค์ท่านก็ยังดู ยังฟัง ยังดม ยังกิน ยังสัมผัส ยังรับรู้ธรรมารมณ์ใดๆด้วยจิตอยู่ แต่ในขณะนั้น ขณะที่เป็นราชกุมาร พระองค์ท่านกับเป็น
วิวิจเจวะ กามเมหิ วิวิจจะ อะกุสะเลหิธัมเมหิ
คือเว้นจากกาม เว้นจากอกุศลธรรม หรือสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมจนสิ้น
จึงบรรลุปฐมฌาน อันมีวิตกมีวิจารมีปีติ และสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ นั่นเป็นสมัยเป็นราชกุมาร
แต่พระองค์ท่านไม่รู้ว่า นี่คือการได้ฌาน ในสมัยเป็นราชกุมาร แต่พอกรรมสิ้น กรรมสิ้นแล้ว เหตุปัจจัยประชุมพร้อมกัน ท่านจะบรรลุอุตตริมนุสสธรรมอลมริยญาณ หรือความเป็นพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านก็หวนไปรำลึก ไปรำลึกถึงความหลังเมื่อครั้งเป็นราชกุมาร
ดังที่อาตมาได้แสดงให้กับพวกเราได้ดูว่า พระองค์ท่านรำพึงว่า คงจะมีทางอื่นกระมังหนอที่จะเป็นเหตุให้บรรลุโพธิญาณ แล้วหลังจากนั้นก็รำลึกถึงความหลังนั้นหละ เราได้มีความรำลึกว่า สมัยที่เป็นราชกุมาร เราได้ไปงานวัปปมงคล ของท้าวศากยะผู้เป็นบิดา เราได้นั่งอยู่ร่มไม้หว้าอันสงบเยือกเย็น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน คือ มีวิตก มีวิจาร มีปีติ และสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่
ไม่ได้นั่งสมาธิ ไม่ได้กระทำการอื่นๆ ยังดู ยังฟัง ยังดม ยังกิน ยังสัมผัส ยังรับรู้ใดๆอยู่ทุกประการ นั่นคืออาการตอนเป็นราชกุมาร ตอนที่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะบรรลุธรรมนี้ พระองค์ท่านก็กลับมาดู กลับมาฟัง กลับมาดม กลับมากิน กลับมาสัมผัส กลับมารับรู้ธรรมารมณ์ใดๆด้วยอายตนะทั้ง6 ภายใน และอายตนะทั้ง6 ภายนอก เป็นปกติ แต่สภาวะนี้เป็นสภาวะที่ วิวิจเจวะกามเมหิ ละกามจนสิ้น วิวิจจะ อะกุสะเลหิธัมเมหิ ละอกุศลธรรมจนสิ้น
แล้วพระองค์ท่าน ก็บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่
ลำดับต่อมา ก็บรรลุทุติยฌานคือไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ ลำดับต่อมา ก็บรรลุตติยฌาน คือไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร ไม่มีปีติ ไม่มีสุขแล้ว แต่ความเป็นอุเบกขามีจิตเสวยสุขอยู่
ลำดับต่อมาก็จึงบรรลุฌานที่4 คือจตุตถฌาน คือละสุข ละทุกข์ในกาลก่อนๆ ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ละโสมนัส โทมนัสก่อนๆจนสิ้น สภาวะนี้คือความเป็น
สันโตหมัสมิ นิพพุโตหมัสมิ อนุปาทาโนหมัสมีติ
อาตมาได้ชี้ให้พวกเราดูว่า นี่คือการบรรลุธรรม ขององค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยการบรรลุฌาน หรือการกระทำฌานได้อย่างบริบูรณ์ แต่การได้มาซึ่งฌานขององค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เกิดขึ้นในขณะที่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อายตนะทั้ง6 ยังทำงานปกติ คือตาก็ยังดู หูก็ยังฟัง จมูกยังดม ลิ้นก็ยังสัมผัสรับรู่รสต่างๆคือกิน กายก็ยังสัมผัสโผฏฐัพพะภายนอก และจิตก็รับรู้ธรรมารมณ์ใดๆทุกประการ
คำว่าละกาม ละอกุศลธรรม จนบรรลุปีตินี้ น่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก ทำในขณะที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ใดๆ ก็ยังสัมพันกันอยู่
เหตุนี้ การกระทำดังกล่าวนี้ ในองค์ประชุมดังกล่าวนี้ ในเหตุปัจจัยดังกล่าวนี้ เป็นเหตุให้องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรรลุอุตตริมนุษธรรม อลมริญญาณทัสสนวิเสส คือการบรรลุการกระทำฌานไปตามลำดับ ตามบทตามลำดับไม่มีผิดเพี้ยนเลย
ในเบื้องต้นนี้ อาตมาจะชี้ให้กับพวกเราได้ดูเพียงว่า การที่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรรลุฌานหนึ่งสองสามสี่นั้น เกิดขึ้นในขณะที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยังทำงานตามปกติ ยังดู ยังฟัง ยังดม ยังกิน กินหรือเสวย หรือบริโภคจนมีพละกำลังมากพอที่จะกระทำฌานได้ กายก็ยังสัมผัสรับรู้สิ่งต่างๆภายรอบนอก และจิตก็รับรู้ธรรมารมณ์ คือทุกเรื่องทุกราวเป็นปกติ นี่คือความน่ามหัศจรรย์
อาตมาจะยังไม่เฉลยว่า การละกาม ละอกุศลธรรม จนได้ปีติอันเกิดแต่วิเวกนั้น เป็นอย่างไร องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงไว้ในพระสูตรมากมาย แต่อาตมาจะยังไม่เฉลยให้พวกเรา
เพราะ 1เพื่อพิสูจน์พวกเราที่ตามอาตมามาด้วย ว่าพวกเรามีขีดความสามารถ หรือมีอินทรีย์พอที่จะรู้ตามธรรมนี้ได้ด้วยตนเองได้หรือไม่
2 เพื่อไม่เป็นการดูหมิ่นพวกเรา คือถ้าอาตมาชิงอธิบายให้ฟังโดยง่าย พวกเราก็จะดูเหมือนตัวเองไร้คุณค่า หรือมีคุณค่าน้อยไป ถ้าพวกเราระลึกได้เองหนิ คุณค่าจะมากยิ่งขึ้น
แต่ถ้ากรณีที่3 ถ้าเมื่อเรายังรู้จริงไม่ได้ ยังแทงตลอดไม่ได้ ลำดับนั้นหละ พวกเราค่อยเข้าหา ค่อยนั่งใกล้ ค่อยเงี่ยโสตลง แล้วฟังธรรม แล้วจำธรรมนั้นไว้ แล้วใคร่ครวญธรรมนี้ต่อไป อาตมาจะทำหน้าที่อาตมาตรงนี้ให้เต็มที่ ปวงญาติค่อยๆลำดับไป
ให้รู้เถิดว่า การกระทำฌานนั้นต้องกระทำในขณะที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยังทำงานกับอายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่นรส สัมผัส ธรรมารมณ์ใดๆ ทุกประการ เหมือนองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ นั่นหละ ท่านก็กลับมาบริโภคอาหารหยาบ คือข้าวสุก ขนมสด ก็คือมาดู มาฟัง มาดม มากิน มาสัมผัส มารับรู้ธรรมารมณ์ใดๆ อยู่เป็นปกติ แต่การบรรลุธรรมนี้เป็นการบรรลุด้วย ปัญญา
ตอนนี้อนุโมทนากับปวงญาติเอาไว้เท่านี้ก่อน
แสดงธรรมโดย หลวงพ่อ พุทธปัญโญ
วันจันทร์ที่ 19 เดือน เมษายน ปี 2564

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา