26 เม.ย. 2022 เวลา 05:35 • หนังสือ
#44 CWG. 4️⃣ — บทที่ 1️⃣2️⃣ (ตอนที่ 1) : มีวิธีปฏิบัติที่ “ใช้การได้จริง” ในการขจัดความรุนแรงออกไปจากประสบการณ์ของมนุษย์
ผู้แปล : คุณซิม จากเพจ Books for Life
ผู้เรียบเรียง : แอดมิน (ซึ่งผมอาจแก้ไข เพิ่มคำแปล และ เรียบเรียงประโยคใหม่บางส่วน)
Q : Nonviolence is a striking contrast between Highly Evolved Beings and humans, and I understand that their awareness of life as an eternal experience can certainly create a context within which violence would be seen as unnecessary.
นีล : สิ่งที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดระหว่างสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงกับมนุษย์ ก็คือ การไม่ใช้ความรุนแรง ตามความเข้าใจของผม เมื่อพวกเขารู้แน่อยู่แก่ใจว่า “ชีวิต” คือประสบการณ์อันเป็นนิรันดร์ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะส่งผลให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ความรุนแรงถูกมองว่าไม่ใช่สิ่งจำเป็น
Might there, however, be a more “practical” means of reducing or even eliminating violence from the human experience?
ว่าแต่ มันจะพอมีวิธีปฏิบัติที่ “ใช้การได้จริง” ในการลดหรือแม้กระทั่งขจัดความรุนแรงออกไปจากประสบการณ์ของมนุษย์หรือไม่ครับ❓
We’ve tried for several millennia to convince member of our species that their life is eternal. Even with this idea having been accepted by many, it doesn’t seem to have reduced violence in any significant way.
เราได้พยายามมาหลายพันปีแล้วในการโน้มน้าวสมาชิกในเผ่าพันธุ์ของเราว่าชีวิตนั้นเป็นนิรันดร์ แม้ว่าแนวคิดนี้จะได้รับการยอมรับจากใครหลาย ๆ คน แต่ก็ดูเหมือนว่าความรุนแรงก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด (กลับจะเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ)
A : There is a practical way to eliminate violence. Simply move away from humanity’s present deep belief in Separation.
พระเจ้า : มันมีวิธีปฏิบัติที่ “ใช้การได้จริง” ในการขจัดความรุนแรงออกไปจากประสบการณ์ของมนุษย์ เพียงแค่ เปลี่ยนความเชื่อที่ฝังรากลึกในตอนนี้ของมนุษยชาติในเรื่อง ‘การแบ่งแยก’ ก็เท่านั้นเอง
.
Q : Ah, yes, this I “get” immediately. And I don’t have to be helped by Highly Evolved Beings from another realm to do so. All I have to do is look around me.
นีล : อ่า ใช่ครับ ผม “เข้าใจ” เลยล่ะ และผมอาจไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากเหล่าสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงจากมิติอื่นเลยด้วยซ้ำ ทั้งหมดที่ผมต้องทำก็แค่ มองไปรอบๆตัว
I observe that right now most people who believe in God—and that is by far the largest number of people on our planet—still embrace a Separation Theology. Their way of looking at God is that humans are "over here" and God is "over there."
ผมสังเกตเห็นว่า ในปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่ที่เชื่อในพระเจ้า —และผู้คนที่เชื่อในพระเจ้านั้นเห็นได้ชัดว่ามีมากที่สุดในโลกของเรา— ก็ยังมีความเชื่อในคำสอนทางศาสนศาสตร์แบบแบ่งแยกที่ว่า พระเจ้า กับ มนุษย์ นั้นแยกขาดจากกัน วิธีที่พวกเขามองดูพระเจ้าก็คือ มนุษย์ “อยู่ตรงนี้” และพระเจ้า “อยู่ตรงโน้น”
This would not matter if it began and ended there, but the problem with a Separation Theology is that it produces a Separation Cosmology—that is, a way of looking at all of Life which says that everything is separate from everything else.
มันคงจะไม่เป็นไร หากมันเริ่มต้นและจบลงแค่นั้น แต่ปัญหาของศาสนศาสตร์แบบแบ่งแยกนั้นก่อให้เกิดจักรวาลวิทยาแบบแบ่งแยกไปด้วย —หมายถึง การเห็นว่าทุกชีวิต กับสรรพสิ่งทั้งปวงนั้นแยกขาดจากกัน โดยไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ
This wouldn’t be so bad if it was just a point of view, but the problem is that a Separation Cosmology produces a Separation Psychology—that is, a psychological viewpoint which says that I am “over here” and everyone else is “over there.”
มันคงจะไม่เลวร้ายนักหากมันเป็นเพียงแค่มุมมองหรือความคิดเห็นส่วนตัว แต่ปัญหาก็คือ จักรวาลวิทยาแบบแบ่งแยก ดันก่อให้เกิดจิตวิทยาแบบแบ่งแยกขึ้นมาอีก —หมายถึง มุมมองทางด้านจิตวิทยาที่ว่า ฉัน “อยู่ตรงนี้” และคนอื่นๆ ก็ “อยู่ตรงโน้น”
This would also be something we could live with if that was all there was to it, but the problem is that a Separation Psychology produces a Separation Sociology—that is, a way of socializing with each other which encourages everyone within human society to act as separate entities serving their own separate interests.
และมันคงเป็นสิ่งที่เราใช้ชีวิตอยู่กับมันได้ หากมันสิ้นสุดลงแค่นั้น แต่ปัญหาก็คือ จิตวิทยาแบบแบ่งแยก ก็ยังผลให้เกิดสังคมแบบแบ่งแยกขึ้นมาอีก —หมายถึง วิถีทางสังคมที่แต่ละคนล้วนสนับสนุนให้คนอื่นๆ ในสังคมมนุษย์มีพฤติกรรมที่แบ่งแยก เพื่อตอบสนองต่อสิ่งที่พวกเขาต้องการแบบตัวใครตัวมัน หรือคิดแต่จะหาผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลักไม่เคยคิดถึงผลประโยชน์ส่วนรวม
Now we’ve entered into truly dangerous territory, because a Separation Sociology inevitably produces a Separation Pathology—pathological behaviors of self-destruction, engaged in individually and collectively, and producing suffering, conflict, violence, and death by our own hands—evidenced everywhere on our planet throughout human history.
เมื่อมาถึงตรงนี้ เราก็เข้าสู่พื้นที่อันตรายแล้ว เพราะสังคมที่แบ่งแยก แน่นอนว่าย่อมนำไปสู่พยาธิวิทยา (วิชาที่ว่าด้วยการเกิดขึ้นของโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นทั้งทางกายและทางจิตใจ) ที่แบ่งแยก —พฤติกรรมป่วยไข้ที่ทำลายตนเอง ทั้งแบบส่วนตัวและส่วนรวม ทำให้เกิดความทุกข์ ความขัดแย้ง ความรุนแรง และการเสียชีวิตด้วยน้ำมือของตัวเอง (ฆ่าตัวตาย)— ซึ่งมีหลักฐานปรากฏอยู่ทั่วทุกที่บนโลกของเราตลอดช่วงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมนุษย์
To me it seems that only when our Separation Theology is replaced by a Oneness Theology will our pathology be healed. A Oneness Theology would recognize that we have been differentiated from God, but not separated from God, even as the fingers on our hand are differentiated but not separated from each other, but connected by the hand itself, and by the hand to the entire body—even as we are differentiated but not separated, connected by being parts of the body of God.
สำหรับผมมันดูเหมือนว่า ขอแค่เพียง ‘ศาสนศาสตร์แบบแบ่งแยก’ ถูกแทนที่ด้วย ‘ศาสนศาสตร์แบบหนึ่งเดียวกัน’ ก็จะทำให้พยาธิวิทยาของเราได้รับการรักษาเยียวยา ศาสนศาสตร์แบบหนึ่งเดียวกันจะบอกว่า เราแตกต่างจากพระเจ้า แต่ไม่ได้แยกขาดจากพระเจ้า ถึงแม้ว่าแต่ละนิ้วบนมือของเรานั้นแตกต่างกัน แต่มันก็ไม่ได้แยกขาดจากกัน เพราะมันถูกเชื่อมต่อเอาไว้ด้วยมือนั่นเอง และมือก็เชื่อมต่อกับทั้งร่างกาย —แม้ว่าพวกเราจะแตกต่างกัน แต่ก็ไม่ได้แยกขาดจากกัน #เพราะพวกเราเชื่อมต่อกันโดยการเป็นส่วนหนึ่งของกายาแห่งพระผู้เป็นเจ้า
A : You have put this all perfectly. This is shared with great clarity.
พระเจ้า : ทั้งหมดที่เธอกล่าวมานั้นสมบูรณ์แบบ นี่มาจากความเข้าใจอันกระจ่างชัดของเธอ
(มีต่อ)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา