30 เม.ย. 2022 เวลา 16:09 • ประวัติศาสตร์
• เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐฯ
ต่อไปนี้คือ 10 เรื่องที่เป็นเกร็ดน่ารู้ในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐฯ คือ จอร์จ วอชิงตัน (George Washington) ที่ดำรงตำแหน่งระหว่าง 30 เมษายน ปี 1789 ถึง 4 มีนาคม ปี 1797
1
(Source: The History Junkie)
1. จอร์จ วอชิงตัน ต้องยืมเงินเพื่อเดินทางไปทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
3
ในปี 1789 นายพลจอร์จ วอชิงตัน ยอมรับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศที่เกิดใหม่ที่เมืองนิวยอร์ก (ในตอนแรกที่ทำการรัฐบาลอยู่ที่นิวยอร์ก จากนั้นจึงย้ายไปที่ฟิลาเดลเฟีย และมีเมืองหลวงถาวรที่วอชิงตัน ดีซี) ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมากนับ 50,000 เอเคอร์ที่เวอร์จิเนีย แต่จอร์จ วอชิงตัน ไม่มีเงินมากพอที่จะใช้ในการเดินทางไปรับตำแหน่ง
1
สิ่งที่เขาทำในตอนนั้นคือยืมเงินจากนายธนาคารเพื่อนำไปใช้หนี้สินและใช้ในการเดินทางไปนิวยอร์ก ระหว่างการเดินทางผ่านเมืองต่าง ๆ เขาได้รับการต้อนรับเยี่ยงผู้มีชัย และเดินทางไปถึงนิวยอร์กเมื่อวันที่ 23 เมษายน
จอร์จ วอชิงตัน ทำพิธีสาบานตนบนชั้นสองของ Federal Hall และมีการตะโกนโดยผู้ที่ทำพิธีว่า “Long live George Washington, President of the United States!” มีนักประวัติศาสตร์ลงความเห็นว่าจอร์จ วอชิงตันเป็นผู้ที่เพิ่มคำพูดว่า "so help me God" เข้าไปในคำปฏิญาณตนซึ่งกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย
1
พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งครั้งแรก เมื่อวันที่ 30 เมษายน ปี 1789 (Source: Wikipedia)
2. จอร์จ วอชิงตัน มีฟันแท้แค่ซี่เดียวเมื่อเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี
จอร์จ วอชิงตัน มีปัญหาเรื่องฟันตั้งแต่ตอนช่วงอายุ 20 ปี ทั้งปวดฟัน ฟันผุ และฟันหลุด ซึ่งน่าจะมาจากปัจจัยเรื่องอาหารการกินในเวลานั้น โรคที่เป็นอยู่ และพันธุกรรม แต่บ้างก็ว่ามีสาเหตุมาจากการที่เขาชอบใช้ฟันปอกเปลือกวอลนัท
1
ดังนั้นเมื่อช่วงที่เขารับตำแหน่งประธานาธิบดี จอร์จ วอชิงตัน มีฟันเหลือแค่ซี่เดียว ซี่อื่น ๆ ที่เหลือเป็นฟันปลอมทั้งหมด มีเรื่องเล่าขานกันมาว่าฟันปลอมของเขาทำมาจากไม้ แต่แท้จริงแล้วฟันปลอมของเขาได้มาจากฟันคน (เล่ากันว่าฟันเหล่านี้ถูกดึงมาจากคนยากไร้และแรงงานทาสของเขาเอง) ฟันวัว และทำมาจากโลหะและงา
3
จอร์จ วอชิงตัน มีฟันปลอมหลายชุด ซึ่งการสวมฟันปลอมสร้างความเจ็บปวดและทำให้ใบหน้าของเขาผิดรูปไปและทำให้เขาปากยื่น จึงทำให้เขาเป็นคนยิ้มยาก แถมทำให้เวลากินเวลาพูดเต็มไปด้วยความยากลำบาก อาหารมื้อเช้าของเขาจึงเป็นอะไรที่นุ่มและทานง่ายคือเค้กที่ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ กับน้ำเชื่อม
1
ฟันปลอมชุดที่สมบูรณ์ที่สุดของจอร์จ วอชิงตัน ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ (Source: Mount Vernon)
3. จอร์จ วอชิงตัน พยายามปฏิเสธที่จะรับเงินเดือนในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
เมื่อเข้ารับตำแหน่ง จอร์จ วอชิงตัน ตัดสินใจที่จะสละเงินประจำตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศ แต่สุดท้ายก็ต้องถูกบีบให้รับเพราะจะกลายเป็นแบบอย่างให้ผู้ที่มารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อ ๆ มา
1
ในรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ กำหนดให้ผู้นำสูงสุดของประเทศต้องรับเงินเดือน ซึ่งข้อกำหนดนี้มีเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้นำประเทศที่มีฐานะไม่ดีอาศัยช่องทางเลี้ยงชีพด้วยการรับสินบนหรือคอรัปชั่น
1
สภาคองเกรสในเวลานั้นจึงตัดสินใจให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้รับเงินประจำปีเป็นจำนวน 25,000 เหรียญต่อปี คิดคร่าว ๆ เป็นเงินมูลค่าในปัจจุบันประมาณ 644,000 เหรียญ ส่วนทุกวันนี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้รับเงินประจำปีเป็นเงิน 400,000 เหรียญ
1
เงินประจำตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงเวลาต่าง ๆ (Source: The Complete Payroll Blog)
4. จอร์จ วอชิงตัน เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพียงคนเดียวที่ไม่เคยเข้าไปอาศัยอยู่ในทำเนียบขาว
ก่อนที่จะมีทำเนียบขาว จอร์จ วอชิงตัน พำนักอยู่ทั้งที่นิวยอร์กและฟิลาเดลเฟีย จนกระทั่งเดือนกรกฎาคม ปี 1790 ที่สภาคองเกรสออกกฎหมายเลือกให้สหรัฐฯ มีเมืองหลวงถาวรอยู่บริเวณพื้นที่แคบ ๆ ที่เป็นแถบระหว่างเวอร์จิเนียกับแมรีแลนด์ บริเวณฝั่งแม่น้ำโปโตแมค (Potomac River) ปัจจุบันคือกรุงวอชิงตัน ดีซี ด้วยเหตุนี้จึงมีการสร้างที่พำนักถาวรของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขึ้น ณ ที่นั้น
เขามีส่วนร่วมในการสร้างเมืองหลวงและสร้างทำเนียบขาว โดยที่พำนักของประธานาธิบดีนี้เริ่มสร้างขึ้นในปี 1792 และแล้วเสร็จในปี 1800 ซึ่งถูกออกแบบตามความประสงค์ของเขา แต่กว่าจะแล้วเสร็จตัวจอร์จ วอชิงตัน ก็ไม่มีโอกาสได้เห็นเพราะเขาเสียชีวิตไปเสียก่อนเมื่อปี 1799
จอห์น อดัมส์ (John Adams) ได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คนที่ 2 ต่อจากจอร์จ วอชิงตัน และเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ได้ย้ายเข้าไปอยู่ในทำเนียบขาว ซึ่งชื่ออย่างเป็นทางการในตอนแรกนั้นคือ “Executive Mansion” และเปลี่ยนมาเรียกเป็น “White House” อย่างเป็นทางการในสมัยประธานาธิบดีธีโอดอร์ รูสเวลท์ (Theodore Roosevelt)
1
ภาพทำเนียบขาววาดเมื่อปี 1807 (Source: Library of Congress)
5. จอร์จ วอชิงตัน ไม่เชื่อในเรื่องความเท่าเทียมกันทางเชื้อชาติ
จอร์จ วอชิงตัน มองว่าคนขาวสูงกว่าคนพื้นเมืองอเมริกันและทาสผิวดำ เขาเห็นว่าคนพื้นเมืองอเมริกันนั้นสูงกว่าทาสผิวดำสักหน่อย ซึ่งถ้ามองจากในบริบทของคนในยุคปัจจุบันที่พยายามสร้างมาตรฐานทางศีลธรรมเรื่องความเท่าเทียมกันทางเชื้อชาติอาจจะเป็นเรื่องไม่ยุติธรรมนักที่จะตัดสินเขาว่าเป็นคนเหยียดเชื้อชาติ เพราะคนอเมริกันในเวลานั้นถูกหล่อหลอมมาด้วยทัศนคติที่คนขาวเหนือกว่าชนชาติอื่น ๆ
โดยส่วนตัว จอร์จ วอชิงตัน มีทาส 10 คนที่เป็นมรดกตกทอดมาจากบิดา ต่อมาเขาซื้อทาสเพิ่ม และได้เพิ่มมาจากการแต่งงานกับมาร์ธา ในช่วงท้ายของชีวิตทาสที่เขามีได้ขยายจำนวนมากกว่า 300 คน ซึ่งทั้งหมดอยู่ในที่ดินของเขาที่เมาท์เวอร์นอน (Mt. Vernon) ที่เวอร์จิเนีย
1
เรื่องแปลกก็คือเมื่อทาสของมาร์ธาหลบหนีเขาได้พยายามตามตัวทาสคนนี้กลับมา แต่เขากลับทำพินัยกรรมไว้ว่าทาสทั้งหมดที่เขามีจะเป็นไทเมื่อมาร์ธา (Martha Washington) ภรรยาของเขาเสียชีวิตลง แต่พอถึงเวลานั้นทาสที่สามารถเป็นไทได้มีเพียง 123 คนจากทั้งหมด 317 คน เหตุเพราะปัญหาทางกฎหมาย
จอร์จ วอชิงตัน กับทาสของเขาที่ไร่ในเมาท์เวอร์นอน (Source: Wikipedia)
6. จอร์จ วอชิงตัน ได้เงินเป็นกอบเป็นกำจากการตกปลา
ถึงแม้ว่าจอร์จ วอชิงตัน จะเป็นเจ้าของที่ดินอันกว้างใหญ่และมีรายได้จากการเพาะปลูกพืชขาย แต่การจับปลาขาย (โดยแรงงานทาส) ทำเงินให้เขามากกว่ารายได้จากการเพาะปลูกพืชขายเสียอีก
การที่เขามีที่พำนักอยู่ใกล้แม่น้ำโปโตแมคอันอุดมไปด้วยปลาหลากชนิดทำให้เขากลายเป็นนักจับปลามือฉมัง ที่ดินของเขาติดกับแม่น้ำโปโตแมคเป็นระยะทาง 10 ไมล์ ซึ่งในแต่ละปีเขามีรายได้จากการตกปลามากกว่ารายได้จากการเพาะปลูกพืชในพื้นที่จำนวน 8,000 เอเคอร์
ประโยชน์ที่ได้รับจากปลาจำนวนมากที่จับได้นั้นไม่ได้มีเพียงแต่การนำไปขายให้กับบรรดาพ่อค้าและเพื่อนบ้านเพื่อสร้างรายได้ให้กับจอร์จ วอชิงตัน เท่านั้น แต่มันยังเป็นแหล่งอาหารให้กับสมาชิกในครอบครัวของเขารวมถึงทาสที่ใช้แรงงานอีกด้วย ทาสแต่ละคนจะได้รับปลา 20 ตัวต่อเดือน และปลาของเขาถูกส่งนำไปขายที่ใกล้ ๆ อย่างฟิลาเดลเฟียจนไกลไปถึงเขตอาณานิคมอินเดียตะวันตก เช่น จาไมกา
แผนที่แม่น้ำโปโตแมคส่วนที่ติดกับที่ดินของ จอร์จ วอชิงตัน ที่เวอร์จิเนีย (Source: Mount Vernon)
7. จอร์จ วอชิงตัน ไม่มีลูก มีเพียงแต่ลูกติด
จอร์จ วอชิงตัน แต่งงานกับมาร์ธา ซึ่งเป็นแม่ม่ายยังสาวที่มั่งคั่งและมีลูกติด เธอเคยแต่งงานมาก่อนและมีลูก 4 คนจากการแต่งงานครั้งแรก แต่ลูก 2 คนแรกของเธอเสียชีวิตก่อนที่เธอจะแต่งงานกับจอร์จ วอชิงตันในปี 1759
จอร์จ วอชิงตัน จึงได้เป็นพ่อเลี้ยงของลูก 2 คนที่เหลือของมาร์ธา ชื่อว่า จอห์น และมาร์ธา ซึ่งตอนที่แต่งงานกันนั้นจอห์นมีอายุได้ 4 ขวบ ส่วนมาร์ธาอายุ 2 ขวบ ในเวลาต่อมาเขาก็ได้มี “หลานเลี้ยง” จำนวน 4 คนซึ่งเป็นลูกของลูกเลี้ยง ดังนั้นในที่พำนักของเขาที่เมาท์เวอร์นอนจึงเต็มไปด้วยเด็ก ๆ ทั้งลูกเลี้ยงและหลานเลี้ยงที่เขารักราวกับเป็นลูกหลานแท้ ๆ
1
หลานเลี้ยงที่เป็นผู้ชายเพียงคนเดียวตั้งชื่อตามเขาคือจอร์จ วอชิงตัน และยังเป็นคนที่มีบทบาทในการรักษาข้าวของของเขาให้แก่คนรุ่นหลังได้เห็น และเขายังมีชีวิตอยู่จนได้เห็นหลานเลี้ยงของเขาลืมตามาดูโลกอีกด้วย ในช่วงชีวิตเป็นเวลา 40 ปี (จากทั้งหมด 67 ปี) ของจอร์จ วอชิงตันจึงรายล้อมไปด้วยลูกหลานเต็มไปหมด
1
จอร์จ วอชิงตัน กับครอบครัว (Source: Wikipedia)
8. จอร์จ วอชิงตัน ด้อยการศึกษา
จอร์จ วอชิงตัน ได้เรียนหนังสือถึงแค่ตอนที่มีอายุได้เพียง 11 ปี เหตุเพราะบิดาเสียชีวิต ซึ่งทำให้เขาหมดโอกาสที่จะได้เรียนต่อ ในขณะที่บรรดาพี่ชายคนละแม่ของเขามีโอกาสที่ดีกว่าโดยถูกส่งไปเรียนที่อังกฤษ (เพราะตอนนั้นบิดาของเขายังอยู่จึงสามารถส่งลูก ๆ ไปเรียนต่อได้) เขาเคยเดินทางออกนอกประเทศเพียงแค่ครั้งเดียวในช่วงวัยรุ่น โดยเดินทางไปต่างแดนที่ไม่นับว่าเป็นประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ก็คือบาร์เบโดส
แม่ของเขาไม่เคยแต่งงานใหม่ จึงกลายเป็นภาระที่เขาต้องแบกครอบครัวที่มีแม่และน้อง ๆ อีก 5 คนตั้งแต่ยังเล็กในฐานะลูกชายคนโตของแม่ ซึ่งเขาต้องดูแลไร่ แล้วพอตอนอายุ 16 ปีก็ประกอบอาชีพเป็นนักสำรวจที่ดิน ซึ่งการด้อยโอกาสทางการศึกษานี้ได้สร้างความอับอายให้กับเขาตลอดช่วงชีวิตที่เหลือ
โดยเฉพาะตอนที่เขาเป็นประธานาธิบดี ด้วยความที่รู้ข้อจำกัดทางการศึกษาของตัวเอง เขาจึงเลือกบรรดาบุคคลที่ทรงความรู้เพื่อช่วยบริหารประเทศเกิดใหม่นี้ ดังนั้นรายรอบตัวเขาจึงเต็มไปด้วยที่ปรึกษาและคณะรัฐมนตรีที่ฉลาดเฉลียว มีทักษะ และเป็นที่เคารพนับถือ ทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศที่เก่งภาษา (เพราะตัวเขาพูดภาษาต่างประเทศแทบไม่ได้) และบุคคลอื่น ๆ ที่มีความรู้ทางกฎหมาย การเงิน และการคลัง เป็นต้น ซึ่งเขาสามารถหาความรู้จากคนเหล่านี้เพื่อช่วยในการตัดสินใจอย่างรอบคอบ
1
จอร์จ วอชิงตัน กับคณะรัฐมนตรี (Source: American Heritage)
9. จอร์จ วอชิงตัน มีรักแรกกับภรรยาของเพื่อน
สตรีผู้นั้นมีชื่อว่าแซลลี แฟร์แฟกซ์ (Sally Fairfax) ซึ่งเป็นภรรยาของเพื่อนสนิทและผู้อุปถัมภ์คนสำคัญของจอร์จ วอชิงตัน ที่มีชื่อว่าจอร์จ แฟร์แฟกซ์ (George Fairfax) บุตรชายของเจ้าของที่ดินที่ใหญ่ที่สุดผู้หนึ่งในเวอร์จิเนีย โดยจอร์จ วอชิงตัน เป็นเพื่อนกับแซลลีตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นวัยรุ่นที่เงอะงะเคอะเขิน
แซลลีถือว่าเป็นคนสำคัญคนหนึ่งที่มีส่วนช่วยในการเปลี่ยนผ่านชีวิตให้แก่จอร์จ วอชิงตัน ให้รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไรเมื่ออยู่ในแวดวงสังคมของคนร่ำรวยและมีอำนาจ แถมยังสอนให้เขาเรียนรู้การเต้นรำตามแบบฉบับสังคมชั้นสูง
ความรักระหว่างทั้งสองงอกงามมาอย่างไรไม่มีข้อมูลแน่ชัด แต่เรารู้ข้อมูลนี้จากจดหมายที่เขาเขียนถึงเธอซึ่งถูกส่งไปไม่กี่อาทิตย์ก่อนที่เขาจะแต่งงานกับมาร์ธา ซึ่งมีเนื้อความประมาณว่าโลกไม่มีธุระกงการอะไรที่จะต้องมารู้เรื่องรักของเขาที่มาประกาศความรักนี้ให้แก่แซลลีที่เขาจำต้องปกปิดมันไว้
ภาพจอร์จ วอชิงตัน เต้นรำกับแซลลีเมื่อปี 1755 (Source: History.com)
10. จอร์จ วอชิงตัน เป็นคนรักสัตว์
สัตว์เลี้ยงที่เขาโปรดปรานมากที่สุดคงจะเป็นสุนัข ซึ่งเลี้ยงไว้เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน แถมยังตั้งชื่อไว้น่ารัก ๆ ด้วย เช่น สวีตลิปส์ วีนัส ทรูเลิฟ เทสเตอร์ ทิปเปลอร์ ดรังค์การ์ด มาดามมูส
เขาเป็นนักเพาะพันธุ์สัตว์ตัวยง ทั้งนก สุนัข และล่อ ซึ่งที่บ้านที่เมาท์เวอร์นอนเขาได้เพาะสุนัขไว้หลายสายพันธุ์ เช่น ดัลเมเชียน อิงลิชฟอกซ์ฮาวน์ เฟรนซ์ฮาวน์ เกรย์ฮาวน์ อิตาเลียนเกรย์ฮาวน์ มาสทิฟฟ์ นิวฟาวนด์แลนด์ พอยต์เตอร์ เทอร์เรียร์ สแปเนียล
จอร์จ วอชิงตันยังเป็นนักเพาะพันธุ์ล่อ เขาพยายามผสมม้ากับลาจนได้ล่อขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ในฟาร์ม เชื่อกันว่าคุณูปการนี้ส่งผลให้คนรุ่นหลังทางตอนใต้ของสหรัฐฯ มีแรงงานล่อใช้ในการทำการเกษตร
3
จอร์จ วอชิงตัน พร้อมด้วยสุนัขจำนวนมากหลังจากกลับมาจากล่าสัตว์ (Source: History.com)
อ้างอิง:

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา