27 พ.ค. 2022 เวลา 04:52 • สุขภาพ
🔰ท้องผูก🔰
แบ่งได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
▶️1.จากโรคทางกาย เช่น
เบาหวาน
ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ (Hypothyroidism)​
แคลเซียมในเลือดสูง
โรคทางระบบประสาทต่างๆ เช่น ได้รับบาดเจ็บหรือมีโรคที่สมองหรือไขสันหลัง โรคพาร์กินสัน เป็นต้น
⏩2.จากยาที่กินประจำ
ยาที่พบว่าทำให้เกิดท้องผูกบ่อย ได้แก่
กลุ่มยาทางจิตเวช เช่น ยารักษาอาการซึมเศร้า
ยาลดการบีบเกร็งของลำไส้ที่ใช้แก้ปวดท้อง เช่น ยาแก้ปวดบุสโคพาน
ยารักษาโรคพาร์กินสัน
ยาแก้แพ้บางชนิดที่ใช้กันเป็นประจำ เช่น​ คลอเฟนิรามีน
ยากันชัก เช่น ไดแลนติน
ยาลดความดันโลหิต ได้แก่​ ดิลไทอะเซ็ม​ เวอราปามิล โคลนิดีน
ยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของมอร์​ฟีน หรืออนุพันธ์ของมอร์​ฟีน
ธาตุเหล็ก ที่มีอยู่ในยาบำรุงเลือด
ยาลดกรด หรือวิตะมินที่มีส่วนผสมของ​แคลเซียม หรือ อลูมิเนียม
ยาแก้ปวดลดการอักเสบกลุ่ม NSAIDs เช่น ไดโคลฟีแนค​ ไพร็อกซีแคม​ อินโดเมธาซิน
⏭️3. การอุดกั้นของลำไส้ จากมะเร็งหรือเนื้องอกของลำไส้ใหญ่ทวารหนัก​ และอื่นๆ
⏯️4. ลำไส้หรือกล้ามเนื้อที่ควบคุมการขับถ่ายผิดปกติ และภาวะลำไส้แปรปรวน
นอกจากนี้ ปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้ท้องผูกได้ง่าย​ เช่น
การเคลื่อนไหวน้อย
กินอาหารที่มีกากน้อย
มีนิสัยในการขับถ่ายที่ไม่ดี
🍱ในแต่ละวันควรเลือกกินอาหารที่มีปริมาณกากใยอย่างน้อย 20 ถึง 35 กรัม อาหารที่มีกากใยสูง ได้แก่ ถั่ว ธัญพืช ผักและผลไม้สด กากใยที่ได้จากอาหารเหล่านี้จะช่วยเพิ่มมวลอุจจาระ และทำให้อุจจาระนิ่ม
แต่สำหรับผู้ที่ไม่สะดวกที่จะกินอาหารที่มีกากใยอย่างเพียงพอ
🔶ยาระบายชนิดเพิ่มปริมาณอุจจาระ (bulk-forming laxatives)​ ได้แก่​ ไฟเบอร์จากเมล็ดเทียนเกล็ดหอย (psyllium husk), เมทิลเซลลูโลส (methylcellulose)
▪️ยากลุ่มนี้ใช้เวลา 2-3 วันกว่าจะเห็นผลในการช่วยขับถ่าย​
▪️ก่อนกินยาจะต้องปล่อยให้ยาพองตัวในน้ำให้เต็มที่ก่อน และต้องดื่มน้ำตามให้เพียงพอเพื่อป้องกันไม่ให้ยาอุดตันทางเดินอาหาร
▪️ควรค่อยๆ เพิ่มปริมาณเส้นใยอย่างช้าๆ เพื่อป้องกันท้องอืด มีลมในท้องหรือปวดเกร็ง​​
▪️เหมาะกับผู้ที่ท้องผูกเนื่องจากกินอาหารที่มีไฟเบอร์น้อย​ และลำไส้ยังสามารถทำงานได้ดี
⚠️สำหรับผู้ที่ลำไส้บีบตัวไม่ดีซึ่งพบได้ในผู้สูงอายุ อาจได้รับประโยชน์ไม่เต็มที่ อีกทั้งยังทำให้ท้องอืดได้ง่าย​
⛔ยาระบายชนิดเพิ่มปริมาณอุจจาระจะไม่ใช้กับท้องผูกชนิดที่อุจจาระอัดเป็นก้อนแข็งจนถ่ายไม่ออก
ในกรณีที่ยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้เพิ่ม
🔶ยาระบายชนิดเพิ่มน้ำในลำไส้ (osmotic laxatives) กลุ่ม saline laxative ได้แก่​ milk of magnesia (MOM) ยากลุ่มนี้มีความสามารถในการดูดน้ำ เข้ามาในลำไส้ทำให้มีแรงดันเพิ่มขึ้น​ กระตุ้นให้เกิดการบีบตัวของลำไส้ จึงเกิดความรู้สึกอยากถ่ายอุจจาระ ทั้งนี้ยาจะออกฤทธิ์ให้รู้สึก ขับถ่ายในระยะเวลา 30 นาที - 6 ชั่วโมง ใช้เพื่อรักษาผู้ที่มีภาวะท้องผูกเฉียบพลันที่ไม่ได้เกิดจากการอุดกั้นของลำไส้
⚠️ ยาพวกแมกนีเซียมจะถูกดูดซึมเข้าร่างกายได้เล็กน้อย อาจรบกวนการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ควรหลีกเลี่ยงในผู้ป่วยโรคไตและโรคหัวใจ
นอกจากนี้แมกนีเซียมอาจมีผลรบกวนการดูดซึมยาจึงควรกินห่างจากยาอื่น
สำหรับ osmotic laxative ชนิดอื่นๆ เช่น​ polyethylene glycol / PEG แลคตูโลสและซอร์บิทอล ยากลุ่มนี้มีความสามารถในการดูดน้ำเข้ามาในลำไส้ได้ด้วย​ แต่ตัวยาไม่ใช่เกลือ​ น้ำจะทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มลง และยังช่วยเพิ่มแรงดันในลำไส้ กระตุ้นให้เกิดการบีบตัวของลำไส้ และขับถ่ายอุจจาระออกมา
▪️ยาที่มีการศึกษาค่อนข้างมากที่สนุบสนุนทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัยแม้ใช้เป็นเวลานานในผู้สูงอายุคือ​ PEG ไม่ก่อให้เกิดแก็สหรือท้องอืด แต่​​ก็ทำให้ระคายลำไส้ใหญ่​ PEG ใช้เวลา 2-4 วันหลังกินยา กว่าจะเริ่มเห็นผลในการช่วยขับถ่าย​
▪️แลคตูโลสมีการใช้มากในผู้สูงอายุเช่นกันแต่มีประสิทธิภาพด้อยกว่าและมีผลข้างเคียงมากกว่า​ โดยแลคตูโลสทำให้คลื่นไส้​ และทำให้เกิดลมแน่นท้องได้มากกว่า​ ใช้เวลา 1-2 วันหลังกินยา กว่าจะเริ่มเห็นผลในการช่วยขับถ่าย​​
หากใช้ยาระบายชนิดเพิ่มน้ำในลำไส้ไปไม่น้อยกว่า 6 สัปดาห์​ แต่ก็​ยังคงมีอาการท้องผูกเรื้อรัง​ สามารถเปลี่ยนไปใช้
🔶ยาระบายชนิดกระตุ้นการทำงานของลำไส้ (stimulant laxatives) พวกยาระบายมะขามแขก (sennosides) ส่วนยาบิซาโคดิล (bisacodyl) อาจใช้เสริมเป็นครั้งคราวได้​
⚠️ยาในกลุ่มนี้มีฤทธิ์แรงและออกฤทธิ์ได้เร็ว ไม่เหมาะที่จะใช้เป็นเวลานานเนื่องจากเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารและการเสียสมดุลอิเล็กโทรไลต์
นอกจากนี้การใช้เป็นเวลานานอาจรบกวนระบบประสาทในทางเดินอาหาร (enteric nervous system) ด้วยเหตุนี้จึงมักใช้ยากลุ่มนี้ไม่เกิน 4 สัปดาห์
⛔น้ำมันละหุ่ง​ ออกฤทธิ์กระตุ้นให้เกิดการขับถ่ายอุจจาระภายใน 3 ชั่วโมงหลังกินยา แต่ไม่ควรใช้​น้ำมันละหุ่งเป็นยาถ่าย เนื่องจากมียาอื่นที่ปลอดภัยกว่าให้เลือกใช้ในปัจจุบัน
(ในน้ำมันละหุ่งมีโปรตีนที่เป็นพิษ​ ถ้าปะปนออกมาจากการสกัดอาจทำให้เกิดพิษรุนแรงจนอาจเสียชีวิตได้)​
🔶ยาระบายชนิดที่ทำให้อุจจาระนุ่ม (stool softeners) (เช่น ด็อกคิวเสต docusate sodium และ docusate calcium​) ยาจะช่วยให้อุจจาระเหลวและขับถ่ายง่ายขึ้น​
การศึกษาด้านประสิทธิภาพ​ และความปลอดภัยของยาในระยะยาวมีน้อย มักแนะนำให้ใช้หลังคลอดหรือหลังผ่าตัด และในผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการออกแรงเบ่งอุจจาระ
⚠️อาจทำให้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเดิน และระคายคอ​
ในกรณีที่​อุจจาระอัดเป็นก้อนแข็งจนถ่ายไม่ออก​ ควรพิจารณาใช้ยาระบายชนิดยาสวนหรือยาเหน็บทวาร​
🔶ยาเหน็บและยาสวนทวารมักไม่ใช้เป็นประจำ แต่ใช้เป็นครั้งคราวไปตามสภาพต่างๆ เช่นใช้ยาระบายชนิดอื่นแล้วไม่ดีขึ้น มีปัญหาในการเบ่งถ่าย หรือ มีอุจจาระอัดแน่นอุดตัน (fecal impaction)
⏺️ยาเหน็บ​ เป็นวิธีที่ให้ผลเร็วกว่าการกิน เมื่อสอดเข้าไปในไส้ตรง ยาจะไปทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มลงและทำให้ผนังของไส้ตรงหดตัวเพื่อขับอุจจาระออกมา การใช้ยาในเวลาเดิมของทุกวันอาจช่วยให้การขับถ่ายอุจจาระสม่ำเสมอ ที่มีใช้บ่อยคือ กลีเซอรีนชนิดเหน็บ หรือ​ ยาเหน็บบิซาโคดิล
⏺️ยาสวน ออกฤทธิ์โดยอาศัยของเหลวปริมาตรสูงไปกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่เป็นหลัก​ โดยอาจผสมทั้ง mineral oil, hypertonic Sodium chloride, Sodium phosphate/Biphosphate
⚠️การสวนทำให้คุ้นชินกับการที่มียาปริมาตรขนาดสูงๆไปกระตุ้นอาการอยากถ่ายและคุ้นชินกับการที่มี local stimulation ดังนั้นหากใช้จนเคยชินหรือนานเกินไป จะเลิกใช้แล้วหันมาใช้ยากินทำได้ยาก
⚠️ยาสวน​ Sodium phosphate/Biphosphateไม่แนะนำสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคหัวใจหรือโรคไต ยกเว้นแพทย์สั่งให้ใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์
หากเกิดภาวะท้องผูกรุนแรงที่ใช้ยาอื่นแล้วไม่ได้ผล​จะเลือกใช้
🔶ยาในกลุ่ม​ chloride channel activators (Lubiprostone /AMITIZA®) ทำให้ลำไส้มีน้ำเพิ่มขึ้นและเคลื่อนไหวมากขึ้น ช่วยให้อุจจาระเคลื่อนตัวได้ดีจึงลดอาการของภาวะท้องผูก​ ใช้เพื่อรักษาภาวะท้องผูกรุนแรง​ และใช้ได้อย่างปลอดภัยนานถึง 6-12 เดือน
🔶 ยากระตุ้น guanylate cyclase-C (เช่น linaclotide, plecanatide)
🔶ยายับยั้ง sodium-hydrogen exchanger (เช่น tenapanor ยานี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษา)
หากใช้ยาเหล่านี้ไม่ได้ผลอาจพิจารณาใช้
🔶 serotonergic prokinetic drugs ที่ออกฤทธิ์ต่อตัวรับซีโรโทนินชนิด 5-HT4 (เช่น prucalopride)
ส่วนยากลุ่มใหม่ที่อยู่ระหว่างการศึกษาและได้รับความสนใจมากคือ
🔶กลุ่มที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการดูดซึมน้ำดี (เช่น elobixibat)
นอกจากนี้ในปัจจุบันโรคท้องผูกจากโอปิออยด์พบได้มากขึ้น จึงมี
🔶ยาที่ออกฤทธิ์เจาะจงในการต้านโอปิออยด์ที่ตัวรับนอกระบบประสาทส่วนกลาง (peripherally acting mu-opioid receptor antagonists) (เช่น methylnaltrexone, naloxegol, naldemedine)
ยาในกลุ่มต่างๆ ที่กล่าวมานั้นมีอาการไม่พึงประสงค์แตกต่างกันตามการออกฤทธิ์​
🤰ผู้หญิงตั้งครรภ์ที่ท้องผูกและจำเป็นต้องใช้ยา สามารถใช้ยาระบายกลุ่มต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ ซึ่ง
ยาระบายชนิดเพิ่มปริมาณอุจจาระ
ยาระบายชนิดเพิ่มน้ำในลำไส้ (พีอีจี แลคทูโลส) และ
ยาระบายชนิดทำให้อุจจาระนุ่ม (ด็อกคิวเสต) ถือว่าไม่ถูกดูดซึมเข้าระบบร่างกาย
ส่วนยาอื่น ได้แก่ แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ บิซาโคดิล และยามะขามแขก ถูกดูดซึมเข้าระบบร่างกายได้บ้างในปริมาณที่ถือว่าไม่มาก และไม่พบว่ายาทำให้เกิดผลเสียต่อทารกในครรภ์เมื่อมารดาใช้ยาเหล่านี้เป็นครั้งคราว
⛔ไม่แนะนำให้ใช้ยาระบายชนิดสวนทวารในหญิง​มีครรภ์​ เนื่องจากมีข้อมูลน้อย
การใช้ยาระบายบ่อยเกินไปไม่ว่ายาชนิดใดอาจส่งผลกระทบต่อสมดุลอิเล็กโทรไลต์ของทารกหลังคลอด
👩‍👦ผู้หญิงที่ให้นมบุตรและมีอาการท้องผูก สามารถใช้ยาระบายกลุ่มต่าง ๆ
ยาระบายชนิดเพิ่มปริมาณอุจจาระ
ยาระบายชนิดเพิ่มน้ำในลำไส้ (พีอีจีและแล็กทูโลส) และ
ยาระบายชนิดทำให้อุจจาระนุ่ม (ด็อกคิวเสต)
ถือว่าไม่ถูกดูดซึมเข้าระบบร่างกาย จึงไม่พบในน้ำนม
ส่วนยาอื่น ได้แก่ แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ บิซาโคดิล และยามะขามแขก ถูกดูดซึมเข้าระบบร่างกายได้บ้างในปริมาณที่ถือว่าไม่มาก การใช้ยาเป็นครั้งคราวไม่พบยาเหล่านี้ในน้ำนม มีเพียง​metabolite (ซึ่งหมายถึงสารที่เกิดจากกระบวนการสร้างและสลาย) ของยามะขามแขก (ได้แก่ rhein ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์) ที่พบได้เล็กน้อยในน้ำนมและไม่ส่งผลกระทบต่อทารกที่ดื่มนมมารดา
♨️ผู้ที่มีอาการท้องผูกและควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุเพิ่มเติม
มีอาการซีดจากขาดธาตุเหล็ก
ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด
น้ำหนักลดผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ
มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 50 ปีและเริ่มมีอาการท้องผูก
มีประวัติสมาชิกในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
ท้องผูกจนมีอาการของลำไส้อุดตัน (ปวดท้องมาก อึดอัดแน่นท้อง คลื่นไส้อาเจียน)
ท้องผูกที่รบกวนมาก​ กินยาระบายแล้วไม่ได้ผล
ถ้าผู้ป่วยมีอาการดังกล่าวนี้ แพทย์จะได้ทำการตรวจหาสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องผูก
💊ยาระบาย มีอยู่หลายรูปแบบ ได้แก่ ยาเม็ด ยาชง ยาน้ำแขวนตะกอน ยาเหน็บทวาร ยาสวนทวาร เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การใช้ยาระบายมีข้อจำกัด ต้องเลือกให้เหมาะกับแต่ละคน เช่น
⚠️ยาระบายที่มีฤทธิ์กระตุ้นการขับถ่ายอุจจาระ จะไม่ใช้ในผู้สูงอายุที่มีอุจจาระแข็งจับเป็นก้อน หรือในสตรีมีครรภ์เพราะลำไส้จะบีบตัวมากและอาจกลายจากท้องผูกเป็นท้องเดินได้
⚠️ผู้สูงอายุหรือผู้ที่ไม่ค่อยรู้สึกตัวก็จะไม่ให้ใช้น้ำมันละหุ่ง เพราะถ้ามีการสำลัก จะสำลักน้ำมันละหุ่งเข้าปอดและทำให้เกิดปอดอักเสบขึ้นได้
⚠️นอกจากนี้การใช้ยาระบายน้ำมันแร่หากใช้บ่อยๆ ก็อาจทำให้ขาด วิตามินเอ ดี อี เคได้
⚠️การใช้ยาระบายทุกชนิด ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้ลำไส้ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ส่งผลให้ต้องใช้ยาระบายตลอด ไม่สามารถขับถ่ายอุจจาระได้เองตามปกติ
😊โดยสรุปหากไม่จำเป็นควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาระบาย ให้กินผัก ผลไม้และอาหารที่มีกากใยอาหารสูง ดื่มน้ำให้มากขึ้นและออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ยาระบาย ควรขอคำปรึกษาจากเภสัชกรใกล้บ้านก่อนเสมอ​
.
.
📗อ่านเพิ่มเติม
แนวทางเวชปฏิบัติการดูแลรักษาผู้ป่วยท้องผูกเรื้อรังในประเทศไทย พศ 2564
.
https://chulalongkornhospital.go.th/kcmh/line/“ยาแก้ท้องผูก” เลือกใช้ให้ถูกชีวิตปลอดภัย/
https://chulalongkornhospital.go.th/kcmh/line/ใช้ยาระบาย แก้ท้องผูกให้ถูกวิธี/
POSTED 2022.05.27
บทความอื่นๆ
😰ท้องผูกเรื้อรัง​
📌ไฟเบอร์สำหรับคนเป็นท้องผูก
ยาที่ทำให้ท้องผูก
ท้องผูก
ยาระบาย
🍌ก็แค่ยาระบาย​ เรื่องกล้วยๆ​ - milk of magnesia
ยาสวนทวาร
🔰Forlax®
โฆษณา