23 ต.ค. 2022 เวลา 02:16 • ไลฟ์สไตล์
บทที่ 7 : การเดินทางครั้งแรก
มีอีกสิ่งที่เข้ามาในชีวิตทำให้ mindset ผมเปลี่ยนไปนั่นคือ “ฝรั่ง” ฝรั่งคนเป็น ๆ นี่ล่ะครับ คุณป้าผมท่านได้แต่งงานกับชาวต่างชาติ ผมก็เลยมีลุงเป็นฝรั่งกับเค้า “ลุงการ์ด” เป็นฝรั่งใจดี จมูกโด่งม๊ากแล้วก็ยิ้มเก่งด้วย
ผมในฐานะหลานคนเดียวของบ้านในสมัยนั้นก็ต้องพยายามพูดภาษาฝรั่งให้ได้ เพื่อจะได้สื่อสารกับลุงได้ถูกต้อง จะว่าไปแล้วมันก็เป็นโอกาสอันดีนะ เพราะเมื่อเราเรียนมาแล้วเราก็ได้ใช้มัน มันจะไม่ลืมนั่นเอง
ป้าจะกลับมาเมืองไทยปีละครั้ง แต่ละครั้งที่กลับมาผมก็ตั้งตารอ ขนม หรือ เสื้อผ้าที่ป้าถือมาฝาก จริงๆ แล้วระหว่างปีป้าก็ซื้อส่งมาให้นะครับ แต่ก็ต้องรอประมาณ 3 เดือน เพราะว่าของถูกส่งมาทางเรือ เมื่อมาถึงแต่ละรอบ สภาพกล่องดูแทบไม่ได้เลยรอดมาได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
ส่วนใหญ่แล้วป้ากลับมา ก็จะมาพักที่บ้านคุณย่า ซึ่งก็อยู่ไกลพอสมควรกับจังหวัดที่ผมอยู่ แต่ก็พอที่คุณพ่อจะพาขับรถไปหาได้ ก่อนป้ากลับมา แม่ก็จะติวภาษาฝรั่งให้ผมก่อน
เพราะแม่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ แต่ผมก็ไม่เคยเรียนผ่านเลย อันเนื่องมาจากมีความรู้สึกว่ามันยุ่งยาก เช่น กิน ภาษาไทยเรา กิน มันก็กินได้ทุกวัน พอเป็นภาษาฝรั่งจะใช้คำว่ากินก็ต้องต่งกันเพราะมี กินแล้ว กำลังจะกิน เคยกิน โอ้ย งง มาก
ตั้งแต่เรียนมา ภาษอังกฤษผมก็ตก ภาษาไทยคาบเส้น ระหว่างที่แม่สอนภาษาฝรั่งผมเพื่อรอป้ากลับไทย ผมก็โดนตีไปหลายรอบเลยทีเดียว ผลของการพยายาม ผมก็พอพูดได้แบบ งู ๆ ปลา ๆ (จนถึงทุกวันนี้)
มีอย่างหนึ่งที่ผมแปลกใจคือ ลูกการ์ด ชอบกินกาแฟดำมาก กินได้ทั้งวันผมถามทีไรก็ ok พยักหน้าหงึก ๆ คงพอๆ กันกับเบียร์ ที่หนุมเยอรมันเค้ากินแทนน้ำ (ทุกวันนี้ผมก็กินเช่นกัน ทั้งกาแฟและเบียร์ ฮาฮาฮา)
วันหนึ่งพ่อบอกว่า ป้า จะให้ไปหาผมก็คิดว่าอ้าวเพิ่งกลับไปเมืองนอกแท้ ๆ มาอีกแล้วหรอ พ่อ บอกว่าจะให้เราไปหา
โอ้!! ไปเมืองนอก!! มีผม พ่อ แม่ แล้วก็คุณย่า ไปกัน 4 คน สมัยนั้นการไปต่างประเทศกรรมวิธียุ่งยากมากเลยจะบอกให้ อ่อลืมบอกไปว่าป้าผมอยู่ประเทศเยอรมันครับ
การทำเอกสารเริ่มกันที่ พาสปอร์ต หรือ หนังสือเดินทาง เราทั้งคณะต้องไปทำที่ กระทรวงต่างประเทศ แน่นอนต้องไปนอนบ้านยายแล้วตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อไปรับบัตรคิว ถ่ายรูปที่ต้องไปแต่เช้าเพราะคนเยอะมาก
จากนั้นเราต้องเอาจนหมายเชิญไปเที่ยวจาก ลุงการ์ด พร้อมหลักฐานการเงิน การทำงานของพ่อกับแม่ ไปยื่นที่สถานทูตเยอมันฯ เพื่อขอวีซ่า
สิริรวมขั้นตอนการยื่นเอกสารกว่าจะได้วีซ่ามาก็ร่วมเดือน สำหรับผมไม่ได้ทำวีซ่าเพราะอายุยังไม่ถึง 15 ปี (ในตอนนั้น) หลังจากที่ทุกคนได้วีซ่ามาแล้ว (ยกเ้นผม) เราก็เดินทางกันได้ เราเดินทางราว ๆ ต้นเดือนเมษายน เพราะเป็นวันหยุดยาวไฟล์แรกของผมคือ 05.30 น.ที่สนามบินดอนเมือง
ที่บอกว่าไฟล์แรกก็เพราะว่า เมื่อเราไปถึงแล้ว ผมดันขึ้นเครื่องไม่ได้ อันเนื่องมาจากวันที่เดินทางอายุเกิน! ต้องขอวีซ่าเดินทาง เอ้า!! แล้วก็ไม่บอกแต่แรกก็ต้องยกคณะกลับไปที่พักก่อน เป็นอันว่าเที่ยวแรก็ตกเครื่องแล้ว
วันถัดมา พ่อก็ต้องพาผมไปสถานทูตเยอรมันฯ อีกรอบเพื่อเดินเรื่องขอวีซ่า โชคยังดีที่สถานทูตทำให้เร็วมาก เพราะเป็นการทำวีซ่าของผู้ติดตามผมจึงได้วีซ่าภายในวัน
การเตรียมตัวก่อนไปนั้น ที่แน่นอนเลยก็เห็นจะเป็นเสื้อผ้า ในสมัยนั้นที่เยอรมันฯ อุณหภูมิราว 5-7 องศาฯ เสื้อผ้าที่มีอยู่ก็มีแต่บาง ๆ ดังนั้นก่อนเดินทางบ้านเราก็ไปหาซื้อเสื้อผ้าเพื่อเตรียมรับลมหนาว จำได้ว่านอกจากเสื้อกันหนาวแล้วผมยังได้กางแกงยีนส์อีก 3 ตัว พ่อบอกว่าจะได้อุ่น ๆ
วันเดินทางผมตื่นเต้นมาก เพราะนอกจากจะได้ไปต่างประเทศแล้ว การนั่งเครื่องบินก็เป็นเรื่องใหม่สำหรับผม เราเดินทางด้วยสายการบิน “ลูฟต์ฮันซ่า” สมัยนั้นถือว่าเป็นสายการบินที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมันฯก็ว่าได้ ที่สำคัญมันบินตรงไปที่ สนามบินแฟรงก์เฟิร์ต เลยไม่ต้องแวะพัก
cr.https://blog.job4thai.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%AE%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%B2-lufthansa.html
มาถึงตรงนี้ผมแอบกังวลเล็กๆ ว่าบินสิบกว่าชั้วโมง แล้วคนขับจะไม่ง่วงหรอ แล้วเครื่องมันจะพังก่อนถึงมั๊ย แล้วถ้าเครื่องบินตกกลางทาง เราจะนั่งท่าไหนลง แล้วถ้ามันตกตอนเราหลับล่ะ เราจะรู้มั๊ย โอ้ย สารพัดกังวลเลย
ก่อนขึ้นเครื่องเราก็ต้องมารอที่เกทขึ้นเครื่อง ระหว่างนั้นก็จะเเห็นเครื่องบินมาจอดรอเราแล้ว อ่อลืมเล่าไป ตั้งแต่เราออกจากที่พัก มาจนถึงสนามบิน พ่อก็ถ่ายรูปมาเรื่อย ๆ เอาเป็นว่าก่อนออกจากประเทศฟิล์มหมดไป 1 ม้วนแล้ว
สนามบินดอนเมืองยุคนั้น เค้าจะมีป้ายบอกตารางเที่ยวบินเป็นบอร์ทขนาดใหญ่ ป้ายก็จะเป็นพับ ๆ เพื่อเปลี่ยนข้อมูลต่าง ๆ ระหว่างรอเวลาด้านนอกผมก็ได้เพลิดเพลินกับป้ายนี้ล่ะมันจะพับเสียงดังพับ ๆ ตลอดเวลา
สลับกันกับเสียงแหลม ๆ (เหมือนตอนรถทัวร์จอดที่โคราช) ประกาศให้คนขึ้นเครื่อง จะมี 2 ภาษาคือ ภาษาไทย กับ ภาษาอังกฤษ (ยังไม่มีภาษจีน)
เมื่อเข้าไปในเกทเราก็พร้อมที่จะขึ้นเครื่องแล้ว ระยะเวลาในการบินของเราไฟลท์นั้นใช้เวลา 13 ชม. แน่นอนทั้งกิน ทั้งนอนก็ชุดนั้นล่ะ หลังจากขึ้นเครื่องผมได้ที่นั่งติดหน้าต่างบริเวณหน้าปีก
แหม่สมใจล่ะ จะได้เห็นชัด ๆ สักทีแต่ก็น่าเสียดายเครื่องออก 3 ทุ่ม ด้านนอกมืดมากแต่ก็พอมองเห็น เก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เราก็เข้าที่นั่งกัน ระหว่างนั้นแอร์โฮสเตสก็จะมาแนะนำเรื่องกฏความปลอดภัยเหมือนสมัยนี้ ผมก็ได้แต่นั่งยิ้ม ๆ เพราะฟังไม่รู้เรื่อง และแล้วเวลาที่ผมรอก็มาถึง
เมื่อเครื่องแท็กซี่สู่รันเวย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นักบินปิดไฟในเคบินผู้โดยสาร และเค้าให้เปิดม่านออกให้หมด ผมก็เกาะหน้าต่างเตรียมพร้อม เครื่องบินก็ค่อย ๆ ทะยานไปด้านหน้าเร็วขึ้น ๆ จนผมนั่งแทบไม่อยู่เมื่อหลังติดเบาะหัวเครื่องบินก็เริ่มเชิดขึ้นเรื่อย ๆ
ผมรู้ได้เลยว่าล้อหน้าลอยแล้ว แต่ที่มันหน้ากลัวก็คือเมื่อล้อหลังลอยขึ้น ผมแทบอยากจะออกจากเครื่องมีความรู้สึกว่า “กูจะรอดมั๊ยว่ะ” อึดใจเดียวเครื่องก็เริ่มไต่ระดับความสูงไปเรื่อย ๆ เมื่อได้ที่ เครื่องก็เริ่มเข้าสู่แนวระนาบตรง สัญญานรัดเข็มขัดก็ดับลง.......

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา