Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
คีตาแห่งสยาม
•
ติดตาม
4 ธ.ค. 2022 เวลา 03:02 • หนังสือ
✴️ บทที่ 3️⃣ กรรมโยคะ : วิถีการกระทำที่ถูกต้องทางจิตวิญญาณ ✴️ (ตอนที่ 43)
🌸การเอาชนะอารมณ์ที่มีสองคม ราคะ กับ โทสะ🌸
⚜️ โศลกที่ 4️⃣3️⃣ ⚜️
หน้า 446–449
โศลกที่ 4️⃣3️⃣
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
มหาพาหุ (อรชุน) เอย จงรู้ว่าอาตมันนั้นเป็นใหญ่เหนือพุทธิปัญญา จงใช้อาตมัน (วิญญาณ) ควบคุมอหังการ จงทําลายศัตรู ผู้ยากจะพิชิต ที่มาในรูปของกามราคะ
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
จงภาวนาถึงพรประเสริฐแห่งวิญญาณด้วยอหังการที่ตั้งมั่น เมื่ออบอาบอยู่กับบรมสุข อหังการจะหมดความใคร่ในสุขผัสสะเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้าไม่เห็นความแตกต่างอย่างนี้ การพิชิตกามราคะจะทำได้ยากมาก
สีทองของเนยไม่เปลี่ยนไป เมื่อมันลอยอยู่ในถ้วยสีเขียวหรือสีดำ แต่น้ำจะดูเป็นสีเขียวสีดำไปตามภาชนะ ทำนองเดียวกัน พรประเสริฐแห่งวิญญาณย่อมเปล่งสีทองไม่เปลี่ยนแปลง แม้ลอยอยู่ในน้ำสีดำของญาณปัญญาอันเจือด้วยผัสสมายา
วิญญาณซึ่งพ้นแล้วจากการเปลี่ยนแปร จึงเป็นใหญ่กว่าพุทธิปัญญาของมนุษย์ที่อาจถูกชักนำไปได้ง่าย ธรรมชาติอันประเสริฐแห่งวิญญาณนี้จะพบได้ในสมาธิ การหยั่งรู้วิญญาณเป็นความเห็นแจ้งน่ายินดี ที่ช่วยเหนี่ยวรั้งอหังการไว้จากความใคร่ผิด ๆ เมื่อผู้ภักดีใช้จิตวิญญาณควบคุมอินทรีย์ความใคร่ได้ สุดท้ายเขาจะสามารถทำลายกิเลสที่พิชิตได้ยาก นั่นคือความใคร่ในกาม ซึ่งเป็นศัตรูร้ายของการหยั่งรู้ตน
.
◾มนุษย์ควรพึ่งปัญญาจากวิญญาณ มิใช่จากปัญญาที่ไม่คงที่◾
ผู้ภักดีควรใช้ความสงบภายใน ที่ได้จากการควบคุมตนจากพุทธิปัญญา และการทำสมาธิ พยายามอยู่กับการรับรู้วิญญาณ ซึ่งเป็นญาณปัญญาเที่ยงแท้ ไม่ขึ้นอยู่กับพุทธิปัญญาที่เปลี่ยนแปร ซึ่งเปรียบได้กับมีดคม ถ้าใช้ผิด ๆ ก็อาจประหารญาณปัญญาแห่งวิญญาณได้ แทนที่จะไปประหารศัตรูคือผัสสอินทรีย์ที่คลุกเคล้าอยู่กับความใคร่
น้อยนักที่ผู้ทำสมาธิลึกจะตกอยู่ในความเสื่อม ในขณะที่ปัญญาชนคนฉลาดที่เชื่อความยิ่งใหญ่ของพุทธิปัญญามักไม่พบความสุขที่แท้ เพราะเขาใช้เหตุผลไปจัดการกับความใคร่ และการปล่อยตนตามผัสสอินทรีย์
การจัดการกับอหังการนั้น ต้องอาศัยครูและผู้นำที่ไว้ใจได้ ซึ่งมีเพียงหนึ่ง นั่นคือ อาตมันที่แท้ หรือ วิญญาณอันรู้แจ้ง “ญาณปัญญาไม่เคยพูดเท็จ”★ ญาณปัญญาแห่งวิญญาณเปิดเผยสู่มนุษย์โดยสหัชญาณ ซึ่งก็คือการรับรู้ความจริงโดยตรง ไม่ใช่ปัญญาความรู้ที่เกิดจากการสั่งสม ผู้แสวงหาญาณปัญญาจึงควรเข้าใจความแตกต่างระหว่าง “สหัชญาณ” กับ “พุทธิปัญญา” ของมนุษย์ ซึ่งมีข้อจำกัดอยู่มาก
★โฮเมอร์ : โอดิสซี บทที่ 3
มนุษย์มีการรับรู้และพุทธิปัญญาเพื่อเข้าใจโลกวัตถุ แต่วิญญาณนั้นมีอำนาจแห่งสหัชญาณเพื่อการเข้าใจไม่แต่โลกวัตถุเท่านั้น แต่เพื่อเข้าใจปรากฏการณ์ในจิตและธรรมชาติแห่งจิตวิญญาณของจิตด้วย พุทธิปัญญาตีความปรากฏการณ์ทั้ง หลายจากปรากฏการณ์ภายนอก แต่สหัชญาณเผยถึงแก่นแท้ของปรากฏการณ์นั้น ๆ มนุษย์มองผัสสวัตถุผ่านหน้าต่างของผัสสอินทรีย์ แต่การรับรู้ภายในนั้นลึกซึ้ง ซึ่งอินทรีย์และพุทธิปัญญาไปไม่ถึง จึงต้องพึ่งสหัชญาณนั่นเทียว
พุทธิปัญญาของมนุษย์ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ได้จากโลกของอินทรีย์ ความรู้ทั้งหลายจึงเป็นเรื่องของอินทรีย์ต่าง ๆ นานา ซึ่งได้จากกิจกรรมและปรากฏการณ์เกี่ยวกับสี (รูปทรง) เสียง กลิ่น รส และสัมผัส การได้ความรู้โดยวิธีนี้เรียกว่า ‘ปโรกษญาณ’
พุทธิปัญญาของมนุษย์ที่ได้จากการสื่อถ่ายความสั่นสะเทือนระหว่างอินทรีย์กับวัตถุ เป็นความคิดหยาบ ๆ เกี่ยวกับสสาร พุทธิปัญญาที่ได้จาก การอนุมานเช่นนี้มีลักษณะคล้าย ๆ กับนักธุรกิจที่ก้าวร้าวทำทุกอย่างเพื่อความสำเร็จ เพราะพลังสมองของนักธุรกิจผู้ทรงอำนาจมักต้องอยู่กับการทำเงิน พุทธิปัญญาของเขาจึงพุ่งไปที่โลกแห่งอินทรีย์เพียงอย่างเดียว มันจะตีความทุกสิ่งตาม “ข้อเท็จจริงและตัวเลข” ในบัญชีจิตของเขา
.
◾สหัชญาณเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้จริงและเป็นธรรมชาติแห่งอาตมันแท้ของมนุษย์◾
ตราบเท่าที่ความคิดเชิงอนุมานยังเป็นไปอยู่ในจิตของบุคคล เขาจะไม่หยั่งรู้ความจริงซึ่งเป็นแก่นสารของสิ่งนั้น ๆ แต่ผู้ที่คิดลึกและคิดชัด เช่น เมื่อเพ่งอย่างสงบอยู่ในสมาธิ ความคิดของเขาไปพ้นกระบวนการของเหตุผล รับรู้สิ่งที่ผุดจากภายในและแสดงอยู่ในจิตของเขา ยิ่งกว่ารับข้อมูลที่สั่งสมจากภายนอก การรู้ความจริงโดยตรงนี้เรียกว่า ‘อปโรกษญาณ’ บางคนบอกว่านี่เป็นความเร้นลับ จริง ๆ แล้วไม่ได้เร้นลับเลย เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้จริง และเป็นธรรมชาติของอาตมันแท้ของมนุษย์
วิทยาศาสตร์ควรพยายามทําความเข้าใจสหัชญาณ ด้วยการวิจัยเรื่องนี้อย่างเป็นระบบเหมือนกับที่เขาวิจัยพุทธิปัญญา ถ้าเราพยายามบอกคนป่าที่ไม่เคยเห็นความก้าวหน้าของโลกถึงความมหัศจรรย์ของวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ เขาก็คงไม่เข้าใจ อารยธรรมที่ก้าวไกลทำให้การพัฒนาพุทธิปัญญาก้าวไกล แต่มนุษย์ยังเข้าใจพัฒนาการของสหัชญาณในระดับอนุบาลเท่านั้นเอง
ความเข้าใจกับสหัชญาณนั้นเกี่ยวเนื่องกันอยู่ สหัชญาณไม่ได้ขัดแย้งกับกฎความเข้าใจตามธรรมชาติ แต่มันไปไกลกว่านั้น ขออธิบายให้ชัด ๆ ดังนี้ กระแสไฟฟ้าไหลเข้าไปในหลอดไฟ ให้แสงที่เราเห็นได้ ตามกำลังความสว่างของหลอดไฟ แต่กระแสไฟฟ้าไหลไปตามเส้นลวดโดยที่เราไม่เห็น แต่มันก็เป็นเหตุให้เกิดแสง ทำนองเดียวกัน พุทธิปัญญาของมนุษย์ก็คือแสงที่ร่างกายรับรู้ และสหัชญาณก็คือกระแสไฟที่ไหลผ่านลวดจิต และพุทธิปัญญาทำให้เกิดแสง
ศักยภาพหรือข้อจํากัดของพุทธิปัญญาของบุคคล คือการที่สหัชญาณสำแดงในลักษณะที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งเห็นได้ในความเข้าใจถูกต้อง หรือการไม่เข้าใจในความคิดของเขา จึงเห็นได้ชัดว่าสหัชญาณเป็นสิ่งที่พัฒนาได้ หรือจะทำให้ลดน้อยลงไปก็ได้เช่นกัน
ถึงแม้ว่าสหัชญาณแสดงตนในพุทธปัญญาและในจิตอยู่บ้าง แต่สหัชญาณนั้นเป็นเอกเทศ หลอดไฟสว่างไม่ได้ถ้าไม่มีกระแสไฟฟ้า แต่กระแสไฟฟ้านั้นมีอยู่ ไม่ว่ามันจะเปล่งแสงออกมาทางหลอดไฟหรือไม่ก็ตาม พุทธิปัญญาก็เช่นกัน ทำงานไม่ได้ถ้าขาดอำนาจของสหัชญาณอยู่เบื้องหลัง แต่สหัชญาณนั้นมีอยู่แม้ไม่มีการคิดก็ตาม
จิตทำให้อินทรีย์ทั้งหลายทำงานประสานกัน พุทธิปัญญาเป็นตัวจําได้หมายรู้ สหัชญาณคือบังเหียนควบคุมทุกปรากฏการณ์ในจิตของมนุษย์ ทั้งความคิด ความสนใจ เจตจํานง อารมณ์ การรับรู้ ความจํา วิสัญชาญ ความรู้สึก แรงเร้า จิตไม่สามารถทํางานได้อย่างกลมกลืนถ้าไม่มีสหัชญาณอันไม่อาจเห็น แต่เป็นนายคอยแนะนำ ด้วยการค่อย ๆ แตะความคิด ความรู้สึก และกระบวนการจำได้หมายรู้ ทำให้ทุกสิ่งเหล่านี้กระทำการอย่างสอดคล้องกันเพื่อสนองความต้องการของวิญญาณ
เมื่อพุทธิปัญญาของปัจเจกบุคคลถูกลักษณะทั้งยี่สิบสี่ กับคุณทั้งสามในธรรมชาติทำให้หลงไปกับมายา พุทธิปัญญานั้นจึงมักกระทำการผิดพลาด ขัดแย้งกับสหัชญาณ ผู้ภักดีจึงต้องระวัง อย่าหลงคิดว่าจินตนาการเลื่อนลอย หรืออนุสัย อันดื้อด้าน เป็นการนำอย่างบริสุทธิ์ของสหัชญาณแห่งวิญญาณ
แต่พุทธิปัญญาที่ได้รับการนำโดยสหัชญาณ ที่ได้รับการปลูกฝังให้สัมผัสสัมพันธ์กับวิญญาณโดยการทำสมาธิ มีวินัยดี สามารถนำทางอหังการที่หลงผิดได้ เมื่อสหัชญาณได้เปิดเผยความจริง ย่อมดลใจอหังการให้ละทิ้งมายาความใคร่ หันไปหาบรมสุขแห่งวิญญาณอันยั่งยืน
เมื่อขจัดกาฝากของอหังการและความใคร่ได้แล้ว วิญญาณอันงดงามสมบูรณ์ย่อมแผ่กิ่งก้านอันสะพรั่งด้วยทิพยมาลาในบรมวิญญาณอันสว่างไสวไพศาล
โอม ตัต สัต
อุปนิษัทแห่งภควัทคีตาอันศักดิ์สิทธิ์ — การสนทนาระหว่างภควันกฤษณะกับอรชุน เป็นคัมภีร์โยคะและศาสตร์แห่งการหยั่งรู้พระเจ้า บทที่สามนี้ ชื่อว่า “กรรมโยคะ”
((( จบบทที่ 3️⃣ )))
หนังสือ
จิตวิญญาณ
บันทึก
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
เล่ม 1 บทที่ 3
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย