14 ม.ค. 2023 เวลา 01:30 • ข่าวรอบโลก
++++บูลลี่++++
🔸 ล้อชื่อพ่อ ดึงกางเกงเพื่อน ขังเพื่อนในห้องน้ำ แกล้งเพื่อนที่เป็นเพศทางเลือก หรือเรียกเพื่อนว่าไอ้แว่นบ้าง ไอ้อ้วนบ้าง พฤติกรรมเหล่านี้แมวส้มเชื่อว่าหลายๆ คนในช่วงวัยเรียนเคยทำหรือไม่ก็เคยถูกกระทำ ปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียนไทยมีมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่ รุ่นปู่ย่าตายาย แต่ในสมัยนั้นเราไม่ให้ความสำคัญกับมันเท่าไหร่ มองว่าเป็นเรื่องปกติ และด้วยความที่มันเป็นเรื่องปกตินั้น
ทำให้ประเทศไทยมีการบูลลี่สูงเป็นอันดับที่ 2 ของโลก เป็นรองเพียงแค่ญี่ปุ่นประเทศเดียวเท่านั้น แหม่…ประเทศไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกจริง ๆ ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับการบูลลี่กันครับ
1
🔸 การบูลลี่ (Bullying) คือการกลั่นแกล้งรังแกผู้อื่นด้วยความรุนแรงทางร่างกายหรือจิตใจ เป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่ผู้กระทำแสดงตนว่ามีอำนาจเหนือกว่าผู้ถูกกระทำ แต่ถ้าผู้ถูกกระทำขัดขืนต่อต้าน โดยการพยายามแสดงตนให้มีอำนาจเท่าเทียมหรือเหนือกว่า ความสัมพันธ์นี้ก็จะเปลี่ยนไปจากการบูลลี่กลายเป็นการทะเลาะเบาะแว้ง
🔸 ครูและผู้ใหญ่หลายๆ คนมักแยกไม่ออกว่าเด็กกำลังบูลลี่หรือกำลังเล่นหยอกล้อกันอยู่ ซึ่งที่จริงแล้วสามารถแยกได้ง่ายๆ โดยการดูว่าผู้ถูกกระทำนั้นโอเคกับการถูกกระทำเช่นนั้นหรือไม่ ถ้ากิจกรรมใดที่เด็กกระทำระหว่างกันแล้วเกิดความสนุกสนานทั้งสองฝ่ายก็ถือเป็นการหยอกล้อกัน แต่ถ้าผู้กระทำสนุกอยู่ฝ่ายเดียว ฝ่ายถูกกระทำรู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น แบบนั้นจะถือว่าเป็นการบูลลี่
🔸 นั่นก็หมายความว่าเราจะไม่สามารถสรุปได้ว่าพฤติกรรมใดถือเป็นการบูลลี่อย่างชัดเจน แต่ต้องดูที่เจตนาของผู้กระทำและความรู้สึกของผู้ถูกกระทำ เช่น การล้อชื่อพ่อ และจิ้มพุงกันเล่นกัน ในบางครั้งถือว่าเป็นการเล่นหยอกล้อกัน เพราะผู้กระทำ ทำด้วยความสนิทสนมและผู้ถูกกระทำก็สนุกสนาน ขำขัน รู้สึกโอเคกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ถ้าผู้กระทำต้องการทำร้ายผู้ถูกกระทำหรือถูกกระทำมีปมด้อยกับเรื่องดังกล่าว มันจะทำให้ผู้ถูกกระทำรู้สึกด้อยค่าลง รู้สึกอับอาย นั่นถือว่าเป็นการบูลลี่
🔸 การบูลลี่แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ประเภทแรกคือ การบูลลี่ทางร่างกาย (Physical bullying) เป็นการทำร้ายร่างกายอีกฝ่าย ให้เกิดความบาดเจ็บ เป็นแผลฉีกขาด ฟกช้ำ หรือแผลพุพอง ที่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก ผู้กระทำสามารถทำร้ายร่างกายได้หลายรูปแบบ ทั้งใช้อุปกรณ์ ไม่ใช้อุปกรณ์ ทำคนเดียว หรือร่วมกันทำเป็นหมู่คณะก็ได้ ถึงแม้การบูลลี่ประเภทนี้จะเป็นการกระทำต่อร่างกายแต่ก็สามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจผู้ถูกกระทำได้ด้วย
🔸 อีกประเภทคือการบูลลี่ทางจิตใจ (Psychological bullying) เป็นการกระทำที่ไม่ได้ทำให้เกิดบาดแผลทางร่างกาย แต่ส่งผลกระทบให้ผู้ถูกกระทำเกิดความเจ็บปวดทางจิตใจโดยตรง ทำให้รู้สึกอับอาย เครียด หรือวิตกกังวล จนส่งผลกระทบต่ออารมณ์ ทำให้มีอาการซึมเศร้า หดหู่
🔸 ผู้กระทำอาจทำร้ายด้วยวาจา จากการพูดล้อเลียนทางสรีระหรือจิตใจของผู้ถูกกระทำ เช่น การล้อเลียนรูปร่างหน้าตาและสีผิว ว่าอ้วน แว่น ดำ หรือล้อเลียนลักษณะของผู้ถูกกระทำที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ เช่น การเป็นเพศทางเลือกแล้วถูกเรียกว่าตุ๊ด การที่ร่างกายอ่อนแอก็ถูกล้อว่าเป็นตุ๊ด เรียนไม่เก่งแล้วถูกเปรียบเทียบว่าโง่เหมือนควาย เรียนเก่งก็ถูกเรียกว่าพวกเนิร์ด ชอบดูการ์ตูนก็ล้อว่าเป็นโอตาคุ นับถือศาสนาอิสลามแล้วถูกเรียกว่าไอ้หมู เป็นเด็กพิเศษแล้วถูกเรียกว่าเอ๋อ
การล้ออาจใช้อวัจนภาษาโดยการทำสัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น ชูนิ้วกลาง ใช้นิ้วทำเป็นเขาควาย หรือทำท่าทางตุ้งติ้งเพื่อล้อเลียนเพศทางเลือก
🔸 บางครั้งผู้กระทำจะทำร้ายด้วยการใช้คำพูดเชิงประชดประชันถึงลักษณะที่ตรงข้าม เรียนไม่เก่งแต่เรียกว่าไอ้ฉลาด หรือน้ำหนักตัวมากจะถูกเรียกว่านายแบบนางแบบ รวมไปถึงการเรียกด้วยชื่อที่ผู้ถูกเรียกไม่พึงพอใจ อาจเรียกด้วยชื่อพ่อ ชื่อแม่ ที่ทำให้รู้สึกว่ากำลังโดนดูถูก หรือการเรียกชื่อด้วยฉายาต่าง ๆ ที่ทำให้ผู้ถูกเรียกรู้สึกอับอาย
🔸 ที่น่ากลัวกว่านั้น บางกรณีผู้บูลลี่อาจทำการสร้างกระแสสังคมที่ทำให้บุคคลจำนวนมากรุมกระหน่ำใส่เหยื่อเพียงคนเดียว เช่นการปล่อยข่าวลือด้วยวาจา ด้วยการพูดถึงหรือประจานวีรกรรมที่น่าอับอายที่ผู้ถูกกระทำเคยพลาดพลั้ง เช่น การลืมรูดซิปขึ้นรถประจำทาง หรือการตดเสียงดังในห้องเรียน รวมถึงการใส่ร้ายด้วยความเท็จต่าง ๆ ว่าเป็นนังแรด มั่วผู้ชาย หรือเป็นเพศทางเลือก จนกลายเป็นการพูดปากต่อปาก ต่อ ๆ กันไป
🔸 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้เกิดไซเบอร์บูลลี่ (Cyberbullying) หรือก็คือการบูลลี่ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เช่น การโพสต์ข้อมูลที่บิดเบือน ข้อมูลเท็จ หรือการปล่อยคลิปที่น่าอับอายของเหยื่อ ให้ผู้เสพสื่อร่วมกันแชร์ข้อความคลิปไปเป็นวงกว้าง จนผู้ถูกกระทำรู้สึกไม่มีที่ยืนในสังคม
🔸 ความน่ากลัวของไซเบอร์บูลลี่ยังไม่จบแค่นี้ มันเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าการบูลลี่แบบปกติอีกด้วย การบูลลี่กันผ่านช่องทางออนไลน์ทำให้ผู้กระทำไม่สามารถรู้สึกถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้ถูกกระทำ ไม่รับรู้ถึงการตอบสนองของผู้คนรอบข้าง และการสื่อสารด้วยการพิมพ์ทำให้ผู้ที่สื่อสารไม่ได้รับผลกระทบทางอารมณ์ของตนเอง
1
ต่างกับการสื่อสารด้วยการพูดที่บางทีพอผู้พูดพูดโจมตีใครไปแล้วคุณธรรมในตัวเขาจะทำให้เรารู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่ตนเองพูด จนนำมาสู่การยับยั้งช่างใจกับการกระทำครั้งต่อไป หรือไปแก้ไขการกระทำให้ถูกต้องโดยการขอโทษขอโพยที่พูดเช่นนั้นออกไป
🔸 ผลกระทบทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ถูกกระทำอาจพัฒนาไปเป็นโรคทางจิตเวชต่าง ๆ ได้มากมาย ทั้งโรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder) โรควิตกกังวลทั่วไป (Generalized Anxiety Disorder) หรือโรคกลัวสังคม (Social Anxiety Disorder หรือ Social Phobia) ในประเทศญี่ปุ่นที่เป็นแชมป์โลกของการบูลลี่นั้นพบว่าในปี ค.ศ. 2019 มีผู้ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มอาการฮิคิโคโมริ (Hikikomori) ที่มีอาการป่วยเป็นโรคทางจิตเวชอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยไม่ออกจากห้องออกจากบ้านเป็นเวลาหลายปี จำนวนมากกว่าหนึ่งล้านคนเลยทีเดียว
🔸 สังคมอำนาจนิยมในประเทศไทยยิ่งทำให้คนเราบูลลี่กันมากขึ้นอีก การที่บุคคลต้องการมีอำนาจเหนือกว่าผู้อื่นหลาย ๆ ครั้งเมื่อเขาไม่สามารถเพิ่มอำนาจของตนเองได้ ก็จะใช้วิธีการ "กดคนอื่นให้ต่ำลงเพื่อให้ตนเองดูสูงขึ้น" โดยการบูลลี่เพื่อให้ผู้อื่นด้อยค่าลง ในรั้วโรงเรียนเด็กที่เป็นขาใหญ่จะขึ้นมาเถลิงอำนาจด้วยการบูลลี่ผู้อื่นแทบทั้งสิ้น
🔸 การแก้ปัญหาการบูลลี่การในโรงเรียนก็ไม่ควรจัดการเพียงหาคนผิดมาลงโทษ แต่ควรมุ่งไปที่การจัดการกับวายร้ายตัวจริงนั่นคือ "พฤติกรรมบูลลี่ " ทั้งนักเรียนผู้ที่ทำการบูลลี่ผู้อื่นและนักเรียนผู้ถูกกระทำต่างเป็นเหยื่อของสังคมที่เกื้อหนุนให้เกิดการบูลลี่ทั้งสิ้น นักเรียนทั้งสองฝ่ายควรได้รับการช่วยเหลือ เยียวยา และจัดการพฤติกรรมการบูลลี่ไปพร้อมกัน
🔸 รายการบูลลี่กันในโรงเรียนไม่ได้เกิดจากการกระทำระหว่างนักเรียนเท่านั้น ครูบางคนก็บูลลี่นักเรียนด้วยการล้อปมด้อย และการนำกฎระเบียบมาใช้เป็นอำนาจเพื่อข่มขู่ ส่วนนักเรียนเองก็มีการบูลลี่ครูด้วยเช่นกัน ด้วยการตั้งฉายาให้ครู และการใส่ร้ายด้วยเรื่องที่เกินจริง เป็นต้น การสร้างความตระหนักถึงผลเสียของการบูลลี่ทั้งกับครูและนักเรียน ถือเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อลดการบูลลี่ในโรงเรียน
🔸 สังคมใหญ่นอกรั้วโรงเรียนยิ่งมีความเหลื่อมล้ำทางอำนาจที่สูงขึ้นไปอีก ทำให้มีการบูลลี่กันทุกหย่อมหญ้า การที่ผู้มีอำนาจดูถูกผู้ที่ด้อยกว่าพบได้เป็นปกติ จนบางครั้งก็เป็นผู้มีอำนาจก็ทำโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ รวมถึงระบบอุปถัมภ์ที่ทำให้ผู้น้อยต้องเกรงใจและเกรงกลัวผู้ที่มีอำนาจมากกว่า ปัญหาการบูลลี่ในประเทศไทยนั้นถูกฝังรากลึกมาอย่างยาวนาน ด้วยอำนาจที่ล้นคอทำให้จะไปแก้ปัญหาที่ตัวผู้ที่มีอำนาจก็น่าจะเป็นเรื่องยาก
🔸 การรับมือกับการถูกบูลลี่ด้วยการพัฒนาทักษะทางสัมคม เช่นทักษะการปฏิเสธ ทักษะการโต้ตอบอย่างสุภาพ หรือการปรึกษานักจิตวิทยาเมื่อมีปัญหาสุขภาพจิตของผู้ที่ถูกกระทำนั้นก็ดูจะเข้าท่า แต่ก็เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้การบูลลี่ในสังคมลดลง
🔸 ตัวแปรในการแก้ปัญหาการบูลลี่ในสังคมที่แท้จริงคือบุคคลที่ถูกมองข้ามเมื่อเกิดการบูลลี่อย่าง "ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์" ที่ควรจะช่วยกันแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยและร่วมกันปกป้องผู้ถูกกระทำ และ "คนในสังคม" อย่างคุณผู้อ่านที่ต้องออกจากเซฟโซน
1
ออกมาร่วมกันต่อต้านทุกพฤติกรรมบูลลี่ที่เกิดขึ้นในสังคม ไม่ว่าพฤติกรรมนั้นจะเกิดขึ้นจากเด็กที่ยังไม่รู้ประสีประสา วัยรุ่นที่คึกคะนอง หรือผู้มีอำนาจในสังคมก็ตาม และที่สำคัญก็คือการต่อต้านนี้ต้องไม่ใช้การบูลลี่กลับใส่ผู้ที่บูลลี่ ไม่ใช้อำนาจเข้าสู้จนการทะเลาะเบาะแว้ง เพื่อให้สังคมน่าอยู่ขึ้นกว่าเดิมครับ
โฆษณา