22 ม.ค. 2023 เวลา 01:30 • สุขภาพ

โรคไบโพลาร์

🔸 “เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย สงสัยจะเป็นไบโพลาร์” ความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นนี้ ทำร้ายผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ถึงแม้ว่าทุกคนจะเคยได้ยินคำว่าโรคไบโพลาร์แต่มีน้อยคนเหลือเกินที่รู้จักโรคนี้อย่างถูกต้อง ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับโรคไบโพลาร์กันครับ
1
🔸 ก่อนเข้าเนื้อหาเกี่ยวกับโรคทางจิตเวชทุกโรค แมวส้มต้องขอเตือนก่อนว่า ถึงแม้คุณผู้อ่านจะมีข้อมูลหรือมีความรู้เกี่ยวกับโรคทางจิตเวชมากเพียงใด ก็ไม่สามารถวินิจฉัยได้เองนะครับว่าตัวท่านเองและผู้อื่น ป่วยเป็นโรคทางจิตเวช คุณผู้อ่านทำได้เพียงคัดกรองว่าตัวท่านหรือคนรอบข้างมีความเสี่ยงจะเป็นโรคทางจิตเวชหรือไม่ การวินิจฉัยนั้นเป็นหน้าที่ของแพทย์ที่ผ่านการฝึกมาแล้วเท่านั้น
🔸 ข้อมูลที่แมวส้มกำลังจะนำเสนอต่อไปนี้หลาย ๆ ส่วน ไม่ได้ใช้คำศัพท์ตาม ICD ที่พัฒนาโดยองค์การอนามัยโลก หรือ DSM-V ของสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน ที่เป็นคู่มือการวินิจฉัยความผิดปกติทางจิต ที่จิตแพทย์ใช้กันทั่วโลกแบบเป๊ะๆ เพราะคำที่ใช้ในคู่มือนี้เต็มไปด้วยศัพท์ทางการแพทย์ แมวส้มจึงขอปรับภาษาเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นครับ
🔸 โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) หรือโรคอารมณ์สองขั้ว เป็นความเจ็บป่วยทางจิตใจ ที่จัดอยู่ในกลุ่มโรคทางอารมณ์ (Mood Disorders) ผู้ป่วยจะมีลักษณะทางอารมณ์ที่แตกต่างกัน 2 ลักษณะ ดังนี้
🔹 ระยะอารมณ์พุ่งพล่าน (Manic Episode) ผู้ป่วยจะเชื่อมั่นในตัวเองสูง คิดเร็ว ทำเร็ว มั่นใจในตัวเอง นอนน้อย อารมณ์พุ่งพล่าน พูดเก่ง พูดเร็ว รู้สึกอยากทำกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย ขาดความยับยั้งชั่งใจ มีพฤติกรรมเสี่ยงเพิ่มขึ้น เช่น ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ใช้เงินเกินตัว ลงทุนแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง มีเพศสัมพันธ์แบบเสี่ยงๆ ถ้ามีอาการรุนแรงมากอาจมีอาการประสาทหลอนร่วมด้วย
🔹 ระยะอารมณ์ซึมเศร้า (Depressive Episode) ผู้ป่วยจะเชื่อมั่นในตัวเองต่ำลง รู้สึกเบื่อหน่ายท้อแท้ มองทุกอย่างในแง่ลบ มีความคิดทางลบกับตนเอง รู้สึกไม่มีแรง ไม่อยากทำอะไร เก็บตัว รู้สึกว่าตนเองไร้ค่า รู้สึกไม่อยากมีชีวิตอยู่ มีอาการคล้ายคนที่เป็นโรคซึมเศร้า
🔸 ช่วงระยะอารมณ์พุ่งพล่านและซึมเศร้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วแบบปุบปับวันละหลายๆรอบ แต่จะคงอยู่นานหลายวัน หลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือน ๆ และจะกลับสู่ภาวะอารมณ์ปกติระยะเวลาหนึ่ง แล้วจึงสลับเป็นภาวะอารมณ์อีกขั้ว
🔸 ความน่ากลัวของโรคไบโพลาร์คือ เมื่อผู้ป่วยหมดระยะอารมณ์พุ่งพล่านแล้วเข้าสู่ระยะอารมณ์ซึมเศร้า ผู้ป่วยจะเห็นแต่ความวินาศสันตะโรที่ตนเองก่อไว้ในช่วงระยะอารมณ์พุ่งพล่าน จนทำให้ผู้ป่วยรู้สึกผิดกับสิ่งตนเองทำไว้
🔸 อาการของโรคไบโพลาร์ส่งผลกระทบต่อตัวผู้ป่วยอย่างรุนแรง กับการเรียน การทำงาน และสัมพันธภาพกับคนรอบข้าง ในช่วงอารมณ์พลุ่งพล่านป่วยอยากทำสิ่งต่างๆมากมาย เริ่มโปรเจคใหม่ๆอีกมาก ให้คำสัญญาที่จะทำสิ่งต่างๆ แต่เมื่อเข้าระยะอารมณ์ซึมเศร้าผู้ป่วยจะไม่สามารถทำสิ่งต่างๆเหล่านั้นต่อไปได้ ทำให้ดูคล้ายคนขาดความรับผิดชอบ
🔸 ผู้ป่วยที่เป็นโรคไบโพลาร์ก็ไม่ได้มีอาการที่เหมือนกันหมดทุกคน โรคไบโพลาร์สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทด้วยกัน คือ ไบโพลาร์แบบ Type1 ที่มีระยะอารมณ์พุ่งพล่านเด่น ไบโพลาร์แบบ Type2 ที่มีระยะอารมณ์ซึมเศร้าเด่นชัด และประเภทสุดท้ายคือไบโพลาร์แบบผสม
🔸 ทางการแพทย์เชื่อว่าโรคไบโพลาร์เกิดจากสมดุลของสารเคมีในสมองผิดปกติ ซึ่งสามารถรักษาได้โดยการปรับสมดุลของสารเคมีในสมองให้กลับเป็นปกติโดยวิธีการต่างๆ เช่นการใช้ยาหรือใช้ไฟฟ้าเพื่อปรับสารเคมีในสมอง ร่วมกับการทำจิตบำบัด และการดูแลอย่างเหมาะสมจากคนรอบข้าง
🔸 การรักษาโรคไบโพลาร์ผู้ป่วยยังจำเป็นต้องใช้ยาตามแพทย์สั่งอย่างต่อเนื่องจนกว่าแพทย์จะให้หยุดยา ห้ามหยุดยาเองอย่างเด็ดขาด และพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ หากขาดการรักษาอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยมีโอกาสกลับไปเป็นโรคซ้ำ หรืออาจมีอาการรุนแรงกว่าเดิมได้
🔸 ผู้ที่ดูแลผู้ป่วยควรคอยดูแลให้ผู้ป่วยทานยาตามที่แพทย์สั่ง เข้าใจในพฤติกรรมที่เกิดขึ้นทั้งในช่วงอารมณ์พุ่งพล่านและอารมณ์ซึมเศร้าว่ามันคืออาการของโรค ไม่ใช่ลักษณะนิสัยที่แท้จริงของผู้ป่วย คอยควบคุมกิจกรรมที่ผู้ป่วยทำในช่วงอารมณ์พุ่งพล่าน ควบคุมการใช้จ่ายเ หรือกิจกรรมที่เสี่ยงอันตราย และคอยดูแลจิตใจผู้ป่วยในช่วงซึมเศร้าด้วยวิธีเดียวกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่โดดเดี่ยว สื่อสารอย่างใส่ใจเพื่อให้ผู้ป่วยรับรู้ว่ามีคนใส่ใจและเข้าใจ
🔸 โรคไบโพลาร์เป็นเพียงอาการป่วย การป่วยก็ไม่ได้เป็นความผิดของผู้ป่วย แมวส้มอยากขอให้คุณผู้อ่านหลีกเลี่ยงการสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีให้กับโรคไบโพลาร์ ไม่ใช้คำว่าไบโพลาร์เพื่อด่า แซว หรือบูลลี่ผู้อื่น เพราะมันเป็นการทำร้ายผู้ป่วยอย่างมาก
🔸 แมวส้มต้องขอย้ำอีกครั้งนะครับว่าถ้าหากคุณผู้อ่านรู้สึกสงสัยว่าตนเองหรือคนรอบข้างป่วยเป็นโรคซึมเศร้า คุณผู้อ่านไม่ควรวินิจฉัยด้วยตัวเองอย่างเด็ดขาด สิ่งที่คุณผู้อ่านสามารถทำได้มีเพียงการคัดกรองเบื้องต้นเท่านั้น ผู้ที่สามารถวินิจฉัยโรคได้มีเพียงคุณหมอเท่านั้นครับ
โฆษณา