7 ก.พ. 2023 เวลา 07:00 • หนังสือ

ประวัติศาสตร์ของการจูบ

ทำไมคนเราจูบ ? ตอนที่ 1
หมายเหตุ : เนื้อหาย่อและเรียบเรียงมาจากหนังสือ “500 ล้านปีของความรัก เล่ม 1” และหนังสือ “เรื่องเล่าจากร่างกาย” ครับ
เคยสงสัยไหมครับว่า การจูบนั้นทำกันมานานแค่ไหนแล้ว ?
ใครเป็นคนต้นคิดว่า การเอาปากมาประกบแล้วเอาลิ้นมาสัมผัสกัน เป็นการสื่อสารว่ารักกัน ?
หรือว่าการจูบจะเป็นเรื่องของสัญชาตญาน ?
1.
ถ้าเริ่มต้นมองจากมุมมองของคนปัจจุบันอย่างเรา
เราจะรู้สึกว่าการจูบด้วยปากเป็นวัฒนธรรมของชาวตะวันตกผิวขาว โดยเฉพาะการจูบที่เรียกว่า French kiss หรือการจูบที่มีลิ้นเข้ามาเกี่ยวข้อง
ชาวตะวันตกเองก็เคยเชื่อเช่นนั้น เห็นได้จากความประหลาดใจของชาล์ส ดาร์วิน เมื่อเขามีโอกาสเดินทางไปพบผู้คนหลายวัฒนธรรม ในหลายทวีป สิ่งหนึ่งที่เขาสังเกตคือ วัฒนธรรมการจูบปากที่แพร่หลายกันในยุโรปกลับไม่พบในวัฒนธรรมอื่นๆ นอกยุโรปเลย
1
อย่างไรก็ตามเขาก็สังเกตว่า แม้ว่าคนวัฒนธรรมอื่นๆ จะไม่จูบปากเหมือนชาวยุโรป แต่ก็มีพฤติกรรมแสดงความรักใคร่แบบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น การหอมแก้ม การใช้ริมฝีปากจูบไปบนสันจมูกหรือส่วนอื่นๆของใบหน้า การสูดกลิ่นเท้าคนรัก หรือการนำมือคนรักมาสอดในรักแร้แล้วยื่นกลับไปให้เขาดม การนำจมูกมาชนกันแล้วสูดกลิ่นคนรักในระยะใกล้ หรือการดมกลิ่นมือเพื่อแสดงความรัก
1
การแสดงความรักด้วยวิธีการทำนองนี้ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นแค่ความรักระหว่างหนุ่มสาว แต่ยังพบได้ในการแสดงความรักระหว่างเพื่อนด้วย เช่น ชาวอะบอริจินส์ในออสเตรเลียเผ่าหนึ่ง เมื่อเพื่อนรักต้องเดินทางจากกันไปไกลและไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีกหรือไม่ จะร่ำลากันด้วยการที่แต่ละฝ่ายสอดมือทั้งสองเข้าไปในรักแร้ของตัวเองจากนั้นจึงนำมือที่อบอุ่น (และแฉะ) ออกมาป้ายไปที่หน้าอกของกันและกัน
พฤติกรรมเหล่านี้แม้ว่าจะไม่เหมือนการจูบปากเสียทีเดียว แต่ก็อาจจะมองว่ามีลักษณะบางอย่างร่วมกัน เพราะพฤติกรรมเหล่านี้ จะเป็นการนำปากหรือจมูก เข้าไปใกล้ชิดคนที่รัก เพื่อดมหรือชิม
และเมื่อกลับมามองในวัฒนธรรมของชาวยุโรปทั้งหลาย ก็พบว่าชาวยุโรปเองก็มีวัฒนธรรมที่ดูคล้ายกัน เช่น วัฒนธรรมการจีบของชาวออสเตรียหมู่บ้านหนึ่งจะจัดให้มีงานเต้นรำเพื่อให้หนุ่มสาวมีโอกาสมาเจอกัน
ระหว่างที่เต้นรำสาวๆ จะฝานแอปเปิ้ลเป็นแผ่นบางๆ และหนีบไว้ใต้รักแร้ตลอดเวลาที่เต้นรำ ระหว่างนั้นหนุ่มสาวก็จะแอบเล็งๆ คนที่ชอบ แล้วส่งยิ้มให้กัน เมื่อหญิงสาวเจอคนที่ถูกใจ และคิดว่าเขาถูกใจเธอเช่นกัน ก็จะยื่นแอปเปิ้ลนั้นให้กับชายหนุ่มที่ตัวเองสนใจ ถ้าผู้ชายคิดตรงกัน ก็จะตอบสนองด้วยการรับแอปเปิ้ลชิ้นนั้นไปใส่ปากกิน (ชื่นใจ)
ทั้งหมดนี้อาจจะทำให้เราพอจะมองการจูบในมุมมองที่กว้างขึ้นกว่า และมองว่าพฤติกรรมของการดมกลิ่ม ชิมรส ของคนที่รัก เป็นพฤติกรรมกลุ่มเดียวกันทั้งหมด
ซึ่งก็จะนำไปสู่ข้อสรุปว่า พฤติกรรมแบบนี้พบได้ในหลากหลายวัฒนธรรมทั่วโลกในรูปแบบที่ต่างกันไป
คำถามต่อมาที่น่าสนใจคือ แล้วพฤติกรรมแบบนี้ทำกันมานานแค่ไหนแล้ว ?
การดมการชิมที่ทำในวัฒนธรรมต่างๆ นี้ มีรากที่มาร่วมกันหรือเปล่า ?
2.
บันทึกเกี่ยวกับการจูบที่พอจะหาได้เป็นรูปธรรมจริงๆ และเก่าแก่ที่สุดมาจากคัมภีร์พระเวท ซึ่งตัวเอกสารนั้นเริ่มบันทึกครั้งแรกและสะสมมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เมื่อประมาณ 3000 กว่าปีที่แล้ว แต่เรื่องราวที่บันทึกในนั้นสามารถย้อนกลับไปได้นานกว่า เพราะหลายเรื่องที่บันทึกเป็นการนำเรื่องราวที่เล่าขานต่อๆ กันมานาน มาบันทึกลงเป็นลายลักษณ์อักษร
ในคัมภีร์ไม่มีการเขียนถึงการจูบตรงๆ และไม่มีคำที่ใช้เรียกกริยา ‘การจูบ’ โดยตรง แต่จะมีการบรรยายถึงการแสดงออกของชายต่อหญิงด้วย การดม หอม สัมผัสด้วยจมูก ดมด้วยปาก
ซึ่งจากคำบรรยายนี้ก็พอจะเชื่อได้ว่ามันน่าจะเป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจูบๆ หอมๆ แบบที่เราคุ้นเคย หรือประโยคที่บรรยายถึง ชายหนุ่มชนชั้นสูงคนหนึ่งก้มลงเลียริมฝีปากของหญิงสาวซ้ำๆ
หลักฐานในยุคหลังจากนั้นที่เขียนถึงการจูบก็มีเป็นบันทึกข้อห้ามของศาสนาพราห์มในคัมภีร์สปาถพรหม ซึ่งใจความก็ประมาณว่า ห้ามชายชั้นสูงดื่มความชุ่มชื้นจากริมฝีปากของหญิงที่เป็นทาส แม้ว่าจะไม่เขียนออกมาตรงๆ ในภาษาที่เราคุ้นเคย แต่ ‘ดื่มความชุ่มชื้นจากริมฝีปากของหญิง’ ก็ไม่น่าจะมีความหมายอื่น
ในมหาภารตะก็มีการบรรยายถึงการเอาริมฝีปากประกบกันของชายหญิงพร้อมๆ ไปกับการครางเบาๆ แสดงถึงความพึงใจที่ได้รับ
และที่แน่นอนคือกามาสุตรา หนังสือดังเมื่อสองพันปีที่แล้วซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมบันทึกเก่าๆ เข้าด้วยกันเป็นเล่ม แต่เป็นบันทึกแนวพิเศษประมาณว่ารวมท่าฮอต ท่าฮิต ซึ่งก็มีบทที่รวบรวมเทคนิคการจูบในแบบต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน
ทั้งหมดนี้บ่งให้เราเห็นว่าคนที่อาศัยในแผ่นดินชมพูทวีปเองก็มีพฤติกรรมที่เข้าข่ายการจูบมานานเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว
สำหรับในดินแดนแถวๆ ตะวันออกกลาง ก็มีตำนานปรำปราที่ชื่อเอนูมา อิลิช (Enuma Elish) ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกำเนิดของชาวบาบิโลน (ประมาณเกือบ 4000 ปีที่แล้ว) ซึ่งมีการบรรยายถึงพฤติกรรมที่ใช้ ปากจูบพื้น ปากจูบเท้า หรือปากจูบปากเอาไว้
การจูบของชาวอินเดียและบาบิโลนนี้ แม้เราจะไม่รู้ว่าพวกเขาเริ่มต้นพฤติกรรมนี้มาได้อย่างไร ? เกิดขึ้นเอง (เป็นสัญชาตญาน) หรือรับมาจากไหนหรือไม่ ? แต่มันก็ช่วยแสดงให้เราเห็นว่า การใช้ริมฝีปากไปแตะที่สิ่งที่รัก เป็นพฤติกรรมที่เก่าแก่และคงอยู่มานานแล้ว
3.
สำหรับชาวตะวันตกผิวขาวซึ่งเป็นกลุ่มชนที่เผยแพร่การจูบ (ผ่านฮอลลีวูดของอเมริกา) ไปทั่วโลก เรารู้ว่าชาวยุโรปมีการจูบมานานเป็นหลักพันปีเช่นกัน ผ่านทางวรรณกรรม เช่น Iliad หรือ Odyssey (อีเลียดคือเรื่องที่มีเฮอร์คิวลิส และม้าไม้เมืองทรอย ส่วนโอดิสซีคือภาคต่อที่กองทัพที่เดินทางกลับหลังสงครามแล้วเกิดหลงทางกลางทะเล ต้องผจญภัยไปเจอยักษ์ตาเดียวไซคลอพ และไซเรน) ซึ่งในวรรณกรรมจะมีการบรรยายถึงการใช้ปากสัมผัสเพื่อแสดงความรักหรือความนับถือ
ในพระคัมภีร์ Old Testament (คัมภีร์ที่มีเรื่องของอับราฮัมบิดาของชาวยิว อิสราเอลสู้กับพระเจ้าและโมเสสเดินทางออกจากอียิปต์) ที่ชาวยุโรปรับมาอีกทีก็เต็มไปด้วยเรื่องของการจูบ เช่น การจูบระหว่างพ่อลูก ระหว่างพี่น้อง เป็นต้น
ต่อมาเมื่อเข้าสู่ยุคสมัยของอาณาจักรโรมัน และยุโรปยุคกลาง เราจะเริ่มเห็นการจูบแบบที่มีกฎเกณฑ์มากขึ้น คือ มีวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมต่อเนื่องมาเรื่อยๆ เช่น
จากเดิมที่การจูบเป็นการแสดงความรักระหว่างคนใกล้ชิด คนรัก ญาติพี่น้อง เพื่อน การจูบก็เริ่มเป็นทางการมากขึ้น มีกฎกติกาที่ซับซ้อนขึ้น เช่นในอารยธรรมของเปอร์เซีย (หรืออิหร่านที่เรารู้จักกัน) จะจูบตามลำดับชั้นทางสังคม ถ้าเท่าเทียมกันจะทักทายด้วยการจูบที่ริมฝีปาก ถ้าลำดับต่างกันเล็กน้อยก็จูบที่แก้ม ถ้าต่างกันมากอาจจะต้องลงไปจูบที่เท้า
ในยุโรปการจูบเป็นการแสดงถึงความเชื่อใจระหว่างกัน เช่น เมื่อต้องมีการทำสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรแล้วเซ็นชื่อ แต่เมื่อคนส่วนใหญ่ในสังคมยังเขียนหนังสือไม่เป็น วิธีการลงนามจึงใช้การวาดรูป X ขึ้นมาแทนไม้กางเขน แล้วจูบลงไปที่กากบาทนั้น
การทำเช่นนี้จะเหมือนเป็นการให้สัตย์ต่อพระคริสต์ว่าเราจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ซึ่งการทำสัญญานี้ก็เป็นที่มาของ xoxo เพื่อส่งข้อความว่า kiss hug kiss hug ที่เราใช้กันในปัจจุบัน
เช่นเดียวกันเมื่อบาทหลวงประกาศความเป็นสามีภรรยาให้กับชายหญิงแล้ว คำพูดว่า bride may kiss the groom ก็ไม่ได้เป็นการให้บ่าวสาวแสดงความรักกันต่อหน้าประชาชีเพื่อความบันเทิง แต่การจูบถือเป็นการลงนามระหว่างกันต่อหน้าพระพักต์ของพระผู้เป็นเจ้า
แม้ว่าการชิมการดมคนรักเหมือนจะเป็นสากล แต่ไม่ได้แปลว่าเทคนิคการเข้าทำจะเป็นที่เข้าใจข้ามวัฒนธรรมกันได้เสมอไป ดังที่จะเห็นได้จากตัวอย่างนี้
4.
ในหนังสือ Savage Africa (ซึ่งก็แปลประมาณว่า แอฟริกัน คนเถื่อนหรือคนไม่ศิวิไลซ์) ที่ตีพิมพ์ในปี 1864 ผู้เขียนเป็นนักผจญภัยชาวอังกฤษชื่อ William Winwood Reade
เขียนเล่าเรื่องราวที่เขาไปตกหลุมรัก ลูกสาวแสนสวยของหัวหน้าชนเผ่าหนึ่งในแอฟริกา หลังจากพยายามจีบอยู่หลายเดือนและมั่นใจว่าเธอเองก็มีใจ วันหนึ่งเขาจึงรวบรวมความกล้า และก้มลงจุมพิต
แต่ด้วยความตกใจหญิงสาวก็ร้องไห้ด้วยความกลัว และวิ่งจากไป เขามารู้ในภายหลังว่า หญิงสาวเข้าใจว่าเขากำลังพยายามจะกินเธอ เรื่องราวของ Reade และนักเดินทางคนอื่นๆ ในยุคนั้น (ที่พยายามไปจูบชนพื้นเมือง) ทำให้เรารู้ว่าคนในวัฒนธรรมอื่น มองว่าการจูบปากเป็นพฤติกรรมที่แปลกมาก
เมื่อนักเดินทางพยายามอธิบายให้คนพื้นเมืองฟังว่าการจูบเป็นการแสดงความรัก ปฏิกิริยาตอบสนองที่ได้รับกลับมาคือ ‘พวกนาย คนขาวนี่สกปรก น่าขยะแขยงจริงๆ’ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะคนพื้นเมืองเหล่านี้ จะใกล้ชิดกันมากที่สุดก็แค่ ดูด เลีย ขบ ถูไถ บริเวณริมฝีปากหรือจมูก เท่านั้น
คุยประวัติศาสตร์กันมาเสียยาว คำถามคือประวัติศาสตร์ในอดีตเหล่านี้บอกอะไรแก่เราบ้าง?
สิ่งแรกที่เราได้เรียนรู้คือ หนึ่ง การจูบ (หรือพฤติกรรมที่คล้ายกัน) เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้น และคงอยู่มานานอย่างต่อเนื่อง สอง พบข้ามวัฒนธรรม
การที่พฤติกรรมใดพบได้ในหลายภูมิภาคของโลก ข้ามน้ำข้ามทะเล ข้ามทวีป และข้ามวัฒนธรรมเช่นนี้ บ่งเป็นนัยๆ ว่าพฤติกรรมนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นจากการเรียนรู้แต่เพียงอย่างเดียว แต่น่าจะมีปัจจัยทางชีวิวทยาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
นักการตลาด นักสร้างเทรนด์ หรือนักอยากดัง จะทราบดีว่า การจะทำให้อะไรฮิตไปทั่วนั้นเป็นเรื่องยากแต่ยากยิ่งกว่าคือทำให้สิ่งนั้นได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานๆ
ยังจำไวรัลเหล่านี้ได้ไหมครับ โรตีบอย ครูอังคณา ธนูปักเข่า เงียบ...สงสัยไม่ช็อต ประชาชนคิดไปเอง มันเป็นศิลปะผมให้ผ่าน
การที่ ‘พฤติกรรมจูบ’ ได้รับการทำต่อเนื่องกันมานานนับพันปี และยังแพร่กระจายไปได้กว้างไกล ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เชื่อว่า พฤติกรรมนี้อาจไม่ใช่แค่การทำตามๆ กัน แต่น่าจะมีรากทางชีววิทยาเจือปนอยู่ด้วย
อย่างที่สาม ประวัติศาสตร์ยังบอกเราว่าการจูบจะเป็นสัญชาตญานแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่เป็นเรื่องของวัฒนธรรมด้วย
เพราะแม้ว่า ‘พฤติกรรมคล้ายจูบ’ ทั้งหลายจะพบได้ทั่วไป แต่พฤติกรรมนี้ก็ต่างกันไปในแต่ละสถานที่ และต่างไปในแต่ละยุคสมัย ซึ่งลักษณะเช่นนี้เป็นลักษณะของวัฒนธรรม
ดังนั้น การจูบจึงเหมือนเรื่องอื่นๆ ทางชีววิทยานั่นคือ เป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมหรือวัฒนธรรม และปัจจัยทางชีววิทยา
อาจจะเทียบได้ว่าเหมือนภาษาพูดของมนุษย์ คือ มนุษย์ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ที่ไหนๆ เกิด และเติบโตที่ใด ก็จะมีภาษาพูด แต่ภาษาพูดของมนุษย์แต่ละวัฒนธรรมก็ต่างกันไป ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า การพูดได้ของมนุษย์เป็นสัญชาตญาน แต่ภาษาเป็นเรื่องของวัฒนธรรม
การจะศึกษาเรื่องใดๆ ทางชีววิทยาก็ตามเราจึงไม่สามารถละเลยที่จะไม่ศึกษาปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม หรือวัฒนธรรมร่วมด้วย (เช่น วัฒนธรรมกินแอปเปิ้ลจากรักแร้ เกิดขึ้นในออสเตรียได้ แต่ในภูมิภาคที่อากาศร้อน และชื้น วัฒนธรรมแบบนี้คงจะเป็นที่นิยมได้ยาก)
จากทั้งหมดนี้เมื่อประมวลเข้าด้วยกัน เราก็อาจพอสรุปได้ว่า ความต้องการที่จะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ เพื่อ ดม เลีย ชิม คนรักน่าจะเป็นสัญชาตญาน ริมฝีปากที่บางเป็นการออกแบบเพื่อรับสัมผัสได้เต็มที่
แต่เทคนิค หรือรายละเอียดว่าจะเข้ากระทำอย่างไร จะใช้ริมฝีปากหรือจมูก จะใช้ลิ้นหรือไม่ จะกวาดลิ้นกว้างขวาง และกินพื้นที่ในปากของเขาเท่าไหร่ เหล่านี้เป็นเรื่องของวัฒนธรรม ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสิ่งแวดล้อมและกาลเวลา
ถ้าการเข้ากระทำไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของวัฒนธรรมนั้น การแสดงความรักของวัฒนธรรมหนึ่งก็อาจถูกเข้าใจผิดว่าหิวในอีกวัฒนธรรมได้
ทั้งหมดนี้ก็เป็นประวัติศาสตร์ย่อๆ พอให้เห็นที่มาที่ไปของการจูบนะครับ
ถึงตรงนี้เชื่อว่าหลายท่านอาจจะกำลังสงสัยว่า แล้วสัตว์ดมกลิ่น ชิมรส ของคู่ที่อยากผสมพันธุ์ไปเพื่ออะไร ?
คนเราจูบ คลอเคลีย หอมแก้ม กันไปเพื่ออะไร?
ธรรมชาติสร้างพฤติกรรมเหล่านี้มาทำไม ?
เราจะมาหาคำตอบในตอนหน้ากันครับ
🧠 อยากเข้าใจวิทยาศาสตร์ของความรัก แนะนำอ่านหนังสือ Bestseller “500 ล้านปีของความรัก เล่ม 1-2” และ “เรื่องเล่าจากร่างกาย”
💝 โปรโมชันเดือนแห่งความรัก หนังสือ “500 ล้านปีของความรัก” ลด 10%
500 ล้านปีฯ เล่ม 1 : https://bit.ly/3HkIvVF
500 ล้านปีฯ เล่ม 2 : https://bit.ly/3jbnvsK
Boxset รวมเล่ม 1-2 : https://bit.ly/3DMKQIn
หรือกดสั่งซื้อได้เลยทั้ง 3 ช่องทาง
💚 Line My Shop : https://bit.ly/3FBx0bx
โฆษณา