11 มี.ค. 2023 เวลา 02:54 • หนังสือ

✴️ บทที่ 4️⃣ ศาสตร์สูงสุดแห่งการรู้พระเจ้า ✴️ (ตอนที่ 30)

🍀ยัญ,พิธีบูชาไฟวิญญาณเพื่อเผากรรมให้สิ้น🍀
⚜️ โศลกที่ 2️⃣6️⃣ ⚜️ หน้า 520 – 526
โศลกที่ 2️⃣6️⃣
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
ผู้ภักดีบางคนถวายการควบคุมภายใน คือการควบคุมโสตินทรีย์และอินทรีย์อื่น ๆ เป็นเครื่องบูชาไฟ ส่วนผู้ภักดีคนอื่น ๆ ถวายการสังวรระวังอารมณ์ คือสัทธารมณ์ และอารมณ์อื่น ๆ เป็นเครื่องบูชาไฟ
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
#พิธีบูชาไฟ สัญลักษณ์ที่โศลกนี้เอ่ยถึงในส่วนแรก คือการพรรณนาพิธีไฟที่พรหมจารี (ผู้มีวินัยในตน) ปฏิบัติ ผู้มีวินัยน้อมนำจิตสู่ภายใน (ปรัตยาหาระ) ถอนจิตและพลังชีวิตจากประสาทสัมผัสทั้งห้าคือ การได้ยิน การเห็น การได้กลิ่น การลิ้มรส และการสัมผัส เทผัสสะเหล่านี้เข้าไปในไฟความรู้และความสงบภายใน ด้วยสมาธิลึก (สังยม) การเป็นนายเหนือตนด้วย ธารณะ ธยานะ และสมาธิ
โยคีผู้มีวินัยในตนได้ปลดปล่อยจิตของท่านให้หลุดพ้นจากการยื้อยุดของอินทรีย์ทั้งห้า สลายการรับรู้อินทรีย์ทั้งห้าให้แก่บรมภาวะเพียงหนึ่งซึ่งไม่อาจแบ่งแยก — นั่นคือความเกษมแห่งอาตมัน นี่คือภาวะของผู้ภักดีที่ได้ชัยชนะแท้จริงในการยุทธ์ ระหว่างอินทรีย์กับจิตที่ได้แรงดลใจจากพระเจ้า ในการทำสมาธิขั้นแรก ๆ นั้นอินทรีย์ทั้งห้าพยายามดึงจิตของผู้ภักดีให้ฟุ้งซ่านไปจากการเพ่งภายใน แต่เมื่อผู้ภักดีปิดตา ปิดหู แสวงหา ความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ การรับรู้จินตภาพอย่างไม่แบ่งแยกก็จะบังเกิดแก่เขา
การถวายผัสสอินทรีย์เป็น “เครื่องบูชา” เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายใคร ๆ ก็ทำได้ แม้คนทั่วไป ถ้าเต็มใจที่จะแสวงหาการหยั่งรู้พระเจ้าด้วยเทคนิควิธีอันเป็นวิทยาศาสตร์ เขาก็ย่อมทำได้
พิธีกรรมที่พรรณนาในตอนท้ายของโศลกนี้ พูดถึงสัญลักษณ์พิธีไฟตามวิธีปฏิบัติของชาวโลกทั่วไป ซึ่งต่างจากบุคคลผู้หวังก้าวไปสู่การหลุดพ้นด้วยการกระทำที่สร้างสรรค์และถูกต้อง มีความแตกต่างกันอยู่ระหว่างชาวโลกผู้ทำพิธีไปอย่างกลไกปราศจากความจริงใจ กับชาวโลกผู้มีญาณปัญญาและควบคุมตนได้
ชาวโลกที่กระทําการแบบกลไกจะมีปฏิกิริยาตามอินทรีย์อย่างไร้ความคิด เขาเทพลังเข้าไปในไฟแห่งความพยายามทางวัตถุอย่างอัตโนมัติ ผลที่ได้รับจึงน้อย แต่ชาวโลกผู้มีวินัยดี บูชาพลังของตนแด่ไฟความพยายามทางญาณปัญญา เขาจึงประสบความสำเร็จและได้รับความสุข เป้าหมายและการแสวงหาของเขาอยู่ในมิติที่ถูกต้อง ผัสสารมณ์ไม่ครอบงำเขา แต่ถูกถวายเข้าไปในไฟอินทรีย์ ซึ่งญาณปัญญาของเขาควบคุมอยู่★
★โยคะทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างอำนาจของผัสสอินทรีย์ กับ ผัสสารมณ์ ผัสสอินทรีย์คือ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส และการสัมผัส แต่ผัสสารมณ์นั้นอยู่ในรูปและสี (รูป) เสียง (ศัพท์) กลิ่น (ฆาน) รส (รส) และสัมผัส (สปรศ) เป้าหมายของผู้มีวินัยในตนคือการยุติการเป็นทาสของอารมณ์ ด้วยการถวายผัสสารมณ์ให้แก่การใช้อำนาจของผัสสอินทรีย์ที่มีวินัยควบคุม
————————💠————————
อาศรมสี่ : แผนการแห่งพระเจ้า
เพื่อการดำเนินชีวิต
————————💠————————
ตรงนี้จําเป็นต้องอธิบายให้ชัดเจน ว่าที่คีตาพูดถึง “ชาวโลก” นั้น หมายถึงบุคคลที่ยังไม่ได้ถวายหัวใจแด่พระเจ้าเพียงสถานเดียว
เราเห็นมนุษย์ที่อยู่รอบกายเรา มีวิวัฒนาการด้านจิตวิญญาณในขั้นตอนต่าง ๆ กัน เช่นเดียวกับที่โลกทำให้เราได้เห็นวิวัฒนาการของชีวิตที่ “ไร้ชีวิต” และชีวิตที่มีชีวิต (ปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์รู้สึกเป็นเรื่องยากที่จะหาสิ่งใดซึ่ง “ไร้ชีวิต”❗)
สุดโต่งทางหนึ่งของมนุษย์ เราจะเห็นคนหยาบช้าบางจำพวกที่เพิ่งวิวัฒน์มาจากร่างกายของสัตว์ ส่วนปลายสุดอีกทางนั้นคือการวิวัฒน์อันล้ำเลิศ มีครูบาอาจารย์และมุนีที่เสมือนพระเจ้าปรากฏให้เห็น
ผู้คนส่วนใหญ่อยู่ตรงกลางระหว่างปลายสุดทั้งสองด้านนี้ ชีวิตของผู้คนเหล่านี้ไม่ได้เลวร้ายเกินไปและไม่ได้ดีเลิศ เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่ขาดญาณปัญญาหรือความรู้เกี่ยวกับกฎแห่งพระเจ้า พวกเขาจึงพอใจที่จะมีชีวิตอยู่อย่างคับแคบ ขาดแรงดลใจ – กิน สืบพันธุ์ ทํางานเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วก็ตายไป เหมือนวัวที่เขาให้กินหญ้านิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ช้าไม่นานก็เดินเซื่อง ๆ ตามคนจูงไปสู่ที่เชือด
ชาวโลกไม่ได้รู้แจ้งว่า ทรัพย์สินทั้งหลายรวมทั้งกายของตน ไร้ความยั่งยืน พวกเขาปล่อยปละละเลยวิญญาณ ซึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เป็นของเขานิรันดร์
ด้วยเหตุนี้ โยคีจึงมองว่าชาวโลกอยู่ใน “ภาวะไร้ที่คุ้มภัย” พระคัมภีร์กล่าวถึงโยคีผู้แสวงหาการหลุดพ้นว่าเป็นผู้อยู่ในอาศรม “บ้าน” หรือ “อาราม” อินเดียยุคพระเวทนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตทางโลกอย่างถูกต้อง ใช้ผัสสอินทรีย์แต่ก็ควบคุมอินทรีย์นั้น ๆ อย่างเต็มที่ ความเกษมที่ได้จากการควบคุมตน ทำให้พวกเขาก้าวพ้นความใคร่ในกาม — ที่ธรรมชาติอันไม่ยั่งยืนของมันนำสุขทุกข์มาให้ตลอดเวลา
ยุคสมัยโน้น จึงเรียกชีวิตครอบครัวทั่ว ๆ ไปว่าชีวิตในอาศรม (อาศรม หรือ วินัย) ผู้ครองเรือนรู้ว่าชีวิตเขาต้องผ่านสี่อาศรม พรหมจรรย์ (ชีวิตโสด มุ่งที่การศึกษาเล่าเรียน) คฤหัสถ์ (ชีวิตผู้ครองเรือนมีครอบครัว) วนปรัสถ์ (วางมือจากการงาน ใช้ชีวิตเพื่อการใคร่ครวญ) และ สันยาส (ชีวิตนักบวช) ชีวิตในยุคนั้นจึงไม่ได้อยู่ที่การดิ้นรนหาเงิน จนไปจบลงที่โรคภัยไข้เจ็บและความผิดหวังไม่สมดังใจ
ในยุคโบราณนั้น เด็กทุกคน พอถึงวัยเจ็ดขวบ ก็เข้าสู่อาศรมพรหมจรรย์ หรือเข้าสู่อารามเพื่อฝึกวินัย อยู่ในความดูแลของคุรุผู้มีปัญญา เด็กจึงพ้นไปจากสภาพแวดล้อมอันจำกัดของพ่อแม่ ครอบครัว และธรรมเนียมสังคม นักเรียนจะได้รับ การอุปสมบททางจิตวิญญาณ (ทิกษะ) ได้รับสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์จากคุรุ (เส้นด้ายศักดิ์สิทธิ์) สัญลักษณ์แห่งชีวิตบริสุทธิ์ เด็ก ๆ จะไม่ได้รับอนุญาตให้ไปคลุกคลีกับเพศตรงข้ามหรือกับผู้คนที่จิตใจฝักใฝ่โลกีย์
พออายุครบสิบขวบ “พรหมจารี” จะได้เรียนรู้คัมภีร์และการบำเพ็ญสมาธิภาวนา พออายุสิบเอ็ดปี เขาเรียนรู้หน้าที่ของนักรบเพื่อปกป้องผู้อื่น ปีถัดไป เขาเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีทางธุรกิจและศิลปะการจัดการกิจการทางโลกอย่างถูกต้อง
หนุ่ม ๆ ต้องอยู่ในอารามของอาจารย์จนอายุครบยี่สิบปี จากนั้นจึงจะเริ่มอาศรมที่สองแห่งชีวิต เขากลับไปสู่ครอบครัว รับหน้าที่การงานของครอบครัว มีลูก พออายุห้าสิบปีบุคคลนั้นกลับสู่อารามในป่าอีกครั้ง แสวงหาการรวมกับพระเจ้าให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป และรับการฝึกด้านจิตวิญญาณจากคุรุ นี่เป็นอาศรมที่สามแห่งชีวิต คืออาศรมป่าหรือที่เรียกว่า “วนปรัสถ์”
โดยวิธีนี้ แรกสุด บุคคลแสวงหาความรู้ทางจิตวิญญาณและความรู้ทางโลก และปฏิบัติวินัยในตน จากนั้น เมื่อได้คุณลักษณะเหล่านี้แล้ว เขาจึงเริ่ม ชีวิตครอบครัว ต่อมา เขายกทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้แก่ทายาท และอีกครึ่งหนึ่งให้แก่อารามของคุรุ แล้วบุคคลนั้น (ส่วนใหญ่ กับภรรยา) ก็วางมือจากภาระครอบครัวไปสู่ที่อยู่ของคุรุในป่า
เมื่อเข้าสู่อาศรมที่สี่ หรือ อาศรมสุดท้ายหรือช่วงชีวิตของการฝึกวินัย เขาต้องเลิกละจากภาระทางโลกทั้งหมด บุคคลนั้นกับภรรยาของเขากลายเป็นนักบวชไร้บ้าน เดินทางไปทั่วอินเดีย ให้พร ให้ญาณปัญญาแก่ทุกหัวใจที่เปิดพร้อมยอมรับ เขาได้รับความเคารพเลื่อมใสจากทุกบ้านเรือน
.
◾คุณค่าของชีวิตนักบวช◾
#นั่นคือวิถีมีองค์สี่ ของชีวิตคนทั่วไปในยุคพระเวท แต่ในสมัยนั้นก็เช่นเดียวกับในสมัยนี้ ที่ย่อมมีบุคคลพิเศษ ผู้ไม่ต้องการแค่กระบวนการทําชีวิตให้บริสุทธิ์ตามขั้นตอนอาศรม หรือวิธีสร้างความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณตามปกติ
ไม่ว่าในยุคโบราณหรือยุคสมัยใหม่ ผู้มีวิญญาณประเสริฐเช่นนั้นจะอยู่ในอารามของคุรุตั้งแต่ต้นไปจนปลายชีวิต ปลดปล่อยวิญญาณของตน และช่วย ผู้อื่นให้หลุดพ้น วิญญาณที่วิวัฒน์แล้วเช่นนั้นไม่จำเป็นต้องระงับความอยากของตนจนหมดก่อนการแสวงหาพระเจ้า พวกเขาเดินทางตรงสู่พระเจ้าทันที ด้วยการประพฤติพรหมจรรย์ และ สันยาสะ ตลอดชีวิต อย่างไม่ใฝ่ใจกับระเบียบปฏิบัติของบ้าน หรือชีวิตผู้ครองเรือน ชีวิตป่า หรือ นักบวชที่เดินทางจาริกไป
พระเยซู บาบาจี และผู้เผยแพร่พระวจนะผู้ยิ่งใหญ่ในทุกยุคทุกสมัย ล้วนเดินไปบนทางตรง ไม่วกวน สำหรับท่านเหล่านี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเข้าสู่วังวนของชีวิตชาวโลกธรรมดา วิญญาณประเสริฐเหล่านั้นได้ซึมซับบทเรียนประสบการณ์ทางโลกอย่างเด็ก ๆ หรือระดับอนุบาลนี้มานานแล้ว (ตั้งแต่ภพชาติก่อน ๆ)
ในยุคสมัยใหม่ คนหนุ่ม ๆ ที่ต้องการมีครอบครัวก่อน คิดว่าเขาจะแสวงหาพระเจ้าภายหลัง การคิดเช่นนี้เป็นการคิดผิดอย่างฉกาจฉกรรจ์ การขาดการฝึกฝนอบรมวินัยในอาราม ทำให้มนุษย์ทุกวันนี้ไม่สามารถควบคุมผัสสอินทรีย์และความอยากของตนได้ เมื่อเขาเข้าสู่ภาวะผู้ครองเรือนไปตามวิถีปกตินั้น เขาต้องแบกภาระหนัก —ดูแลครอบครัวด้วยการวิ่งหาเงิน— จนลืมที่จะสวดภาวนาถึงพระเจ้า แม้แต่บทสวดสั้น ๆ ที่จะให้แสวงหาพระองค์อย่างสุดหัวใจนั้นคงไม่ต้องพูดถึง
คำพังเพยโบราณที่ควรต้องจําให้ขึ้นใจที่ว่า น้ำนมไม่ลอยน้ำ แต่เนยแข็งที่ปั่นจากนมสามารถลอยอยู่ในน้ำได้ ทำนองเดียวกัน บุคคลที่จิตหรือน้ำนมในวัยเยาว์ได้ถูกปั่นคั้นให้เป็นเนยแห่งการหยั่งรู้ตน สามารถที่จะอยู่ในโลกได้ กระตือรือร้นที่จะไปสู่พระเจ้า โดยไม่ต้องไปเกลือกกลั้วอยู่กับความอยากและความยึดมั่นทางโลก
ด้วยเหตุนี้ ชายหญิงยุคใหม่ ที่พบว่าตนถวิลถึงพระเจ้า จึงควรวิ่งตามพระองค์ก่อนอย่างไม่ชักช้า❗นี่แหละ พระเยซูจึงได้แนะนำเราว่า “ท่านอย่าเสาะหาว่าจะกินอะไรดี หรือจะดื่มอะไร และอย่ามีใจกังวล เพราะว่าพวกต่างชาติทั่วโลกเสาะหาสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด แต่ว่าพระบิดาของท่านทั้งหลายทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการสิ่งเหล่านี้ แต่จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งเหล่านี้ให้”★[ลูกา 12:29-31]
ก็อย่างที่เราเห็น ว่าชีวิตครอบครัวที่ควบคุมตนตามวินัยชีวิตที่ได้ฝึกฝนอบรมมาก่อนนั้นแตกต่างอย่างมากจากชีวิตชาวโลกยุคใหม่ ทุกวันนี้มาร —ความต้องการ ความไม่กลมกลืน ความวิตกกังวล และความกลัว— มีอยู่ประจำในครอบครัว แน่นอน ที่ยกเว้นนั้นมีอยู่บ้าง ในครอบครัวที่พระเจ้าทรงประทานความกลมกลืน การควบคุมตน สันติสุข และความเบิกบานมาให้ แต่ครอบครัวเช่นนี้ก็มีน้อยมาก
ไม่มีเหตุผลที่ผู้ใดจะดำเนินชีวิตอยู่กับความทุกข์นี้ต่อไป ชีวิตชาวโลกที่ไร้พระเจ้านำไปสู่ความทุกข์ ชีวิตที่มีพระเจ้า ไม่ว่าจะอยู่ในโลกนี้หรืออยู่ในป่าคือสวรรค์อย่างแน่แท้
สมาชิกในทุกครอบครัว ควรเข้าใจว่า ถ้าพวกเขาไม่ควบคุมผัสสอินทรีย์เสียแล้ว สันติสุขจะต้องถูกริบไปอย่างแน่แท้ สามีและภรรยาที่คิดว่า “พันธะศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตสมรส” อนุญาตให้พวกเขาปล่อยตัวปล่อยใจอย่างเกินการณ์ไปกับ เพศรส ความโลภ ความโกรธ หรือ แสดง “อารมณ์” ได้ตามใจนั้น เป็นคนที่ไม่ประสีประสากับกฎแห่งชีวิตที่แท้จริง ครอบครัวที่แตกแยกและการหย่าร้างที่ เพิ่มขึ้นทุกหนแห่งในทุกวันนี้ เป็นการเตือนอย่างโจ่งแจ้งว่า การสมรสไม่ได้หมายถึงการปล่อยตนตามความอยาก ความกำหนัด อารมณ์ และผัสสารมณ์
ผู้ควบคุมผัสสอินทรีย์ได้ดังที่โศลกที่ 2️⃣6️⃣ เอ่ยถึง หมายถึงคฤหัสถ์ที่ดำเนินชีวิตในวัยครองเรือนอย่างมีวินัย ใช้ผัสสารมณ์ถูกต้อง —จัดการกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสอย่างไม่เป็นทาสของมัน— เพียงให้ได้ประสบการณ์ที่จําเป็นในโลกแห่งผัสสารมณ์อันไร้ความยั่งยืน
ทันทีที่ความปรารถนาได้รับการตอบสนอง จิตเขาก็สงบ เป็นอิสระจากกิเลสทั้งปวง เขาพร้อมที่จะเข้าสู่อาศรมที่สามแห่งชีวิต ถอนตนจากการแสวงหาทางโลก เมื่อความเพียรทางจิตเพิ่มพูน เขาย่อมพร้อมที่จะถวายผัสสอินทรีย์ที่ควบคุมดีแล้วเป็น “เครื่องพลีบูชา” แด่พระเจ้า เมื่อโยคี (อนาคาริกที่แท้ หรือ สันยาสี) ใช้สมาธิควบคุมผัสสอินทรีย์ได้ ท่านย่อมหลุดพ้น
คำแนะนําในโศลกนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้มีคู่ครอง ที่ชีวิตยังพัวพันอยู่ในโลก และสำหรับผู้ที่เสมือนว่าไม่อาจรอดพ้นไปจากแอกของวัตถุ เพื่อหาความสงบ
มนุษย์ทุกรูปทุกนาม ไม่ว่าสภาพการณ์ในชีวิตจะเป็นเช่นไร มีอำนาจที่จะถวาย “ผัสสอินทรีย์เป็นเครื่องพลีบูชา” แด่พระเจ้า เป้าหมายยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต (ตรงข้ามกับสิ่งที่นักแต่งนวนิยายบอกเรา) ไม่ใช่การรู้จักความรักอย่างโลก ๆ หรือเพื่อให้กำเนิดลูกหลาน หรือเพื่อเอาชนะความโลเลหลายใจของผู้ชาย แต่เป้าหมายเดียวที่มีค่าของมนุษย์คือการเข้าถึงความเกษมสุขนิรันดร์แห่งพระเจ้า★
★คีตาไม่ได้แนะนำว่า คู่สมรสทุกคนที่แสวงหาพระเจ้าต้องถือพรหมจรรย์ ดังที่ท่านปรมหังสา โยคานันทะ ได้ให้อรรถาธิบายไว้ในบทที่ 18:60 ว่า “ศิลปะการฝึกจริตของบุคคลไม่ได้อยู่ที่การใช้กำลังบังคับอย่างเหี้ยมเกรียม แต่ต้องค่อย ๆ พัฒนาจิตเป็นขั้นเป็นตอนไป”
คำแนะนำของท่านปรมหังสา โยคานันทะเกี่ยวกับประเด็นนี้ และแง่มุมอื่น ๆ ของชีวิตสมรสตามอุดมคติ นำเสนอไว้ในบทเรียนของเซลฟ์ รีอะไลเซชั่น เฟลโลว์ชิพ และในหนังสือเล่มอื่น ๆ ของเซลฟ์ รีอะไลเซชั่น เฟลโลว์ชิพ
{หมายเหตุผู้จัดพิมพ์}
แม้ทุกวันนี้ วิธีดีที่สุดสำหรับชีวิต คือการอยู่ในอาศรมภายใต้การฝึกอบรมของคุรุที่แท้ หรือ คนของพระเจ้า ทําการงานอย่างกระตือรือร้นเพื่อความดีงามของทุกคนอย่างไม่หวัง “ผลของการกระทำ” ผู้ที่ยังไม่มีครอบครัวและรับรู้เสียงเรียกจากภายในให้ละบ้านเรือน ควรแสวงหาพระเจ้าทันทีไม่ว่าโดยวิธีใด ไม่ควรเสี่ยงเข้าไปในวังวนของชีวิตครอบครัวและการไขว่คว้าแสวงหาวัตถุ
ผู้ที่ยังไม่หยั่งรู้พระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม ย่อมเสี่ยงอันตราย เมื่อเขาพยายามจัดการกับผัสสารมณ์ แม้กระทำด้วยการควบคุมตนแล้วก็ตาม ความเสี่ยงต่อการเป็นทาสของผัสสารมณ์นั้นมีอยู่ตลอดเวลา เพราะจิตมักจะเข้าไปคลุกคลีกับสิ่งที่อยู่ใกล้
โดยทั่ว ๆ ไปแล้วจิตมักจะทำตามกฎที่ว่า “มาก่อน ได้ก่อน” ดังนั้น ถ้าความเพลินทางผัสสะมาก่อน จิตก็จะชินกับการปล่อยใจไปกับความเพลิดเพลินชั่วแล่น ลืมที่จะขวนขวายให้ได้มาซึ่งความปีติเบิกบานแห่งอาตมันที่แท้ แต่เมื่อผู้ภักดีได้รับความปีติเบิกบานที่หลั่งไหลมาจากพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม ความเบิกบานนั้นจะเป็นสิ่งน่าพิสมัย และผัสสารมณ์ก็จะหมดอำนาจไป ไม่อาจแข่งขันกับความปีติเบิกบานนี้ได้
ไม่มีเหตุผลเลย ที่ผู้มีคู่ครองจะคงต้องอยู่กับโลกียจิต สิ้นคิดทางจิตวิญญาณ หมดความหวังที่จะได้พบพระเจ้า ความรักของมนุษย์ คำยกย่องสรรเสริญ ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง อาหาร ทรัพย์สิน ความอยากนานา เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงทดสอบผู้ภักดีที่แท้จริง พระเจ้าทรงมีทุกอย่าง พระองค์ทรงประสงค์จะทดสอบจิตใจของผู้ภักดี ว่าเขารักพระเจ้า หรือ รักของขวัญจากพระเจ้า
เมื่อผู้ภักดีพิสูจน์ให้พระเจ้าทรงพอพระทัยได้ว่า เขาไม่หวั่นไหวไปกับกิเลสใด ๆ และไม่เต็มใจรับสิ่งใดที่น้อยไปกว่าพระองค์ เมื่อนั้นแล้ว เมื่อนั้นแล้วเท่านั้น พระเจ้าจึงจะทรงเผยพระพักตร์อันรุ่งโรจน์แห่งพระองค์ชั่วกาลนาน ไม่ว่าสภาพการณ์ภายนอกของผู้ภักดีจะเป็นอย่างไร
(((มีต่อ)))

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา