18 มี.ค. 2023 เวลา 07:31

คุณสมบัติธรรมะ และ เหตุแห่งการเกิดพระไตรปิฎก

หลังจากที่ได้พูดธรรมในเรื่องของขันธ์5ไปแล้ว เชื่อว่าคนที่เพิ่งเริ่มฟังก็สามารถทำความรู้ตามได้ หรือคนที่ได้ฟังมาตามลำดับจะเข้าใจได้ไม่ยาก และเห็นชัดว่าปฏิจจสมุปบาทและขันธ์5เป็นธรรมเกิดทุกข์อย่างไร
เมื่อเห็นธรรมฝ่ายเกิดทุกข์แล้ว ก่อนที่จะไปสู่ธรรมฝ่ายดับทุกข์ จะชี้ให้เห็นเหตุปัจจัยให้เราได้เข้าใจในธรรมมากยิ่งขึ้นไปตามลำดับก่อน โดยจะย่อให้สั้นและเข้าใจง่ายที่สุดเนื่องจากแบบเต็มมีรายละเอียดมากและได้พูดไว้แล้วเป็นบางส่วน
เริ่มจาก คุณสมบัติของธรรมในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอนุสสานีปาฏิหาริย์
องค์ประชุมแห่งอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ประกอบไปด้วย
1พระศาสดา หรือ อรหันตสาวกที่เป็นเอตทัคคะ หรือ ผู้รู้
2พระธรรม
3ผู้ฟังเป็น
หากจะให้เข้าใจง่ายก็คือ มีผู้รู้ มีธรรม มีผู้ฟัง จึงจะครบองค์ประชุมของอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ผู้รู้แสดงธรรมให้ผู้ฟังนั่นเอง เมื่อผู้รู้แสดงธรรมผู้ฟังได้ฟัง ธรรมนั้นก็จะเกิดขึ้นแก่ผู้ฟังเมื่อผู้ฟังมีข้อสงสัยถามจากผู้รู้ ธรรมก็จะเกิดขึ้นกับผู้รู้เช่นกัน กล่าวคือ ผู้รู้ก็จะได้รู้ธรรมที่ผู้ฟังยังไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดถูกอย่างไร จะได้ชี้ให้เห็นจนชัด ดังนั้น ธรรมะจะเกิดขึ้นทั้งกับผู้พูดและผู้ฟัง
เมื่อธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์จึงไม่มีพระองค์ใดดำริหรือสังการให้ผู้หนึ่งผู้ใดกระทำการรวบรวมพระธรรมคำสอนของพระองค์ท่านเป็นบทพยัญชนะเป็นพระไตรปิฎกเลย
ด้วยเหตุที่ว่าพระไตรปิฏกนั้น ไม่มีคุณสมบัติ ไม่ใช่ครู ไม่ใช่อาจารย์ ไม่ใช่องค์ประชุมแห่งอนุสาสนีปาฏิหาริต์ เพราะไม่สามารถสอบถามผู้อ่านได้ว่า ผู้อ่านเข้าใจเนื้อความแห่งธรรมถูกต้องแล้วหรือท่านจึงวางพระไตรปิฎกลง
และพระไตรปิฎกก็ไม่สามารถบอกได้ว่าผู้อ่านเห็นผิดหรือเห็นถูกอย่างไร ผู้อ่านอยากจะสอบถามพระไตรปิฎกเพิ่มเติมก็ไม่ได้ เพราะเป็นสภาวะที่นิ่งอยู่
จากคำที่บอกว่าไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดดำริหรือสังการให้รวบรวมพระธรรมคำสอนเป็นพระบทพยัญชนะนั้น นั่นหมายถึงว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้มีพระไตรปิฎกเกิดขึ้นบนโลก
แล้วพระไตรปิฎกเกิดขึ้นได้ด้วยสาเหตุใด?
จะยกเอาพระสูตรที่ชื่อว่ามหาปรินิพพานสูตรมาแสดงในส่วนการเกิดขึ้นของพระไตรปิฎก จะใช่วิธีอธิบายสรุปเพื่อให้เข้าใจในประเด็นได้ง่าย
สมัยนั้น ท่านพระมหากัสสปพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป เดินทางไกลจากเมืองปาวามาสู่เมืองกุสินารา ลำดับนั้น ท่านพระมหากัสสปแวะออกจากทางแล้วนั่งพักที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง
สมัยนั้นมีอาชีวกคนหนึ่ง เดินถือดอกมณฑารพจากเมืองกุสินารา เดินทางไกล มาสู่เมืองปาวา ท่านพระมหากัสสปได้เห็นอาชีวกนั้นมาแต่ไกล จึงถามอาชีวกนั้นว่าดูกรผู้มีอายุ ท่านยังทราบข่าวพระศาสดาของเราบ้างหรือ อาชีวกตอบว่า อย่างนั้นผู้มีอายุ เราทราบอยู่ พระสมณโคดมปรินิพพานเสียแล้ว ได้ 7 วันเข้าวันนี้ ดอกมณฑารพนี้เราถือมาจากที่นั้น
ภายในหมู่ภิกษุที่ยังเป็นเสขอยู่ ภิกษุเหล่านั้น บางพวกประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่ ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมาดุจมีเท้าอันขาดแล้ว รำพันว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก พระสุคตเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลก อันตรธานเสียเร็วนัก ดังนี้
ส่วนภิกษุที่เป็นพระอเสข ภิกษุเหล่านั้น มีสติสัมปชัญญะ อดกลั้นด้วยธรรมสังเวชว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เพราะฉะนั้นเหล่าสัตว์จะพึงได้ในสังขารนี้แต่ที่ไหน
สมัยนั้นบรรพชิตผู้บวชเมื่อแก่ นามว่าสุภัททะ นั่งอยู่ในบริษัทนั้นด้วย ครั้งนั้น สุภัททวุฒบรรพชิตได้กล่าวกะภิกษุทั้งหลายว่า อย่าเลยอาวุโส พวกท่านอย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไรไปเลย พวกเราพ้นดีแล้ว ด้วยว่าพระมหาสมณะนั้น เบียดเบียนพวกเราอยู่ว่า สิ่งนี้ควรแก่เธอ สิ่งนี้ไม่ควรแก่เธอ ก็บัดนี้ พวกเราปรารถนาสิ่งใด ก็จักกระทำสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใด ก็จักไม่กระทำสิ่งนั้น
คำของพระสุภัททะกล่าวต่อหน้าท่านพระมหากัสปะ ท่านพระมหากัสสปะได้ฟังเองทุกถ่อยกระทงความ ได้เกิดความสลดสังเวชใจว่า ก็ยังมีบุคคลเช่นนี้อยู่ในหมู่สงฆ์ เมื่อเข้ามาถือบวชแล้ว ไม่ได้มีความศรัทธาในพระพุทธเจ้า ไม่ได้ปรารถนาที่จะรู้ในธรรมเพื่อความพ้นทุกข์เลย
ลำดับนั้น ท่านพระมหากัสสปะเกิดความสลดสังเวชใจ นี่เสด็จดับขันธปรินิพพานไปเพียง7วัน เท่านั้นเอง ถ้ามากกว่านี้จะขนาดไหน และไม่แน่ใจว่าจะมีคนเป็นเหมือนเช่นพระสภัททะนี้อีกจำนวนเท่าใด ท่านจึงเจ็บความสังเวชใจนี้เอาไว้
และบอกกับพระภิกษุสงฆ์ที่เดินทางมาให้ได้รับรู้ว่าอย่าเลยอาวุโสพวกท่านอย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไรไปเลย พระผู้มีพระภาคได้ตรัสสอนไว้อย่างนี้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า ความเป็นต่างๆ ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่นจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ต้องมี เพราะฉะนั้น จะพึงได้ในของรักของชอบใจนี้แต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว สิ่งนั้นมีอันทำลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นจงอย่าทำลายไปเลย ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้
เมื่อกล่าวกับบันดาพระภิกษุสงฆ์ที่เป็นสาวกในพระพุทธเจ้า ที่ติดตามทานพระมหากัสสปะมาแล้ว ท่านก็นำหมู่สงฆ์นี่เดินทางกลับไปยังเมืองกุสินารา เพื่อกระทำพิธีพระศพในพระพุทธเจ้าในเป็นที่เรียบร้อย เมื่อจัดการพิธีพระศพในพระพุทธเจ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความสลดสังเวชใจต่อพฤติของพระสุภัททะ ต่อคำกล่าวของพระสุภัททะนั้นยังคงปักใจอยู่ในท่านพระมหากัสสปะ
ดังนั้นท่านจึงได้กระทำการรวบรวม อรหันตสาวกที่เป็นเอตทัคคะต่างๆ
ท่านพระอานนท์เป็นเอตทัคคะในเรื่องของพระสูตร
ท่านพระอุบาลีเป็นเอตทัคคะในเรื่องของพระวินัย
ท่านโสณกุฏิกัณณะมาคอยซักถามสอบถ้วนสอบถาม แล้วก็มีอรหันตสาวกอีกร้อยสองร้อยรูปขึ้นไปมาร่วมกันรับฟัง เพื่อตรวจสอบเพื่อตรวจทาน พระธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าได้ประกาศธรรมเอาไว้จำนวน 45 พรรษา 45 ปี ทั้งหมดทั้งมวลเอามารวบรวมไว้โดยท่านพระมหากัสสปะเป็นประธาน
ดังนั้นพระไตรปิฎกจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุ 3 ประการ คือ
ประการที่1 พระสุภัททะ เป็นคนกล่าวจาบจ้วงต่อพระพุทธเจ้า ต่อพระธรรม ต่อพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธเจ้า
ประการที่2 บุคคลผู้ที่ได้ฟังคำกล่าวของพระสุภัททะนี้ เป็นบุคคลผุ้ที่มีกำลังมาก อย่างเช่นท่านพระมหากัสสปะ ไม่แน่ถ้าคนอื่นได้ฟังพระไตปิฎกอาจจะไม่เกิดขึ้น
และเมื่อเหตุการณ์ที่2 เป็นท่านพระมหากัสสปะนี้แล้ว ก็ยังมีประการณ์ที่3 ที่เป็นองค์ประชุมก็คืออรหันตสาวกที่เป็นเอตทัคคะ เช่นท่านพระอานนท์ ท่านพระอุบาลี เป็นต้น มีความรู้ความสามารถจดจำพระธรรมคำสอน จดจำพระวินัยที่พระพุทธเจ้าที่ประกาศแล้ว จึงกระทำการรวบรวมพระธรรมคำสอน ในพระพุทธเจ้า เป็นบทพยัญชนะ เป็นพระไตรปิฎกขึ้นได้ เป็นครั้งแรกในโลก การเกิดขึ้นของพระไตรปิฎกเกิดขึ้นได้อย่างนี้
เมื่อทราบว่าธรรมขององค์พระสมเด็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า่เป็นอนุสสนีปาฏิหาริย์แล้ว และทราบเหตุเกิดพระไตยปิฎกเป็นดังนี้แล้ว
จะเห็นว่าพระไตรปิฎกถูกรวบรวมโดยอรหันตสาวกในพระพุทธเจ้าทั้งสิ้นไม่มีปุถุชนร่วมแสดงธรรมด้วยแต่ประการใด ดังนั้นพระไตรปิฎกที่ถูกรวบรวมขึ้นโดยอรหันตสาวกอันมีพระมหากัสสปะเป็นประธานนี้จึงมีความครบถ้วนบริบูรณ์ทั้งอรรถและพยัญชนะ
หากแต่ไม่ได้ถูกรวบรวมขึ้นเพื่อเป็นตำราเรียนแต่อย่างใด หากพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมจะเห็นว่าไม่มีการอรรถกถาหรือแปลเนื้อความแห่งธรรมโดยอรหันตสาวกอันมีพระมหากัสสปะเป็นประธานนี่เลย
เนื่องจากเหตุที่เกิดจากสาเหตุหรือเหตุผลที่เกิดพระไตรปิฎกขึ้น คือป้องกันป้องปราม ไม่ให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดกล่าวติพระพุทธ ติพระธรรม ติพระสงฆ์ คือ ถูกกระทำขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานทางธรรม
ดังนั้นบุคคลที่มาอ่านพระไตรปิฎกแล้วเกิดความเป็นมิจฉาทิฏฐิ สาเหตุเกิดจากไม่ทราบว่าพระไตรปิฎกไม่ใช่ตำราเรียน หากแต่เป็นธรรมที่อรหันตสาวกเป็นผู้รวบรวมธรรมที่พระพุทธเจ้าประกาศตลอด 45 พรรษา เป็นธรรมที่อรหันตสาวกแสดงแก่อรหันตสาวก
ผู้ที่สามารถอ่านพระไตรปิฎกแล้วเข้าใจเนื้อความแห่งธรรมในพระไตรปิฎกได้ คือผู้ที่ได้รับอานิสงส์ 4 ประการจากการฟังธรรมในประการที่2 เท่านั้น
บุคคลผู้ได้รับอานิสงส์จาการฟังฐานะที่1 ระลึกธรรมได้เอง เป็นคุณสมบัติของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าในอดีต พระพุทธเจ้าในปัจจุบัน และพระพุทธเจ้าในอนาคต
บุคคลผู้ได้รับอานิสงส์จาการฟังฐานะที่2 เป็นบุคคลผู้ที่สามารถฟังภิกษุผู้มีฤทธิ์ถึงความชำนาญแห่งจิตแสดงธรรมแก่เทพบริษัทอยู่แล้วรู้ตามธรรมได้
คำว่าภิกษุผู้มีฤทธิ์ในที่นี้คือพระอรหันต์ ต่อมาคำว่าแสดงธรรมแก่เทพบริษัทอยู่คือสภาวะที่อรหันตสาวกแสดงธรรมแก่กันและกันอยู่ เป็นสภาวะในพระไตรปิฎก เมื่อผู้ได้รับอานิสงส์จากการฟังประการที่2 ได้มาอ่านพระไตรปิฎกจึงระลึกถึงธรรมที่เคยได้ยินได้ฟังมาได้
ฐานะที่3 ฐานะที่4 เมื่อมาอ่านพระไตรปิฎกจะรู้จริงแทงตลอดตามเนื้อความแห่งธรรมในพระไตยปิฎกนี้ไม่ได้ก่อน
นี่คือคุณสมบัติแห่งธรรมในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ และความเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ของพระธรรมนี้เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ไม่มีพระองค์ใดดำริหรือสังการให้ใครรวบรวมพระธรรมคำสอนของพระองค์ท่าน เป็นบทพยัญชนะเป็นพระไตยปิฎกขึ้น
แต่เมื่อพระไตรปิฎกได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว ทุกคนก็ควรทราบว่า ฐานะใดที่จะอ่านพระไตยปิฎกแล้วไม่ทำให้เกิดความเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพื่อให้ถึงธรรมนั้นตามสมควรไปตามลำดับ
โฆษณา