26 มี.ค. 2023 เวลา 01:15 • หนังสือ

✴️ บทที่ 4️⃣ ศาสตร์สูงสุดแห่งการรู้พระเจ้า ✴️ (ตอนที่ 35)

🍀ยัญ,พิธีบูชาไฟวิญญาณเพื่อเผากรรมให้สิ้น🍀
⚜️ โศลกที่ 2️⃣9️⃣ ⚜️ (ตอนที่ 3) หน้า 539 – 544
◾กริยาโยคะ : การควบคุม กระแสปราณ กับ กระแสอปาน◾
ภควัทคีตากล่าวว่า “โยคีประเสริฐกว่านักบวชผู้ควบคุมกายได้ ประเสริฐกว่าผู้เดินไปบนวิถีแห่งญาณปัญญา หรืออยู่บนวิถีการกระทํา เจ้าจงเป็นโยคีเถิด❗” (บทที่ 6:46)
กริยาโยคะ ปราณายามะที่กำลังพูดถึงอยู่นี้ ไม่แค่ปรากฏอยู่ในบทที่ 4:29 เท่านั้น ยังปรากฏอยู่ในบทที่ 5:27–28 ด้วยว่า “ผู้เชี่ยวชาญในการสมาธิ (มุนี) ที่หลุดพ้นแล้วนิรันดร์ คือผู้แสวงหาเป้าหมายอันเลิศ จะถอนจิตจากปรากฏการณ์ภายนอกได้ ด้วยการเพ่งที่จุดตรงกลางระหว่างคิ้ว หยุดกระแสปราณ และกระแสอปาน (ที่ไหล) อยู่ในรูจมูกและปอด...”★
★แปลสรุปความ อ่านคำแปลตามตัวอักษรในบทที่ 5:27–28
ปตัญชลี ปราชญ์ยุคโบราณ ผู้เป็นเลิศในการถ่ายทอดโยคะศาสตร์ ก็ได้ยกย่องกริยาโยคะ ปราณายามะ ไว้ว่า “การหลุดพ้น อาจเข้าถึงได้ด้วยปราณายามะ ซึ่งจะสำเร็จได้ด้วยการตัดกระแสการไหลเข้าออก” (โยคะสูตร 2:49)
ลมหายใจ ปอด หัวใจ ทํางานช้าลงยามที่เราหลับ แต่มันไม่ได้หยุดทำงานเสียทีเดียว แต่ด้วย กริยาโยคะ ลมหายใจจะค่อยๆสงบ การเคลื่อนไหวในปอดและร่างกายจะค่อยๆนิ่ง เมื่อร่างกายหยุดการเคลื่อนไหว เพราะไม่มีสิ่งใดมากระตุ้น และเพราะกายและจิตนิ่งสนิทดี ก็จะไม่มีการสะสมเลือดที่เสีย โดยปกติแล้วเลือดเสียจะถูกหัวใจสูบฉีดเข้าไปในปอดเพื่อฟอกให้สะอาด เมื่อหัวใจและปอดไม่ต้องทํางานเพื่อการฟอกโลหิตอยู่ตลอดเวลา หัวใจและปอดก็จะสงบ ลมหายใจไม่ไหลเข้าออกในปอด ตามกลไกปกติของกระบังลม
การที่กริยาโยคะ ปราณายามะหยุดการเสื่อมสลายของร่างกายได้นั้น สัมพันธ์กับอปานในลมหายใจออก ด้วยการให้ปราณหรือพลังชีวิตสดใหม่ ที่กลั่นจากลมหายใจเข้า การปฏิบัติเช่นนี้จะทำให้ผู้ภักดีขับมายาเกี่ยวกับการเจริญ การเสื่อมของเลือดเนื้อในกาย และเขาประจักษ์แจ้งว่าทุกสิ่งนั้นล้วนเป็นประจุพลังชีพ
กายของกริยาโยคีที่ได้รับพลังพิเศษใหม่ๆ ที่กลั่นจากลมหายใจ ทั้งยังได้รับการเสริมพลังจากแหล่งกำเนิดพลังอันยิ่งใหญ่ในไขสันหลัง ความเสื่อมของเนื้อเยื่อกายก็จะลดลง หัวใจจึงทำงานน้อยลง เพราะไม่จำเป็นต้องฟอกเลือด เมื่อหัวใจสงบ เพราะไม่ต้องสูบฉีดเลือดเสีย การหายใจเข้าหายใจออกก็ไม่จําเป็นอีกต่อไป พลังชีวิตในเซลล์ ในประสาท ในระบบหายใจ และในการทำงานของหัวใจจึงถูกถอน (จากอวัยวะและผัสสอินทรีย์ภายนอก) ไปรวมกับกระแสในไขสันหลัง
กริยาโยคะ จึงเป็นการฝึกการรวมกระแสชีวิตที่ไหลขึ้น (ปราณ) กับกระแสชีวิตที่ไหลลง (อปาน) และรวมกระแสชีวิตที่ไหลลง (อปาน) เข้ากับกระแสชีวิตที่ไหลขึ้น (ปราณ) บุคคลจึงหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของทั้งสองฝ่ายไว้ได้ แล้วใช้พลังเจตจำนงนำพลังทั้งสองเข้าสู่แสงแห่งวิญญาณที่จุดตรงกลางระหว่างคิ้ว
แสงพลังชีวิตอันบริสุทธิ์ที่โชนฉายจากจักระสมองร่วมไขสันหลัง จะกระจายสู่เซลล์กายทุกเซลล์ เพิ่มสนามแม่เหล็กในเซลล์เหล่านั้น หยุดยั้งความเจริญและความเสื่อม ทำให้เซลล์เหล่านั้นมีชีวิตกระปรี้กระเปร่าด้วยตนเอง ไม่ต้องขึ้นกับลมหายใจหรือแหล่งพลังชีวิตภายนอกใดๆ
ตราบที่แสงนี้ไหลขึ้น–ลง เป็นกระแส ปราณ–อปาน แข่งขันกัน —ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก— การรับรู้จึงต้องขึ้นอยู่กับผัสสอินทรีย์ ขึ้นอยู่กับการเจริญและการเสื่อม แต่เมื่อโยคีสามารถควบคุมกระแสขึ้น–ลงได้ และสามารถถอนพลังชีวิตจากอินทรีย์ประสาททั้งปวง ดำรงพลังชีวิตนั้นนิ่งอยู่ที่จุดระหว่างคิ้ว แสงจากสมองจะทำให้โยคีสามารถควบคุมชีวิต หรือ มีอำนาจเหนือปราณ (กริยาโยคะ ปราณายามะ) พลังชีวิตที่ถอนจากอินทรีย์จะตั้งมั่นเป็นแสงภายในให้บรมวิญญาณและแสงจักรวาลได้เผยตน
.
◾กริยาโยคะไม่ใช่การควบคุมลมหายใจแต่เป็น การควบคุมพลังชีวิต◾
กริยาโยคะ ปราณายามะศาสตร์การควบคุมลมหายใจไม่ใช่การปฏิบัติโง่ๆที่พยายามควบคุมกระแสชีวิตด้วยการพยายามกักลมไว้ในปอดอย่างไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นธรรมชาติและเป็นอันตราย การพยายามกักลมไว้ในปอดแค่ไม่กี่วินาทีจะทำให้อึดอัด เจ็บปวด และหัวใจเกิดอาการเกร็ง สภาพทางกายเช่นนี้เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่า โยคีจะไม่แนะนำวิธีที่ไม่เป็นธรรมชาติเช่นนี้
ครูบางคนอาจแนะนําวิธีที่ขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ดังว่า มิพักต้องพูดถึงการกักลมไว้ในปอดนานๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ — #การปฏิบัติเช่นนี้เป็นสิ่งที่โยคีผู้หยั่งรู้พระเจ้าห้ามกระทำอย่างเด็ดขาด
นักเขียนในโลกตะวันตกหลายคนประณามโยคะศาสตร์อย่างผิดๆ ว่าศาสตร์นี้ไม่เหมาะกับชาวตะวันตก ศาสตร์นั้นไม่มีตะวันออกตะวันตก ในอดีตชาวฮินดูที่เคร่งครัดจำนวนไม่น้อยประณามน้ำที่ฆ่าเชื้อโรคแล้วที่ไหลมาตามท่อ (ที่ชาวอังกฤษนำมาใช้ในอินเดีย) ว่าเป็น “บาป นอกศาสนา” กระแสไฟฟ้าก็ถูกตีตราว่า “เป็นพลังทำลายที่ชั่วร้าย” แต่ตอนนี้ชาวฮินดูทั้งหลายล้วนชอบน้ำ “นอกศาสนา” มากกว่าน้ำสกปรกเต็มไปด้วยเชื้อมาลาเรียที่พวกเขาเคยใช้กัน แล้วก็ชอบกระแสไฟฟ้า “ชั่วร้าย” มากกว่าตะเกียงน้ำมันที่ให้แสงสลัวๆ แค่โดนลมเบาๆเปลวไฟก็ดับ
การที่คนฮินดูปฏิเสธศาสตร์ตะวันตกอย่างไร้เหตุผลนั้นเป็นความโง่เขลาไม่ต่างจากชาวตะวันตกที่ประณามโยคะศาสตร์ซึ่งผู้คนในอดีตกาลอันยาวนานให้การยกย่อง
โยคะ ปัญญาสูงสุดของมนุษย์ไม่ใช่เป็นลัทธิพิธีหรือเป็นความเชื่อที่งมงาย หากแต่เป็นศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งในโลกตะวันออกและตะวันตกยกย่อง
✴️ กุมภะกะ ที่แท้ หรือการกักลมที่ตำราโยคะที่รู้แจ้งพูดถึงนั้นไม่ใช่การฝืนกักลมไว้ในปอด แต่หมายถึงการไม่หายใจตามธรรมชาติ ตามศาสตร์ปราณายามะ ซึ่งไม่จําเป็นต้องหายใจ ✴️
คัมภีร์และตำราโยคะหลายเล่มเอ่ยถึงกริยาโยคะด้วยคำว่า เกวลี ปราณายามะ หรือ เกวลา กุมภะกะ — ปราณายามะที่แท้ หรือการควบคุมชีวิตด้วยการไม่หายใจเข้า (ปูรกะ) และหายใจออก (เรจกะ) ลมหายใจถูกนำไปรวมกับกระแสชีวิตภายใน โดยที่จิตเป็นตัวควบคุมไว้ทั้งหมด★
ในปราณายามะขั้นตอนต่างๆนั้น การไร้ลมหายใจ (กุมภะกะ) เป็นเกวลีที่โยคีผู้เชี่ยวชาญยกย่องไว้สูงสุด แม้โดยหลักการ เกวลี ปราณายามะอาจเทียบเท่ากับกริยาโยคะ แต่ เกวลี ปราณายามะ ก็ไม่แจ่มแจ้งเท่าศาสตร์และเทคนิคแห่งกริยาโยคะที่มหาวตารบาบาจีได้ฟื้นฟูและไขความกระจ่างแก่โลกโดยผ่านท่านลาหิริ มหัสยะ
★“เมื่อลมหายใจหยุดไปเอง โดยไม่หายใจออก (เรจกะ) หรือหายใจเข้า (ปูรกะ) ภาวะนี้เรียกว่า เกวะละ กุมภะกะ” — Hatha-Yoga Pradipika, II:73
“ผู้ภักดีที่ปฏิบัติเกวลี กุมภะกะ คือผู้รู้โยคะที่แท้จริง” — Gheranda Samhita, V:95
“ผู้เชี่ยวชาญ เกวลา กุมภะกะ ไม่หายใจออก ไม่หายใจเข้า ย่อมเข้าถึงทุกสิ่งในสามโลก” — Siva Samhita III:46-47
.
◾กริยาโยคะทำให้จิตเกษมและเป็นอิสระจากกายได้อย่างไร◾
เมื่อปฏิบัติกริยาโยคะ และลมหายใจหายไปจากปอด จิตของโยคีรู้ได้ถึงกระบวนการการตายเมื่อปราณถูกตัดจากอินทรีย์ (กายจิตหายไปพร้อมๆกับที่จิตวิญญาณปรากฏ) โดยที่ท่านไม่ตาย โยคีต่างจากคนทั่วๆไปตรงที่ท่านรู้ว่าชีวิตของท่านไม่ขึ้นอยู่กับการหายใจออก–หายใจเข้า แต่พลังชีวิต ในสมองของท่านจะได้รับการเสริมพลังตลอดเวลาจากกระแสจักรวาลโดยผ่านเข้ามาทางท้ายสมอง
แม้คนทั่วๆไปขณะหลับยามค่ำคืน จิตของเขาพ้นจากสำนึกการหายใจ พลังชีวิตจึงสงบ เขาจึงได้สัมผัสกับวิญญาณ คือความสุขลึกล้ำของการหลับ โยคีที่ไม่หายใจ รู้แจ้งถึงภาวะ “การตาย” อย่างรู้ตัวนี้ว่ามีความลึกซึ้งและให้ความเกษมยิ่งกว่าการหลับอันสุขของอภิจิต เมื่อหยุดหายใจในกริยาโยคะ ท่านจะหลอมรวมกับความเกษมอันไร้สิ่งเปรียบเทียบ ท่านตระหนักในยามนั้นเองว่าพายุลมหายใจของมนุษย์นี้เองที่ทำให้เกิดคลื่นฝัน และผัสสารมณ์นานาในกายมนุษย์ และลมหายใจนี้เองที่เป็นที่เกิดของมนินทรีย์
นักบุญปอลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าตายทุกวัน ข้าพเจ้าขอยืนยันโดยความภูมิใจในพวกท่าน ที่ข้าพเจ้ามีในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”★[โครินธ์ 15:31] (#มีชีวิตอยู่ทุกวันโดยไม่หายใจ) นักบุญปอลควบคุมพลังชีวิตด้วยวิธีกริยาโยคะหรือเทคนิคทํานองเดียวกันนั้น สลายจิตในกายฝันให้กลายเป็นจิตแห่งพระคริสต์ที่ดำรงความเบิกบานนิรันดร์
เมื่อลมหายใจสงบและหัวใจนิ่งดีแล้ว พลังชีวิตจะถูกถอนไปจากอินทรีย์ จิตจะปล่อยวางและกลับสู่ภายใน ได้เห็นโลกทิพย์ภายในและแดนทิพยจิตอันประเสริฐเลิศล้ำ
ในปีติสุขขั้นแรกๆของกริยาโยคะนั้น โยคีจะรับรู้ความเลิศประเสริฐแห่งวิญญาณ และปีติในขั้นสูงขึ้นไปเมื่อสามารถอยู่ในภาวะไร้ลมหายใจได้ อย่างบริบูรณ์ ท่านประจักษ์แจ้งว่ากายหยาบนั้นเป็นเพียงประจุพลังชีพที่อะตอมไฟฟ้าของเซลล์หยาบห่อหุ้มอยู่ โยคีเห็นมายาของกายฝันสลายกลายเป็นความจริงแห่งพระเจ้า เมื่อได้ประสบการณ์จริงว่ากายคือปราณ หรือประจุพลังชีวิตที่ถูกควบคุมโดยพระดำริแห่งพระเจ้า โยคีก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์
ด้วยทิพยจิตนี้ โยคีสามารถสร้าง รักษาไว้ และสลายอะตอมฝันในกายของท่านหรือในสิ่งสร้างทั้งหลาย เมื่อได้อำนาจมาแล้ว โยคีมีทางเลือกที่จะละไปจากกายฝันบนโลกนี้ ค่อยๆสลายกลับสู่อะตอมจักรวาล หรือท่านยังสามารถดำรงกายฝันบนโลกนี้อยู่ได้ตลอดกาล อย่างท่านบาบารี หรือ เอลียาห์ หรือท่านสามารถสลายอะตอมฝันเข้าสู่เพลิงทิพย์ก็ย่อมได้
ท่านเอลีชาได้เป็นพยานเห็นกายของท่านเอลียาห์กลายเป็นกายทิพย์ขึ้นสวรรค์ไปกับอะตอมไฟของรถม้า ประจุพลังชีวิตของท่านรวมเป็นหนึ่งเดียวกับแสงจักรวาลแห่งพระเจ้า กายหยาบอันเรืองรอง กายฝันทิพย์ กายเหตุและวิญญาณของท่านรวมเข้ากับจิตจักรวาล★
★ “เมื่อท่านทั้งสอง (เอลียาห์กับเอลีชา) ยังเดินสนทนากันต่อไป ดูสิ รถรบเพลิงคันหนึ่ง และพวกม้าเพลิงได้แยกเขาทั้งสองออกจากกัน และเอลียาห์ได้ขึ้นสวรรค์ไปโดยพายุ...และท่านก็ไม่ได้เห็นเอลียาห์อีกเลย” (พงศ์กษัตริย์ 2:11.12)
กริยาโยคีควรมีความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเกี่ยวกับหลักโยคะศาสตร์ที่ภควัทคีตาโศลกนี้ได้แนะนำไว้ การขยายความเกี่ยวกับภาวะฝันอาจช่วยได้ บุคคลเห็นตนเองในความฝัน อำนาจจิตของเขาสร้างมนินทรีย์ขึ้นมาจริงๆ ทำนองเดียวกัน พระเจ้าทรงทำพระดำริของพระองค์ให้เป็นรูปธรรมด้วยการสร้างมนุษย์ฝันเดินอยู่ในสิ่งสร้างฝันในกายฝันของเนื้อหนัง กายนั้นไม่ใช่อะไรอื่น หากแต่เป็นรูปธรรมฝันของพระเจ้านั่นเอง
แรกสุดพระเจ้าทำให้วิญญาณมนุษย์ห้อมล้อมอยู่ด้วยกายความคิด จากนั้นพระองค์ทรงให้กายความคิดนี้อยู่ในแสงอันประณีต (กายทิพย์) เครื่องหุ้มชั้นที่สาม ซึ่งเป็นเครื่องหุ้มสุดท้ายคือกายฝันอันล้วนเป็นอะตอมไฟฟ้า แต่มายาทำให้เห็นเป็นเนื้อหนัง★ [ดูหน้า 391] ด้วยเหตุนี้ คีตาจึงแนะนำผู้ภักดีให้ปฏิบัติ ปราณโยคะ เทคนิคการควบคุมชีวิต เพื่อเขาเหล่านั้นจะได้ประจักษ์ว่ากายไม่ได้สร้างจากเนื้อหนัง หากแต่เป็นพลังชีวิตที่กลั่นจากพระดำริแห่งพระเจ้า
เมื่อทําสมาธิภาวนาด้วยเทคนิคปราณโยคะที่ถูกต้อง กริยาโยคีที่สมาธิมั่น จะกลั่นพลังชีวิตจากลมหายใจ ให้พลังแก่ปราณซึ่งมีอยู่แล้วในเซลล์กายและในจักระสมองร่วมไขสันหลัง ฉะนี้แล้วแม้โยคีผู้เริ่มปฏิบัติก็อาจเห็นแสงแห่งวิญญาณจักษุได้เป็นครั้งคราว เมื่อปฏิบัติกริยาโยคะลึกมากขึ้นหรือเมื่อไม่มีการหายใจ ท่านจะเห็นกายทิพย์ของท่านเอง สุดท้ายแล้ว ท่านจะเห็นกายหยาบในลักษณะโครงสร้างของอะตอมไฟฟ้า ซึ่งเป็นกายหยาบ (พลังสั่นสะเทือนหนาแน่น) ที่แผ่จากรังสีประณีตของกายทิพย์
เมื่อก้าวหน้าต่อไป โยคีประจักษ์ว่า กายทิพย์กับแสงนั้นเป็น “ความคิด” หรือรูปธรรมดำริของพระเจ้า สุดท้ายแล้ว เมื่อท่านเข้าใจอย่างเต็มเปี่ยมว่า #กายก็คือความคิด ท่านสามารถที่จะถอนจิตจากคุกกายทั้งสาม น่าวิญญาณของท่านไปรวมกับพรประเสริฐแห่งพระเจ้าอันพ้นแล้วจากความฝัน
นี่คือเหตุผลที่จําเป็นต้องปฏิบัติ กริยาโยคะ ปราณายามะ หรือเทคนิคการควบคุมชีวิต หากมนุษย์ต้องการพ้นจากกายมายาของกองเนื้อหนังและกระดูกที่น่ารำคาญอย่างยิ่ง
(((มีต่อ)))

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา