ตำนานร่มชูชีพ สิ่งประดิษฐ์ที่ได้ความคิดจากชาวสยาม

(ตอนที่ 1)
ถึงแม้ว่าประวัติศาสตร์ดินแดนสยาม จะไม่ค่อยมีผลงานการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ฝากไว้ในโลกมากนัก แต่อย่างน้อยก็มีสิ่งประดิษฐ์ทางการบินในปัจจุบันอย่างหนึ่ง ที่ถือว่ากำเนิดมาจากการใช้ชีวิตตามปกติของชาวสยามสมัยโบราณก็ว่าได้ สิ่งนั้นคือ “ร่มชูชีพ” สมัยใหม่นั่นเอง ที่ช่วยให้คนสามารถลดความเร็วการตกจากที่สูง และลงสู่พื้นได้อย่างปลอดภัย ร่มชูชีพได้เกิดขึ้นพร้อมๆกับบอลลูนในช่วงเวลาของการปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อสองร้อยกว่าปีมาแล้ว โดยนักประดิษฐ์ที่ได้แรงบันดาลใจจากการอ่านเรื่องราวของสยามสมัยอยุธยา
การใช้แรงต้านอากาศเพื่อลดความเร็วการตกจากที่สูง มีปรากฏครั้งแรกใน บันทึกประวัติศาสตร์ของซือหม่าเชียน (司馬遷) สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ตั้งแต่ 90 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งกล่าวถึงจักรพรรดิชุ่นในตำนาน ผู้โดดจากหลังคาสูงที่กำลังไฟไหม้ โดยใช้หมวกและเสื้อผ้าต้านอากาศลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย ในยุค "สามราชาห้าจักรพรรดิ" เมื่อสองพันปีก่อนการบันทึก
1
ซือหม่าเชียน นักประวัติศาสตร์จีนโบราณเขียนถึงอุปกรณ์คล้ายร่มชูชีพเมื่อสี่พันปีก่อน
หลังจากนั้น ก็มีหลักฐานหลายชิ้นในประวัติศาสตร์จีน ระบุถึงการแสดงที่ใช้ร่มโดดจากที่สูงเพื่อความบันเทิงของผู้ปกครอง ตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่น จนถึงราชวงศ์หยวน รวมถึงการใช้งานจริงที่คนโดดจากหอสูงด้วยร่มไม้ไผ่ เพื่อหลบหนีจากการถูกจับกุม
ในโลกตะวันตกนั้น ลีโอนาร์โด ดาวินชี (1452-1519) มักจะถูกกล่าวถึงว่าเป็นคนแรกที่บรรยายร่มชูชีพเอาไว้ ในสมุดบันทึก Codex Atlanticus ของเขา ประมาณปี 1483-1485
ภาพวาดร่มชูชีพในสมุดบันทึกของดาวินชี
ดาวินชีวาดรูปและอธิบายส่วนประกอบ ร่มชูชีพ (ซึ่งยังไม่มีชื่อเรียก) ไว้ว่าเป็นผ้าทรงปิรามิดฐานสี่เหลี่ยมปิดมิดชิดทุกด้าน มีโครงทำด้วยไม้ และกำหนดขนาดไว้ด้วย แสดงให้เห็นว่า ดาวินชีเข้าใจเรื่องความเร็วปลาย (terminal velocity) ของการตกเป็นอย่างดี แต่ก็เหมือนกับสิ่งประดิษฐ์อื่นในบันทึก ที่ไม่ปรากฏว่าได้เคยนำมาสร้างขึ้นจริงในช่วงชีวิตของเขา
เอเดรียน นิโคลัส โดดร่มชูชีพดาวินชี
ในปี 2000 เอเดรียน นิโคลัส นักบอลลูนชาวอังกฤษได้โดดจากบอลลูนที่ความสูง 3 กิโลเมตร ด้วยร่มชูชีพทรงปิรามิด ตามการออกแบบของดาวินชี เพื่อป้องกันมิให้ร่มน้ำหนักกว่า 80 กิโลกรัมล้มทับตัวเอง เขาจึงต้องตัดตัวเองออกเมื่อใกล้จะถึงพื้น และลงได้อย่างปลอดภัยด้วยร่มอีกตัวที่เป็นแบบสมัยใหม่ ต่อมาโอลิเวียร์ เวียตติ-เทปปา ชาวสวิส ก็ทดลองโดดจากเฮลิคอปเตอร์ในปี 2008 ด้วยร่มแบบดาวินชีเช่นกัน
ไม่นานมานี้ นักประวัติศาสตร์ได้ค้นพบว่า ยังมีนักประดิษฐ์ผู้อื่นที่ได้บรรยายถึง “ร่มชูชีพ” แบบคล้ายกัน ในเวลาใกล้เคียงกับดาวินชี อีกด้วย ขอยกตัวอย่างสองราย
คนแรกคือ ฟรานเชสโก ดิ จอร์โจ มาร์ตินี (1439–1501) ผู้เป็นทั้งวิศวกรทางทหาร, นักประดิษฐ์, สถาปนิก และจิตรกร ในยุคเรอเนสซองซ์ เหมือนดาวินชี แต่อายุมากกว่า 12 ปี ในราวปี 1470 มาร์ตินีได้เคยวาดภาพอุปกรณ์คล้ายกับคนกำลังโดดร่ม เพียงแต่เป็นร่มรูปทรงกรวยกลม ผูกสายโยงกับเอว แทนที่จะเป็นแบบปิรามิดฐานสี่เหลี่ยมเหมือนของดาวินชี โดยไม่มีคำอธิบายประกอบเอาไว้
ภาพจากสมุดบันทึกของฟรานเชสโก ดิ จอร์โจ มาร์ตินี (https://www.britishmuseum.org/)
บันทึกของมาร์ตินียังมีภาพสิ่งประดิษฐ์อื่นหลายอย่าง รวมทั้ง “Vitruvian Man” ที่คล้ายกับในสมุดบันทึกของดาวินชี ที่เขียนขึ้นภายหลังอีกด้วย
สมุดบันทึกของ ดิ จอร์โจ มาร์ตินี “แรงบันดาลใจ” ของดา วินชี:
จึงมีข้อสงสัยว่า ดา วินชี อาจจะนำแบบอย่างร่มชูชีพ รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์อื่นๆ ของมาร์ตินี มาวาดใหม่เป็นภาพสามมิติให้สวยงาม แม้แต่ภาพ “เฮลิคอปเตอร์” (aerial screw) อันโด่งดังของเขาก็อาจนำมาจากของเล่นเด็ก “แมลงปอไม้ไผ่” จากจีนซึ่งมาร์โคโปโลนำมาเผยแพร่ในอิตาลีขณะนั้นอยู่แล้วก็เป็นได้
นักประดิษฐ์อีกรายคือ เฟาสโต เวรันซิโอ (1551 – 1617) ยุคหลังดาวินชีราวหนึ่งศตวรรษ ก็มีผลงานประดิษฐ์ร่มชูชีพเหมือนกัน เวรันซิโอมาจากครอบครัวคหบดีในโครเอเชีย แม้ว่าจะเป็นนักประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงและศึกษาดาราศาสตร์ร่วมยุคกับกาลิเลโอ แต่นอกจากจะไม่ขัดแย้งกับวาติกันแล้วยังเป็นบาทหลวงเองอีกด้วย จนได้เป็นบิชอปอยู่ในฮังการี ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของเวนิสในขณะนั้น
ภาพ Homo Volans จาก Machinae Novae (1595) ของเฟาสโต เวรันซิโอ
เวรันซิโอได้ศึกษาสมุดบันทึกของดาวินชี และนำมาออกแบบร่มชูชีพสี่เหลี่ยมโครงไม้ ให้ชื่อว่า “มนุษย์บิน” (Homo Volans) เขียนไว้ในหนังสือ “นวัตกรรมจักรกล” (Machinae Novae) ของเขาพิมพ์ขึ้นประมาณปี 1595
มีหลักฐานบันทึกว่า ร่มของเวรันซิโอได้ถูกสร้างขึ้นและมีผู้ทดลองใช้โดดจริง เมื่อปี 1617 จากหอระฆังของมหาวิหารซานมาร์โค ในเวนิส ความสูงประมาณ 50 เมตรในสมัยนั้น (หอปัจจุบันสูงราว 100 เมตร) ผลลัพธ์เป็นอย่างไรยังไม่เคยได้รับรายงาน
หลังจากนั้นแม้ว่าจะเข้าสู่ยุคแห่งแสงสว่าง (Age of Enlightenment) ยุโรปก็ยังไม่มีพัฒนาการทางการบินมากนัก ระหว่างนั้นมีเหตุการณ์หนึ่งที่ชาวไทยรู้จักดี คือ ซิมง เดอลา ลูแบร์ (1642 – 1729) ทูตของลุยส์ที่ 14 กษัตริย์ฝรั่งเศส มาเยือนสยาม ในปี 1687-1688 สมัยรัชกาลพระนารายณ์แห่งอยุธยา และได้ตีพิมพ์บันทึกการเดินทางเป็นภาษาฝรั่งเศสปี 1691 ซึ่งต่อมาจะมีส่วนอย่างคาดไม่ถึงต่อวิทยาการในโลกตะวันตก
จดหมายเหตุ ลาลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม ฉบับภาษาฝรั่งเศส
ศตวรรษที่ 18 เป็นยุคเริ่มต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรม เครื่องจักรไอน้ำ และจักรกลต่างๆ ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นทั่วยุโรป รวมทั้งในฝรั่งเศส เป็นที่ทราบทั่วไปว่า กษัตริย์ลุยส์ที่ 16 ชื่นชอบในสิ่งประดิษฐ์และกลไกต่างๆ
เจ้าของโรงงานกระดาษผู้ร่ำรวยเช่นพี่น้อง โจเซฟ-มิเชล มงต์โกลฟิเอ (1740-1810) และ ชาคส์-เอเตียน มงต์โกลฟิเอ (1745-1799) ก็มีงานอดิเรกในการสร้างสิ่งประดิษฐ์เช่นกัน
การประดิษฐ์บอลลูนอากาศร้อนของพี่น้องมงต์โกลฟิเอ เกิดจากการสังเกตเห็นกระดาษที่ตากไว้ในโรงงานลอยตัวใกล้กับเตาเผา และสามารถสร้างบอลลูนขนาดใหญ่สูง 23 เมตร นำคนขึ้นสู่ท้องฟ้าที่ความสูงเกือบ 1 กิโลเมตร ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ในเดือนพฤศจิกายนปี 1783 โดยมีลุยส์ที่ 16 และเบนจามิน แฟรงคลิน ทูตอเมริกามาชมด้วย แม้ว่าชาวจีนจะใช้หลักการเดียวกันในการทำโคมลอยมาก่อนนับพันปีแล้ว แต่ไม่เคยสร้างบอลลูนขนาดใหญ่ที่คนขึ้นไปได้
บอลลูนอากาศร้อนของมงต์โกลฟิเอ ผลงานของ อันโตนิโอ คาร์นิเซโร ปี 1784
เพียงสิบวัน หลังจากบอลลูนมงต์โกลฟิเอส่งคนขึ้นไปได้ ชาคส์ ชาลส์ ผู้ค้นพบ “กฎของชาลส์” ที่กล่าวว่าปริมาตรของแกสแปรผันตามอุณหภูมิ ได้ส่งบอลลูนอัดแกสไฮโดรเจนขนาด 5 เมตรที่เขาประดิษฐ์จากผ้าไหมเคลือบยางขึ้นสู่อากาศ โดยตัวเขาเองเป็นนักบิน บอลลูนขึ้นไปได้ถึงเกือบ 3 กิโลเมตร จนทำให้ชาลส์บาดเจ็บจากการปวดหู
บอลลูนไฮโดรเจนมาทีหลัง แต่ลอยได้สูงกว่าและนานกว่าบอลลูนอากาศร้อนอย่างชัดเจน (ประมาณ 9-48 ชั่วโมง) ปัญหาคือไฮโดรเจนติดไฟง่าย ระเบิดได้และยังรั่วผ่านผ้าไหม โดยเฉพาะถ้าลอยขึ้นไปสูงมาก ความดันอากาศภายนอกลดต่ำลงจนเนื้อผ้าทนรับผลต่างความดันไม่ไหว จึงต้องมีอุปกรณ์รับเหตุฉุกเฉิน ได้แก่ร่มชูชีพติดบอลลูนไว้ด้วย
การอัดแกสเข้าบอลลูนไฮโดรเจน ในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส
ลุยส์-เซบาสเตียน เลอนอร์มองด์ (1757-1837) คือคนแรกที่ออกแบบร่มชูชีพและทดสอบการโดดร่มด้วยตัวเอง เลอนอร์มองด์มาจากมงต์เปอลิเอ ทางใต้ของฝรั่งเศส เป็นบุตรของช่างทำนาฬิกา เขาได้ศึกษาที่ปารีส กับปรมาจารย์ทางเคมีถึงสองคนคือ อังตวน-โลฮองต์ เดอ ลาวัวซิเอ และโคลด-ลุยส์ แบร์โทเลต์
เมื่อเรียนจบได้ทำงานในโรงงานสารเคมีอยู่ระยะหนึ่ง แล้วกลับมาดูแลร้านทำนาฬิกาที่บ้านเกิด ระหว่างนี้เองเขาได้อ่านบันทึกการเดินทางไปสยามของลาลูแบร์ ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อเกือบร้อยปีก่อนหน้านั้น ตอนที่เลอนอร์มองด์ประทับใจเป็นพิเศษคือตอนที่ลาลูแบร์เล่าถึงการแสดงที่วังลพบุรีของนักกายกรรม “โจนร่ม”
อยุธยาในมุมมองของศิลปินตะวันตกยุคลาลูแบร์
จากหนังสือของลาลูแบร์ ฉบับแปลภาษาอังกฤษ A new historical relation of the kingdom of Siam, Simon de La Loubère (1642-1729) พิมพ์ปี 1693 หน้า 47 เขียนว่า
ลาลูแบร์บรรยายการแสดง "โจนร่ม"
“A Tumbler exceedingly honoured by the King of Siam,
There dyed one, some Years since, who leap'd from the Hoop,supporting himself only by two Ʋmbrella's, the hands of which were firmly fix'd to his Girdle: the Wind carry'd him accidentally sometimes to the Ground, sometimes on Trees or Houses, and sometimes into the River.”
ในฉบับภาษาไทย (สำนวนแปลของ สันต์ ท. โกมลบุตร)
นักแสดงไม้สูงคนโปรดของพระเจ้ากรุงสยาม,
เคยมีการถึงตายกันขึ้นมาคนหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว โดยโจนจากบ่วงลงมาสู่เบื้องล่าง มีร่มสองคันเท่านั้นทานตัว ส่วนคันร่มนั้นผูกไว้แน่นกับบั้นเอว ลมก็พาคนโจนร่มล่องลอยไปตามบุญตามกรรม ลางทีก็ลงมายังพื้นดิน ลางทีก็ไปตกลงบนต้นไม้หรือหลังคาเรือน และลางทีก็ไปตกในแม่น้ำ
จดหมายเหตุ ลาลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม
“พระเจ้ากรุงสยามโปรดคนโจนร่มนั้นมาก ถึงขนาดทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ชุบเลี้ยงแต่งตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ให้อยู่ประจำในพระราชวัง และพระราชทานยศศักดิ์อย่างสูง”
จิตรกรรมฝาผนังวัดประดู่ทรงธรรม อยุธยา
ในปัจจุบันการแสดงโดดจากที่สูงโดยใช้ร่มชลอความเร็ว หรือ “โจนร่ม” สมัยอยุธยา หาดูไม่ได้แล้ว แม้แต่ตามจิตรกรรมฝาผนังก็ไม่มีเขียนไว้ มีแต่การไต่ลวดรำแพน และกายกรรมบนเสาสูงอื่นๆ แต่ก็มีหลักฐานของไทยบันทึกไว้หลายแห่งตรงกับบันทึกของลาลูแบร์
เช่น พงศาวดารในรัชกาลพระเจ้าบรมโกศ ปลายสมัยอยุธยา กล่าวถึงงานสมโภชวัดนางคำ ที่มีโจนร่ม สมัยธนบุรี เมื่อมีงานสมโภชพระแก้วมรกต ที่นำมาจากลาว ก็มีการแสดงแทบทุกชนิด รวมทั้งโจนร่ม
หรือในวรรณคดีพระอภัยมณี ตอนอภิเษกสินสมุทร ราวสมัยรัชกาลที่ 2 สุนทรภู่ก็เขียนไว้ว่า
“บ้างขึ้นไต่ไม้สูงสามต่อตั้ง รำแพนทั้งโจนร่มตามลมเหลิง
บ้างสรวลเสเฮฮาเสียงร่าเริง ทำชั้นเชิงรำเต้นเล่นประชัน”
พระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน สมัยพระบรมไตรโลกนาถ พ.ศ. 1998 (ค.ศ. 1455) ก่อนสมัยพระนารายณ์ถึงสองร้อยปี ก็มีตำแหน่งยศ ให้กับนักกายกรรมด้วยคือ “ไม้ต่ำสูง ขุนทหารวิเศศเหิน หมื่นเหินเวหาเหาะ นาดล ศักดินา ๒๐๐” สอดคล้องตามที่ลาลูแบร์บรรยายไว้
เมื่อมาถึงยุคกรุงเทพราชธานี การโจนร่มก็หายไปจากความนิยม แต่ยังมีตำแหน่งนักกายกรรมอยู่ สมัยรัชกาลที่ 1 เรียกว่า กรมญวนหก เหลือเพียงการหกคะเมนบนเสาสูง
การแสดงโจนร่ม ตามที่ลาลูแบร์ บันทึกไว้ จึงน่าจะมีจริง ในสมัยต้นอยุธยาจนถึงธนบุรี อาจจะนำมาจากจีนอีกต่อหนึ่ง สันนิษฐานจากชื่อว่า นักแสดงโจนร่มน่าจะเป็น “ขุนทหารวิเศศเหิน” หรือ “หมื่นเหินเวหาเหาะ” ผู้ใดผู้หนึ่งนั่นเอง สาเหตุที่โจนร่มสาบสูญไปนั้นไม่ทราบชัด จากจดหมายเหตุของลาลูแบร์ทำให้เห็นว่าการแสดงนี้น่าจะเสี่ยงอันตรายมากอยู่
จุลจิตรกรรม (portrait miniature) ที่ระลึกร่มชูชีพของเลอนอร์มองด์ 1783
เซบาสเตียน เลอนอร์มองด์ ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องราวของนักกายกรรม “โจนร่ม” อันแปลกประหลาดชาวสยามนี้เอง จึงนำมาออกแบบร่มชูชีพ จุุดประสงค์คือเพื่อใช้ในการโดดหนีจากตึกสูงที่เกิดอัคคีภัย
จากบันทึกของเขาเอง เลอนอร์มองด์ได้ทดสอบโดดจากชั้นบนของบ้าน โดยมือแต่ละข้างจับร่มกันแดด (parasol) ข้างละคัน ขนาด 30 นิ้ว (77 ซม.) ที่ผูกปลายเข้ากับด้ามไว้กันลมตีกลับ เมื่อ 26 พฤศจิกายน 1783 เพื่อจำลองการแสดงของชาวสยาม และลงสู่พื้นได้อย่างนิ่มนวล
หลังจากนั้นเขาจึงได้ทำร่มขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 14 ฟุต (4.3 เมตร) ไปทดสอบบนหอสังเกตการณ์ Torre de la Babote สูง 26 เมตร ในมงต์เปอลิเอ แต่ใช้แมวโดดลงมาแทน ไม่ได้โดดเองเหมือนอย่างในรูป ซึ่งศิลปินวาดขึ้นจากคำบอกเล่า และไม่ปรากฏหลักฐานว่าเลอนอร์มองด์เคยโดดจากที่สูงมากๆ เช่นบอลลูน เหมือนนักประดิษฐ์ผู้อื่นหลังจากเขา
สมัยหนึ่ง รัฐบาลฝรั่งเศสซึ่งเข้าใจผิดจากตำนานร่ำลือ ยังเคยติดแผ่นป้ายไว้ที่หอสังเกตการณ์ในปี 1945 ว่า เป็นที่ซึ่งเลอนอร์มองด์ได้โดดร่มลงมาเป็นครั้งแรกของโลก ต่อมาได้นำป้ายออกไปแล้ว
การโดดร่มจากหอสูงในมงต์เปอลิเอ ของเลอนอร์มองด์ 1783
(อ้างจากบทความของ โอลิวิเอ เดอ แบร์นอง ระบุว่าภาพนี้ไม่เคยเกิดขึ้นจริง และขนาดร่มก็ไม่ตรงกับหลักฐานตามบันทึก)
อย่างไรก็ตาม การทดสอบร่มของเลอนอร์มองด์ในปี 1783 ถือว่าเป็นครั้งแรกของโลกที่มีประจักษ์พยานยืนยันได้ว่ามีการทดสอบและใช้งานได้จริง แม้จะไม่ตรงปก และทำให้ผู้อื่น เช่น มงต์โกลฟิเอ นำร่มชูชีพไปปรับปรุง ปี 1783 นั้นนับได้ว่าเป็นปีมหัศจรรย์ทางการบินของฝรั่งเศส ที่มีสิ่งประดิษฐ์ใหม่เกิดขึ้นหลายอย่าง ตั้งแต่บอลลูนอากาศร้อน บอลลูนไฮโดรเจน และร่มชูชีพ
อีกอย่างที่เป็นผลงานชัดเจนของเลอนอร์มองด์ คือเขาเป็นผู้ที่คิดคำว่าร่มชูชีพ หรือ parachute จากภาษาลาตินผสมฝรั่งเศส ที่แปลว่า “ต่อต้าน+การตก” จากข้อเขียนในปี 1785
ภาพร่มชูชีพของเลอนอร์มองด์ ที่ศิลปิน Moissy วาดขึ้นภายหลัง
หลังการทดสอบโดดร่มในปี 1783 เลอนอร์มองด์ได้ไปเป็นบาทหลวงในคณะคาร์ทูเซียน แต่เหตุการณ์สำคัญกว่ามหัศจรรย์ทางการบินก็เกิดขึ้นในฝรั่งเศส นั่นคือการปฏิวัติปี 1789 บาทหลวงไม่ได้รับความปลอดภัยอีกต่อไป เขาจึงได้ไปเป็นครู ทำงานในรัฐบาล เป็นศาสตราจารย์ด้านเทคโนโลจีแห่งสถาบันอาชีวะ “Conservatoire des arts et métiers” และพิมพ์หนังสือคู่มือต่างๆขาย
แม้เขาจะไม่ปรากฏผลงานด้านร่มชูชีพอะไรอีก (หันไปสนใจประดิษฐ์เรือแทน) เลอนอร์มองด์ก็ได้จุดประกายความสนใจในการสร้างร่มชูชีพให้ใช้งานได้จริงขึ้นแล้ว โดยได้ความคิดจากการอ่านเรื่องราวของนัก "โจนร่ม" ชาวสยาม ที่ไม่รู้ว่าเป็นใครนั่นเอง
การประยุกต์ใช้งานหลักของร่มชูชีพในเวลานั้น มิใช่เพื่อโดดหนีไฟจากที่สูง ตามความมุ่งหมายเดิมของเลอนอร์มองด์ แต่กลับเป็น “อุปกรณ์ลงจอดฉุกเฉิน” สำหรับนักบินบอลลูน ซึ่งได้กลายเป็นส่วนสำคัญของกองกำลังสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่เพิ่งกำเนิดขึ้น
หอคอย la Babote มงต์เปอลิเอ สมัยปัจจุบัน
แหล่งอ้างอิง
Olivier de Bernon, “The Parachute, a French Invention of Distant Siamese Origin”, Journal of the Siam Society, Vol. 109, Pt. 2, 2021
(มีต่อตอนที่ 2)
โฆษณา