3 พ.ค. 2023 เวลา 05:11 • หนังสือ

#21 HWG. — บทที่ 1️⃣3️⃣ (ส่วนที่ 1)

“การสังเกตเชิงวัตถุวิสัยนั้นเป็นไปไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดที่ถูกสังเกตจะไม่ได้รับผลกระทบจากผู้สังเกต”
▪️ผู้แปล : แอดมิน
🔸นี่เป็นงานแปลชิ้นที่ 2 ที่ผมตั้งใจแปลมากๆ หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
𝗦𝗘𝗩𝗘𝗡𝗧𝗛 & 𝗘𝗜𝗚𝗛𝗧𝗛 𝗥𝗘𝗠𝗘𝗠𝗕𝗥𝗔𝗡𝗖𝗘𝗦
ความทรงจำที่ 7️⃣ และ 8️⃣
𝗢𝗯𝗷𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗼𝗯𝘀𝗲𝗿𝘃𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗶𝘀 𝗶𝗺𝗽𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗹𝗲. 𝗡𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝗶𝘀 𝗢𝗯𝘀𝗲𝗿𝘃𝗲𝗱 𝗶𝘀 𝘂𝗻𝗮𝗳𝗳𝗲𝗰𝘁𝗲𝗱 𝗯𝘆 𝘁𝗵𝗲 𝗼𝗯𝘀𝗲𝗿𝘃𝗲𝗿.
“การสังเกตเชิงวัตถุวิสัยนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีสิ่งใดเลยที่ถูกสังเกตแล้วจะไม่ได้รับผลกระทบจากผู้สังเกต”
🔅หมายเหตุ🔅
▪️วัตถุวิสัย (Objective) : คือการยึดตามข้อเท็จจริงเป็นหลัก ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง เป็นรูปธรรม ไม่ลำเอียง ไม่อคติ สามารถนับ/ชั่ง/ตวง/วัดได้ มีจำนวน/ปริมาณแน่นอน
เมื่อให้คนใดคนหนึ่งหรือทุกๆคนให้ความคิดเห็นก็จะไม่แตกต่างกัน เช่น หินก้อนหนึ่ง ถามใครว่ามันคืออะไร? ทุกคนก็ตอบได้คำตอบเดียวกันว่าหิน
▪️อัตวิสัย (Subjective) : คือขึ้นอยู่กับความคิด ความชอบ อารมณ์ส่วนตัว เป็นนามธรรม มีจำนวนไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงไปตามความคิด/ประสบการณ์/อารมณ์/ความชอบ-ไม่ชอบ ไม่สามารถนับ/ชั่ง/ตวง/วัดได้
เมื่อให้หลายๆคนให้ความคิดเห็นก็จะแตกต่างกันไป แม้แต่คนเดียวกันเมื่อสถานการณ์/สภาพแวดล้อม/เวลา ผ่านไป ความคิดเห็นเดิมนั้นก็เปลี่ยนแปลงไปได้ เช่นการกระทำที่ถือว่าเป็นความดี เมื่อถามหลาย ๆคนคำตอบอาจแตกต่างกันหรือเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะประเมินว่าการกระทำนั้น ๆเป็นความดีหรือไม่? และยังประเมินค่าความดีในระดับที่แตกต่างกันไปอีกด้วย บางคนบอกดีมาก ดี พอใช้ ปกติ ไม่ดี เลว เลวมาก เมื่อสถานการณ์/สภาพแวดล้อม/กาลเวลาผ่านไป เรื่องเดิมประเมินด้วยคนเดิมค่าที่ได้ก็อาจเปลี่ยนแปลงไป
ที่มา :
𝗖𝗵𝗮𝗽𝘁𝗲𝗿 𝟭𝟯
บทที่ 1️⃣3️⃣
𝗚𝗼𝗱 : "𝗜 𝘀𝗲𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗱𝗲𝗲𝗽𝗹𝘆 𝗶𝗻𝘁𝗲𝗿𝗻𝗮𝗹𝗶𝘇𝗲𝗱 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗿𝗲𝗺𝗲𝗺𝗯𝗲𝗿𝗲𝗱.
G : จากการตอบจดหมายของเธอทำให้ฉันเห็นว่าเธอเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งแล้วในสิ่งที่เธอจำได้
"𝗬𝗼𝘂 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱 𝗰𝗹𝗲𝗮𝗿𝗹𝘆 𝗻𝗼𝘄."
เธอเข้าใจมันได้อย่างชัดเจนแล้ว
𝗡𝗲𝗮𝗹𝗲 : 𝗧𝗵𝗮𝗻𝗸𝘀 𝘁𝗼 𝘆𝗼𝘂. 𝗜 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸 𝗜 𝗱𝗼. 𝗜 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸 𝗜'𝘃𝗲 𝗳𝗶𝗻𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗴𝗿𝗮𝘀𝗽𝗲𝗱 𝗮𝗻𝗱 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗹𝘆 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗼𝗼𝗱, 𝘁𝗵𝗲 𝘁𝗿𝘂𝘁𝗵.
N : ก็ต้องขอบคุณพระองค์นั่นแหละครับที่ทำให้ผมเข้าใจ ผมคิดว่าผมสามารถจับใจความสำคัญและเข้าใจถึงความจริง (the truth) นั้นได้แล้วจริงๆ
𝗚 : "𝗕𝗲 𝗰𝗮𝗿𝗲𝗳𝘂𝗹. 𝗬𝗼𝘂 𝗺𝗲𝗮𝗻 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝘁𝗿𝘂𝘁𝗵, 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁? 𝗧𝗛𝗘 𝘁𝗿𝘂𝘁𝗵 𝗱𝗼𝗲𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗲𝘅𝗶𝘀𝘁 𝗮𝘀 𝗮𝗻 𝗼𝗯𝗷𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆.
G : ใจเย็นก่อน เธอกำลังหมายถึงความจริงที่เป็นของเธอเองใช่ไหมที่เธอบอกว่าเธอเข้าใจ❓ เพราะ “สัจจะธรรม (THE truth-ความจริงสากล)” ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในฐานะความจริงเชิงวัตถุวิสัย★
★หมายความว่า ความจริงทางโลกนั้นไม่มีอยู่จริง ครับ ไม่มีอยู่จริงในที่นี้หมายถึง มันมีอยู่เพราะตัวเรา ที่ได้รับประสบการณ์มาแบบนั้น ถ้าไม่มีเราที่ได้รับประสบการณ์มาแบบนั้น ความจริงนั้นก็ไม่มี ซึ่งไม่เกี่ยวใดๆกับความจริงสากล หรือ ปรมัตถ์สัจ –ผู้แปล–
"𝗣𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲𝘀 𝗽𝗲𝗿𝗰𝗲𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝗮𝗻𝗱 𝗽𝗲𝗿𝗰𝗲𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲𝘀 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲. 𝗧𝗵𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗽𝗲𝗿𝗰𝗲𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲𝘀 𝗳𝗼𝗿 𝘆𝗼𝘂 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗹𝗹 '𝘁𝗿𝘂𝘁𝗵.'
มุมมองเป็นตัวสร้างการรับรู้ และการรับรู้เป็นตัวสร้างประสบการณ์ ประสบการณ์ที่การรับรู้สร้างขึ้นสำหรับเธอก็คือสิ่งที่เธอเรียกว่า “ความจริง” (ของเธอ)
"𝗬𝗼𝘂𝗿 𝘁𝗿𝘂𝘁𝗵 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗰𝘁𝘂𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲. 𝗘𝘃𝗲𝗿𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗲𝗹𝘀𝗲 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘀𝗼𝗺𝗲𝗼𝗻𝗲 𝗲𝗹𝘀𝗲 𝗵𝗮𝘀 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲𝗱—𝗮𝗻𝗱 𝗵𝗮𝘀 𝘁𝗼𝗹𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁.
ความจริงของเธอก็คือสิ่งที่เธอได้ประสบกับมันจริงๆ แต่สิ่งอื่นที่นอกเหนือไปจากนั้นทั้งหมดคือประสบการณ์ของคนอื่น —ที่เธอถูกบอก
"𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗵𝗮𝘀 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗱𝗼 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘆𝗼𝘂."
ซึ่งความจริงของคนอื่นเหล่านั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเธอเลย
𝗡 : 𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼 𝘀𝘂𝗰𝗵 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗮𝘀 𝗼𝗯𝗷𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆?
N : ไม่มีสิ่งที่เป็นความจริงเชิงวัตถุวิสัย (ความจริงทางโลก) อยู่จริงเลยเหรอครับ❓
𝗚 : "𝗡𝗼. '𝗢𝗯𝗷𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆' 𝗶𝘀 𝗮𝗻 𝗼𝘅𝘆𝗺𝗼𝗿𝗼𝗻."
G : ไม่มี เพราะ “ความจริงเชิงวัตถุวิสัย” นั้นเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยสิ่งอื่นมาเปรียบเทียบ ตัวมันถึงมีอยู่ได้★
★oxymoron – คำนี้แปลแบบตรงตัวก็คือ : คำพูดหรือวลีที่มาจากการนำคำความหมายตรงกันข้ามมาเปรียบเทียบกัน แต่ถ้าแปลแบบศัพท์พุทธที่พวกเราคุ้นเคยก็คือ : การอิงอาศัยซึ่งกันและกัน หมายความว่า ถ้าไม่มีสิ่งอื่นมาให้เปรียบเทียบ ตัวมันก็ไม่อาจมีอยู่ได้ หรือ ไม่อาจให้ความหมายได้ เช่น ร้อน จะมีอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีร้อนน้อยกว่า (เย็นกว่า) มาให้เปรียบเทียบ สูง-ต่ำ, ซ้าย-ขวา, บน-ล่าง, ไม่มี-มี, รู้-ไม่รู้ ฯลฯ เป็นต้นครับ หรือจะเรียกสิ่งนี้ว่า ความเป็นคู่ หรือ ทวิภาวะ ก็ได้ครับ –ผู้แปล–
𝗡 : 𝗔𝗿𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗮𝘆𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘀 𝗮𝘀 𝗶𝘁 𝗮𝗽𝗽𝗲𝗮𝗿𝘀?
N : พระองค์กำลังบอกว่า ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่ปรากฏเลยงั้นหรือครับ❓
𝗚 : "𝗜 𝗮𝗺 𝘀𝗮𝘆𝗶𝗻𝗴 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗼𝗽𝗽𝗼𝘀𝗶𝘁𝗲. 𝗘𝘃𝗲𝗿𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘀 𝗮𝘀 𝗶𝘁 𝗮𝗽𝗽𝗲𝗮𝗿𝘀.
𝗔𝗻𝗱 𝗮𝗽𝗽𝗲𝗮𝗿𝗮𝗻𝗰𝗲𝘀 𝗮𝗿𝗲 𝗯𝗮𝘀𝗲𝗱 𝗼𝗻 𝗽𝗲𝗿𝗰𝗲𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀. 𝗔𝗻𝗱 𝗽𝗲𝗿𝗰𝗲𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀 𝗮𝗿𝗲 𝗯𝗮𝘀𝗲𝗱 𝗼𝗻 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲𝘀, 𝗮𝗻𝗱 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲𝘀 𝗮𝗿𝗲 𝗻𝗼𝘁 𝗼𝗯𝗷𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲𝘀. 𝗧𝗵𝗲𝘆 𝗮𝗿𝗲 𝘀𝘂𝗯𝗷𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲. 𝗧𝗵𝗲𝘆 𝗮𝗿𝗲 𝗻𝗼𝘁 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲, 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗮𝗿𝗲 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲."
G : ตรงกันข้ามเลยต่างหาก ฉันกำลังบอกกับเธอว่า ทุกสิ่งนั้นเป็นไปตามที่ปรากฏ และสิ่งที่ปรากฏก็ขึ้นอยู่กับการรับรู้ และการรับรู้ก็ขึ้นอยู่กับมุมมอง และมุมมองก็ไม่ใช่ 'วัตถุวิสัย หรือ สิ่งที่เป็นรูปธรรม' มุมมองคือ 'อัตวิสัย หรือ สิ่งที่เป็นนามธรรม' มุมมองจึงเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจสัมผัสถึงมันได้ แต่มันคือบางสิ่งที่เธอเลือกได้
𝗡 : 𝗬𝗼𝘂 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗮 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗮𝗴𝗼. 𝗜𝘁 𝘄𝗮𝘀 𝗵𝗮𝗿𝗱 𝗳𝗼𝗿 𝗺𝗲 𝘁𝗵𝗲𝗻, 𝗮𝗻𝗱 𝗶𝘁'𝘀 𝗵𝗮𝗿𝗱 𝗳𝗼𝗿 𝗺𝗲 𝗻𝗼𝘄. 𝗜 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝘁𝗼 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗵𝗮𝘃𝗲?
N : พระองค์เพิ่งจะพูดถึงมันเมื่อไม่นานมานี้เอง และมันก็ยากสำหรับผมที่จะเข้าใจตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงตอนนี้ มุมมองที่ผมมี (ต่อทุกสิ่ง) อยู่ในตอนนี้ ผมเป็นคนเลือกด้วยตัวเองทั้งหมดเลยงั้นหรือครับ❓
𝗚 : "𝗬𝗼𝘂 𝗱𝗼, 𝗶𝗻𝗱𝗲𝗲𝗱.
G : เธอทำอย่างนั้น ใช่แล้ว
"𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗿𝗼𝗰𝗲𝘀𝘀 𝗯𝘆 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲."
นั่นคือกระบวนการที่เธอใช้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ
𝗡 : 𝗧𝗵𝗮𝘁'𝘀 𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗶𝗰𝘂𝗹𝘁 𝗳𝗼𝗿 𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗲.
N : ผมทำใจให้เชื่อเรื่องนี้ได้ยากจริงๆครับ
𝗚 : "𝗧𝗵𝗲𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗻𝗼𝘁 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗲 𝗶𝘁."
G : แล้วเธอก็จะ 'ไม่เชื่อ'
𝗡 : 𝗪𝗶𝘁𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗿𝗲𝘀𝘂𝗹𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁—
N : ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ—
𝗚 : "—𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗻𝗼𝘁 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗶𝘁."
G : “—เธอก็จะไม่มีประสบการณ์ถึงมัน”
𝗡 : 𝗦𝗼 𝗶𝗳 𝗜 𝗱𝗼𝗻'𝘁 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝘁𝗼 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗮𝗻𝘆 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝘄𝗶𝘀𝗵, 𝘁𝗵𝗲𝗻 𝗜 𝗰𝗮𝗻𝗻𝗼𝘁 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗮𝗻𝘆 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝘄𝗶𝘀𝗵.
N: ดังนั้น หากผมไม่เชื่อว่าผมสามารถเลือกที่จะมีมุมมองต่างๆได้ตามที่ผมปรารถนา ผมก็จะไม่มีทางมีมุมมองต่างๆได้ตามที่ผมปรารถนา
𝗚 : "𝗝𝘂𝘀𝘁 𝘀𝗼."
G : แค่นั้นเลย
𝗡 : 𝗕𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗺𝘆 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲?
N : เพราะนั่นคือมุมมองของผมงั้นหรือครับ❓
𝗚 : "𝗕𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲.
G : เพราะนั่นคือมุมมองของเธอ
"𝗔𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗽𝗲𝗿𝗰𝗲𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲—𝗮𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗿𝗲𝗶𝗻𝗳𝗼𝗿𝗰𝗲 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲."
และนั่นจะเปลี่ยนการรับรู้ของเธอ ที่ซึ่งจะเปลี่ยนประสบการณ์ของเธอ —และประสบการณ์ของเธอก็จะเสริมสร้างมุมมองของเธอให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก
𝗡 : 𝗕𝘂𝘁 𝗜 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗮𝗿𝗴𝘂𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗱𝗶𝗱 𝗻𝗼𝘁 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗽𝗲𝗿𝗰𝗲𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻. 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝘀𝗶𝗺𝗽𝗹𝘆 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗼𝗯𝘀𝗲𝗿𝘃𝗲, 𝗼𝗯𝗷𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲𝗹𝘆.
N : แต่ผมก็สามารถโต้แย้งได้ว่าผมไม่ได้เลือกการรับรู้นั้น มันเป็นเพียงแค่สิ่งที่ผมสังเกตเห็นอย่างเป็นวัตถุวิสัย★
★หรือเห็นมันอย่างที่มันเป็น เห็นมันด้วยความเป็นกลาง โดยไม่มีอคติ หรือ ความลำเอียงใดๆอยู่เลย; ตรงนี้ยังหมายความได้อีกว่า : เรามีความเชื่อว่าสิ่งที่ถูกสังเกตนั้นไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากตัวผู้สังเกตเลย ก็เราเห็นมันเป็นอย่างที่มันเป็นอะ ไม่ได้ทำอะไรกับมันสักหน่อย แค่สังเกตมันเท่านั้นเอง เดี๋ยวพระองค์จะอธิบายเพิ่มครับ –ผู้แปล–
𝗚 : "𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗼𝗯𝘀𝗲𝗿𝘃𝗲, 𝗴𝗶𝘃𝗲𝗻 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲.
G : มันเป็นอย่างที่เธอสังเกตเห็น ก็เพราะมุมมองของเธอ
"𝗬𝗼𝘂 𝗼𝗯𝘀𝗲𝗿𝘃𝗲 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 '𝗼𝗯𝗷𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲𝗹𝘆.'
ไม่มีสิ่งใดที่เธอสังเกตได้อย่างเป็น “วัตถุวิสัย”
"𝗢𝗯𝗷𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗼𝗯𝘀𝗲𝗿𝘃𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗶𝘀 𝗶𝗺𝗽𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗹𝗲."
เพราะการสังเกตเชิงวัตถุวิสัยนั้นเป็นไปไม่ได้
𝗡 : 𝗔𝗻𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝗼𝘅𝘆𝗺𝗼𝗿𝗼𝗻. '𝗢𝗯𝗷𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗼𝗯𝘀𝗲𝗿𝘃𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻' 𝗶𝘀 𝗮𝗻 𝗼𝘅𝘆𝗺𝗼𝗿𝗼𝗻.
N : นี่ก็เป็นอีกคำที่ต้องอาศัยคำอื่นมาเปรียบเทียบเหมือนกันนี่ครับ เพราะ “การสังเกตเชิงวัตถุวิสัย” ก็ต้องอาศัยคำว่า “การสังเกตเชิงอัตวิสัย” ตัวมันถึงมีอยู่ได้
𝗚 : "𝗬𝗲𝘀.
G : ถูกแล้ว
"𝗡𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗼𝗯𝘀𝗲𝗿𝘃𝗲𝗱 𝗶𝘀 𝘂𝗻𝗮𝗳𝗳𝗲𝗰𝘁𝗲𝗱 𝗯𝘆 𝘁𝗵𝗲 𝗼𝗯𝘀𝗲𝗿𝘃𝗲𝗿."
#เพราะไม่มีสิ่งใดเลยที่ถูกสังเกตแล้วจะไม่ได้รับผลกระทบจากผู้สังเกต
𝗡 : 𝗜'𝗺 𝘀𝘂𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘀𝗼𝘂𝗻𝗱𝘀 𝗹𝗶𝗸𝗲 𝗮 𝗹𝗼𝘁 𝗼𝗳 𝗻𝗲𝘄 𝗮𝗴𝗲 𝘀𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁𝘂𝗮𝗹 𝗹𝗼𝗴𝗯𝗼𝗼𝗸 𝘁𝗼 𝗺𝗮𝗻𝘆 𝗽𝗲𝗼𝗽𝗹𝗲.
N : ผมมั่นใจเลยว่านี่มันฟังดูเหมือนกับเป็นข้อความทางจิตวิญญาณยุคใหม่ (นิวเอจ) สำหรับใครหลายๆคน
𝗚 : "𝗧𝗵𝗮𝘁'𝘀 𝗶𝗻𝘁𝗲𝗿𝗲𝘀𝘁𝗶𝗻𝗴, 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝗶𝘁'𝘀 𝗽𝘂𝗿𝗲 𝘀𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲."
G : น่าสนใจ เพราะนี่คือวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์อย่างแท้จริง★ (ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องทางจิตวิญญาณเลยสักนิด)
★วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (Pure Science) : คือความรู้ความเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติที่เป็นไปตามกฎพื้นฐานของธรรมชาติ รวมทั้งปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ จัดเป็นความรู้ขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วย กฎและทฤษฎีต่างๆ ตลอดจนความจริงหรือข้อเท็จจริง ความคิดรวบยอดที่มาจากการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ของนักวิทยาศาสตร์
ส่วนวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (Applied Science) : คือ การนำองค์ความรู้ ความเข้าใจพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ที่เป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ มาประยุกต์ให้เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ –ผู้แปล–
𝗡 : 𝗦𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲?
N : วิทยาศาสตร์งั้นหรือครับ❓
𝗚 : "𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗲𝗹𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁𝗮𝗿𝘆 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝘀. 𝗥𝗲𝗮𝗱 𝗮𝗻𝘆 𝗯𝗼𝗼𝗸 𝗼𝗻 𝗾𝘂𝗮𝗻𝘁𝘂𝗺 𝗺𝗲𝗰𝗵𝗮𝗻𝗶𝗰𝘀."
G : มันคือฟิสิกส์เบื้องต้น ลองไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับกลศาสตร์ควอนตัมเล่มไหนดูก็ได้ (แล้วเธอจะได้รับคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้)
𝗡 : 𝗦𝗼 𝘆𝗼𝘂'𝗿𝗲 𝘀𝗮𝘆𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗮𝗳𝗳𝗲𝗰𝘁 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝘀𝗲𝗲 𝗯𝘆 𝘁𝗵𝗲 𝘃𝗲𝗿𝘆 𝘄𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗮𝘁 𝗶𝘁?
N : พระองค์กำลังบอกว่า ตัวผมส่งผลกระทบต่อสิ่งที่ผมเห็นโดยวิธีการที่ผมมองไปที่มัน❓
𝗚 : "𝗢𝗿 𝘄𝗵𝗲𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘆𝗼𝘂 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗮𝘁 𝗶𝘁 𝗮𝘁 𝗮𝗹𝗹. 𝗧𝗵𝗮𝘁'𝘀 𝗲𝘅𝗮𝗰𝘁𝗹𝘆 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗜'𝗺 𝘀𝗮𝘆𝗶𝗻𝗴. 𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗽𝗿𝗲𝗰𝗶𝘀𝗲𝗹𝘆 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗮𝘀𝗲."
G : หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะมองหรือไม่ได้มองมันเลยต่างหาก★ นั่นคือสิ่งที่ฉันกำลังพูด นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในความเป็นจริง
★ตรงนี้หมายถึง เราจะส่งผลกระทบต่อทุกสิ่งที่เราสังเกต ส่วนสิ่งที่เราไม่ได้สังเกต เราก็จะไม่ได้ส่งผลกระทบถึงมันเลย หรือพูดอีกอย่างได้ว่า สรรพสิ่งเกิดขึ้นจากการเห็นของเราก็ได้ คือ พอเรามองอนุภาคทางพลังงานจำนวนนับไม่ถ้วนก็มาประกอบกันขึ้นเป็นสิ่งต่างๆให้เราเห็นในทันที พอเราไม่ได้มองมันก็สลายตัวกลับไปเป็นพลังงานที่ไม่ได้เป็นวัตถุหรือสสารเหมือนเดิม
ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม รถยนต์ บ้าน จังหวัด ฯลฯ รวมถึงผู้คน สิ่งมีชีวิตต่างๆ ตัวเราเองด้วย พอเรามองมันก็ประกอบกันขึ้นเป็นสิ่งนั้นให้เราเห็น พอเราไม่ได้มองมันก็สลายกลับไปเป็นพลังงาน ที่เราคิดว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นสิ่งนั้นจริงๆ ทั้งหมดนั้นมันเป็นแค่ความคิดของเราเท่านั้น เป็นสิ่งที่เราจำเอาไว้เท่านั้น
แต่ในความเป็นทางจริงทางควอนตัม มันไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่มันเป็นแบบที่ผมอธิบาย ลองคิดถึงตอนที่เราหลับครับ ที่เราไม่ได้กำลังสังเกตหรือรับรู้อะไรเลย ทุกสิ่งหายไป ตัวเราก็ด้วย พอเราตื่นขึ้น การรับรู้กลับมา ทุกสิ่งก็กลับมาให้เรารับรู้ ตามที่เราจำเอาไว้ก่อนหลับ
ไม่น่าเชื่อใช่ไหมครับ? เกินจะเชื่อใช่ไหมครับ? ไม่น่าและไม่มีทางเป็นไปได้ใช่ไหมครับ? — ความจริงนี้เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งและก็ซับซ้อนมากๆ ทำความเข้าใจได้ยากมากๆ แม้ตัวผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่เช่นกัน ผมแค่พยายามอธิบายและสรุปเอาจากสิ่งที่ผมเคยอ่านมาเท่านั้นเอง (ผมเคยฟังป้าโดโรเลส แคนนอน อธิบายถึงเรื่องนี้ แกให้ชื่อว่า ทฤษฎี Back Drop (ภาพเบื้องหลัง) ท่านใดที่สนใจก็ตามเข้าไปฟังดูได้ตามลิงค์ครับ
และตอนนี้พระองค์กำลังอธิบายถึงความจริงให้เราฟัง กำลังโน้มน้าวให้เราเชื่อในสิ่งที่เป็นอยู่จริงๆ เพราะหากเราเชื่อ ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามที่เราเชื่อนั่นเอง “ความเชื่อของเราเป็นตัวสร้างโลกความจริงของเรา” ความเชื่อของเรามีพลังอันยิ่งใหญ่ไพศาลนัก (เกินกว่าที่เราจะเชื่อ ฮะๆ 😅) –ผู้แปล–
𝗡 : 𝗪𝗲𝗹𝗹, 𝘄𝗲'𝘃𝗲 𝗰𝗲𝗿𝘁𝗮𝗶𝗻𝗹𝘆 𝗴𝗼𝘁𝘁𝗲𝗻 𝗼𝗳𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝘁𝗿𝗮𝗰𝗸 𝗵𝗲𝗿𝗲. 𝗪𝗲'𝘃𝗲 𝗴𝗼𝘁𝘁𝗲𝗻 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝗮 𝗺𝗮𝗿𝘀𝗵𝗹𝗮𝗻𝗱 𝗼𝗳 𝗽𝗲𝗿𝗰𝗲𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻 𝘁𝗵𝗲𝗼𝗿𝘆 𝗮𝗻𝗱 𝗾𝘂𝗮𝗻𝘁𝘂𝗺 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝘀!
N : เอ่อ... ผมว่าเราได้ออกนอกประเด็นไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ผมว่าเราได้เข้าไปในเรื่องอันน่าพิศวงของทฤษฎีแห่งการรับรู้และฟิสิกส์ควอนตัมเสียแล้ว❗
𝗚 : "𝗜𝘁'𝘀 𝗮𝗹𝗹 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝗹𝗲𝗮𝗱𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂 𝗯𝗮𝗰𝗸 𝘁𝗼 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝘁𝗿𝘂𝘁𝗵. 𝗬𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗻'𝘁 𝗿𝗲𝗱𝗶𝘀𝗰𝗼𝘃𝗲𝗿 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝘁𝗿𝘂𝘁𝗵, 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗻'𝘁 𝗿𝗲𝗺𝗲𝗺𝗯𝗲𝗿 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝘁𝗿𝘂𝘁𝗵, 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗻'𝘁 𝗿𝗲𝘀𝗶𝗱𝗲 𝗶𝗻 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝘁𝗿𝘂𝘁𝗵, 𝘂𝗻𝘁𝗶𝗹 𝘆𝗼𝘂 𝗿𝗲𝗺𝗲𝗺𝗯𝗲𝗿 𝗵𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂 𝗴𝗲𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲.
G : ทั้งหมดนี้เกี่ยวกับการนำเธอกลับสู่ความจริงของเธอ เธอไม่อาจค้นพบความจริงของเธออีกครั้งได้ เธอไม่อาจจดจำความจริงของเธอได้ เธอไม่อาจอยู่ในความจริงของเธอได้ จนกว่าเธอจะจดจำได้ว่าเธอไปถึงที่นั่นได้อย่างไร
"𝗪𝗲 𝗮𝗿𝗲 𝘁𝗮𝗹𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝗵𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂 𝗴𝗲𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲.
เรากำลังพูดกันถึงวิธีที่เธอจะไปถึงที่นั่น
"𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗱𝗶𝗮𝗹𝗼𝗴𝘂𝗲 𝗶𝘀 𝘁𝗮𝗸𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗼 𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗮𝗹𝘄𝗮𝘆𝘀 𝘄𝗮𝗻𝘁𝗲𝗱 𝘁𝗼 𝗴𝗼: 𝗛𝗼𝗺𝗲. 𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗻 𝗴𝗲𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗯𝗲𝗳𝗼𝗿𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗶𝗲, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗻𝗲𝘃𝗲𝗿 𝘄𝗼𝗿𝗿𝘆 𝗮𝗴𝗮𝗶𝗻 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵. 𝗬𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗻𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗯𝗲 𝗮𝗳𝗿𝗮𝗶𝗱 𝗼𝗳 𝗱𝘆𝗶𝗻𝗴.
บทสนทนานี้จะพาเธอไปยังที่ที่เธออยากไปเสมอ : ซึ่งนั่นก็คือ 'บ้าน' ถ้าเธอสามารถไปถึงที่นั่นได้ก่อนตาย เธอก็จะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องของความตายอีกต่อไป ความตายจะไม่มีวันทำให้เธอกลัวได้อีก
"𝗜𝘀𝗻'𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝘀𝗵 𝘁𝗼 𝗮𝗰𝗵𝗶𝗲𝘃𝗲 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗰𝗼𝗻𝘃𝗲𝗿𝘀𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻? 𝗙𝗼𝗿 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳 𝗮𝗻𝗱 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆𝗼𝗻𝗲 𝗲𝗹𝘀𝗲?"
นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการทำให้สำเร็จผ่านการสนทนานี้หรอกเหรอ❓ ทั้งเพื่อตัวของเธอเองแล้วก็คนอื่นๆ❓
𝗡 : 𝗬𝗲𝘀.
N : ใช่ครับ
𝗚 : "𝗧𝗵𝗲𝗻 𝗼𝘂𝗿 𝗱𝗶𝘀𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝗽𝗲𝗿𝗰𝗲𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻 𝘁𝗵𝗲𝗼𝗿𝘆 𝗮𝗻𝗱 𝗾𝘂𝗮𝗻𝘁𝘂𝗺 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝘀 𝗵𝗮𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗯𝗲𝗲𝗻 𝗮 𝗱𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗮𝘁 𝗮𝗹𝗹—𝗮𝗻𝗱 𝗻𝗼𝘄 𝗽𝗲𝗿𝗵𝗮𝗽𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱 𝘄𝗵𝘆 𝘄𝗲 𝗮𝗿𝗲 𝗮𝗽𝗽𝗿𝗼𝗮𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗹𝗶𝗳𝗲, 𝗮𝗻𝗱 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 '𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵,' 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗮𝗻𝗴𝗹𝗲."
G : ดังนั้นการพูดคุยเกี่ยวกับทฤษฎีการรับรู้และควอนตัมฟิสิกส์ของเราไม่ได้ทำให้เราออกนอกประเด็นไปไหนเลย —และในตอนนี้เธอก็คงเข้าใจแล้วว่าทำไมเราถึงเข้าใกล้ชีวิต และชีวิตหลัง “ความตาย” ได้จากมุมนี้
𝗡 : 𝗔𝗵! 𝗦𝗼 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗰𝗼𝗻𝗳𝗶𝗿𝗺𝗶𝗻𝗴 𝗻𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗜𝗦 '𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵?
N : อ้า❗ ดังนั้น พระองค์จึงยืนยันว่าชีวิตหลังความตายนั้น “มีอยู่จริง” ใช่ไหมครับ❓
𝗚 : "𝗡𝗼."
G : ฉันเปล่า
𝗡 : 𝗡𝗼?
N : เปล่าเหรอครับ❓
𝗚 : "𝗡𝗼. 𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵."
G : ใช่แล้ว เพราะไม่มีชีวิตหลังความตาย
𝗡 : 𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵?
N : ไม่มีชีวิตหลังความตายงั้นหรือครับ❓
𝗚 : "𝗡𝗼. 𝗜𝗻 𝗳𝗮𝗰𝘁, 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲'𝘀 𝗻𝗼 𝘀𝘂𝗰𝗵 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗮𝘀 '𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵' 𝗮𝘁 𝗮𝗹𝗹. 𝗔𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀...
G : ไม่มี อันที่จริงแล้ว ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “ความตาย” อยู่เลย ซึ่งนั่นจะนำเราไปสู่...
𝗧𝗛𝗘 𝗦𝗘𝗩𝗘𝗡𝗧𝗛 𝗥𝗘𝗠𝗘𝗠𝗕𝗥𝗔𝗡𝗖𝗘
ความทรงจำที่ 7️⃣
𝗗𝗲𝗮𝘁𝗵 𝗱𝗼𝗲𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗲𝘅𝗶𝘀𝘁.
"#ความตายไม่มีอยู่จริง”
𝗕𝘂𝘁 𝗜 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘁 𝗱𝗼𝗲𝘀, 𝗮𝗻𝗱 𝘀𝗼, 𝗳𝗼𝗿 𝘆𝗼𝘂, 𝗶𝘁 𝗮𝗯𝘀𝗼𝗹𝘂𝘁𝗲𝗹𝘆 𝗱𝗼𝗲𝘀.
แต่ฉันรู้ว่าเธอคิดว่ามันมี ดังนั้น สำหรับเธอ (และทุกคน) ที่คิดอย่างนั้น ความตายจึงมีอยู่อย่างแน่นอน
"𝗧𝗵𝗮𝘁'𝘀 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗲'𝗿𝗲 𝘁𝗮𝗹𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝗵𝗲𝗿𝗲.
นั่นคือสิ่งที่เรากําลังพูดถึงที่นี่
"𝗪𝗲'𝗿𝗲 𝘁𝗮𝗹𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝗽𝗲𝗿𝗰𝗲𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲𝘀 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗮𝗿𝗶𝘀𝗲."
เรากำลังพูดถึงการรับรู้ และการเกิดขึ้นของมุมมองทั้งหลาย
𝗡 : 𝗛𝗺𝗺𝗺. 𝗦𝗼 𝘄𝗲'𝘃𝗲 𝗰𝗼𝗺𝗲 𝗳𝘂𝗹𝗹 𝗰𝗶𝗿𝗰𝗹𝗲.
N : หืมมม...สุดท้ายเราก็วนกลับมาที่เดิมอีกจนได้
(มีต่อ)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา