9 พ.ค. 2023 เวลา 04:46 • หนังสือ

#23 HWG. — บทที่ 1️⃣4️⃣ (#แก้ไขคำแปล)

“นรกไม่มีอยู่จริง แต่เธอสามารถตกนรกได้ด้วยจินตนาการของเธอเอง”
▪️ผู้แปล : แอดมิน
🔸นี่เป็นงานแปลชิ้นที่ 2 ที่ผมตั้งใจแปลมากๆ หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
𝗟𝗲𝘁 𝘂𝘀 𝗯𝗲 𝗰𝗹𝗲𝗮𝗿. 𝗛𝗲𝗹𝗹 𝗱𝗼𝗲𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗲𝘅𝗶𝘀𝘁. 𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘀𝗶𝗺𝗽𝗹𝘆 𝗶𝘀 𝗻𝗼 𝘀𝘂𝗰𝗵 𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲.
“มาทําความเข้าใจให้ชัดเจนกันก่อนว่า 'นรกไม่มีอยู่จริง' สถานที่เช่นนั้นไม่มีอยู่จริง”
𝗖𝗵𝗮𝗽𝘁𝗲𝗿 𝟭𝟰
บทที่ 1️⃣4️⃣
 
𝗡𝗲𝗮𝗹𝗲: 𝗜 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗤𝘂𝗲𝘀𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗔𝗴𝗲𝘀: 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝘀 𝗳𝗼𝗹𝗹𝗼𝘄𝗶𝗻𝗴 𝗼𝘂𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵? 𝗕𝘂𝘁 𝗜'𝘃𝗲 𝗴𝗼𝘁 𝘁𝗼 𝗮𝘀𝗸 𝗶𝘁, 𝗱𝗶𝗿𝗲𝗰𝘁𝗹𝘆, 𝗮𝗻𝗱 𝗜 𝗵𝗼𝗽𝗲 𝘆𝗼𝘂'𝗹𝗹 𝗴𝗶𝘃𝗲 𝗺𝗲 𝗮 𝗱𝗶𝗿𝗲𝗰𝘁 𝗮𝗻𝘀𝘄𝗲𝗿.
N : ผมรู้ครับว่านี่คือ 'คําถามแห่งยุค' ที่ผู้คนอยากรู้มาโดยตลอด : จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เราตายครับ❓ ผมขอถามแบบตรงๆ และผมก็ขอให้พระองค์ช่วยตอบผมแบบตรงๆด้วยนะครับ
𝗚𝗼𝗱 : "𝗜 𝘄𝗶𝗹𝗹. 𝗢𝗳 𝗰𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲 𝗜 𝘄𝗶𝗹𝗹. 𝗕𝘂𝘁 𝗶𝘁'𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗴𝗼𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗯𝗲 𝗮 𝘀𝗵𝗼𝗿𝘁 𝗮𝗻𝘀𝘄𝗲𝗿. 𝗜𝘁'𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗴𝗼𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗯𝗲, "𝗪𝗲𝗹𝗹, 𝘆𝗼𝘂'𝗹𝗹 𝗲𝗶𝘁𝗵𝗲𝗿 𝗴𝗼 𝘁𝗼 𝗵𝗲𝗮𝘃𝗲𝗻 𝗼𝗿 𝘆𝗼𝘂'𝗹𝗹 𝗴𝗼 𝘁𝗼 𝗵𝗲𝗹𝗹, 𝗱𝗲𝗽𝗲𝗻𝗱𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗻 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗸𝗶𝗻𝗱 𝗼𝗳 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝘆𝗼𝘂'𝘃𝗲 𝗹𝗲𝗱.'
G : ฉันจะตอบเธอแบบตรงๆแน่นอน แต่มันจะไม่ใช่คำตอบแบบสั้นๆง่ายๆ มันจะไม่ใช่เพียงแค่การบอกว่า “เธอจะไปสวรรค์หรือเธอจะไปนรกก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอมีชีวิตแบบไหน” (ทำดี หรือ ทำชั่ว) อะไรแบบนั้นหรอกนะ
"𝗜 𝗰𝗮𝗻'𝘁 𝗴𝗶𝘃𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗻𝘆 𝗼𝗻𝗲-𝘀𝗲𝗻𝘁𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗿𝗲𝗽𝗹𝗶𝗲𝘀 𝘁𝗼 𝗮 𝗾𝘂𝗲𝘀𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗹𝗶𝗸𝗲 𝘁𝗵𝗶𝘀."
ฉันไม่สามารถใช้แค่เพียงประโยคใดประโยคหนึ่งในการตอบคำถามแบบนี้ได้
 
 
𝗡 : 𝗡𝗼, 𝘆𝗼𝘂'𝗹𝗹 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗼 𝗹𝗲𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝗖𝗵𝘂𝗿𝗰𝗵.
N : ครับ เรื่องนั้นคงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทางคริสตจักรแหละครับ★
★ตรงนี้นีลน่าจะ ใช้คำพูดแดกดัน สิ่งที่โบสถ์สอนในเรื่องนี้อยู่นิดๆครับ 😄 อย่าว่าแต่ทางคริสต์เลยครับ พุทธบ้านเราก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่วัชรยาน และ มหายาน บางสาย (ที่ผมรู้จัก) ไม่เหมือนกันนะครับ –ผู้แปล–
𝗚 : "𝗡𝗼 𝗰𝗼𝗺𝗺𝗲𝗻𝘁."
G : ฉันไม่มีความเห็นอะไรในเรื่องนี้
 
 
𝗡 : 𝗦𝗼...𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗮𝗻𝘀𝘄𝗲𝗿?
N : แล้วคำตอบของพระองค์คืออะไรครับ❓
 
 
𝗚 : "𝗟𝗲𝘁 𝗺𝗲 𝗯𝗲𝗴𝗶𝗻 𝗯𝘆 𝘀𝗮𝘆𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗼𝗻𝗲 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗮𝗺𝗲 𝗳𝗼𝗿 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆𝗼𝗻𝗲, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲𝗱 𝗶𝗻 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗰𝗮𝗹𝗹 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲𝘀, 𝗼𝗿 𝗽𝗵𝗮𝘀𝗲𝘀, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗳𝗶𝗿𝘀𝘁 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗮𝗺𝗲 𝗳𝗼𝗿 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆𝗼𝗻𝗲.
G : ฉันขอเริ่มต้นด้วยการบอกว่า จะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันสำหรับทุกคน นั่นคือเมื่อเธอตาย เธอจะได้รับประสบการณ์ในสิ่งที่เรียกว่าขั้นตอน หรือ ระยะ และระยะแรกก็เหมือนกันสำหรับทุกคน
"𝗜𝗻 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲 𝗼𝗻𝗲, 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗶𝗻𝘀𝘁𝗮𝗻𝘁𝗹𝘆 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗵𝗮𝘀 𝗴𝗼𝗻𝗲 𝗼𝗻. 𝗧𝗵𝗶𝘀 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗮𝗺𝗲 𝗳𝗼𝗿 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆𝗼𝗻𝗲. 𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲 𝗮 𝗯𝗿𝗶𝗲𝗳 𝗽𝗲𝗿𝗶𝗼𝗱 𝗼𝗳 𝗱𝗶𝘀𝗼𝗿𝗶𝗲𝗻𝘁𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝗮𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗼𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘇𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗻𝗼𝘁 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗯𝗼𝗱𝘆, 𝗯𝘂𝘁, 𝗶𝗻𝘀𝘁𝗲𝗮𝗱, 𝗮𝗿𝗲 𝗻𝗼𝘄 𝘀𝗲𝗽𝗮𝗿𝗮𝘁𝗲 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝗶𝘁.
ในระยะแรกขณะที่เธอเสียชีวิต เธอจะได้รับประสบการณ์ในทันทีว่าชีวิตในชาตินี้นั้นได้ผ่านไปแล้ว สิ่งนี้จะเหมือนกันสำหรับทุกคน อาจจะมีช่วงสั้นๆของความรู้สึกสับสน แต่เธอก็จะตระหนักรู้ขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ตัวเธอไม่ได้อยู่กับร่างกายแล้ว เธอแยกตัวออกมาจากมันแล้ว
"𝗦𝗼𝗼𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗰𝗼𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗵𝗶𝗹𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 '𝗱𝗶𝗲𝗱,' 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗻𝗼𝘁 𝗲𝗻𝗱𝗲𝗱 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗹𝗶𝗳𝗲. 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘇𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗳𝘂𝗹𝗹𝘆, 𝗽𝗲𝗿𝗵𝗮𝗽𝘀 𝗳𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗲 𝗳𝗶𝗿𝘀𝘁 𝘁𝗶𝗺𝗲, 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗻𝗼𝘁 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗯𝗼𝗱𝘆; 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗮 𝗯𝗼𝗱𝘆 𝗶𝘀 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗻 𝗵𝗮𝘃𝗲, 𝗯𝘂𝘁 𝗻𝗼𝘁 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲.
𝗜𝗺𝗺𝗲𝗱𝗶𝗮𝘁𝗲𝗹𝘆, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗺𝗼𝘃𝗲 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲 𝘁𝘄𝗼 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵. 𝗔𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝗻𝗱𝗶𝘃𝗶𝗱𝘂𝗮𝗹 𝗽𝗮𝘁𝗵𝘀 𝗱𝗶𝘃𝗲𝗿𝗴𝗲."
และในไม่ช้าเธอก็จะเข้าใจว่า ในขณะที่ “ความตาย” เกิดขึ้นกับเธอ ชีวิตของเธอกลับยังไม่จบสิ้นลง ในห้วงขณะนี้เองที่เธอจะมีประสบการณ์และตระหนักรู้ได้อย่างเต็มที่ บางทีนี่อาจเป็นครั้งแรกที่เธอตระหนักรู้ได้อย่างแท้จริงว่าตัวเธอนั้นไม่ใช่ร่างกาย ร่างกายเป็นเพียงสิ่งที่เธอสามารถมีได้ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เธอเป็น ทันใดที่เธอตระหนักได้เช่นนั้น เธอก็จะเข้าสู่ระยะที่สองของการตายในทันที และในระยะนี้เองคือจุดที่เส้นทางของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป
 
 
𝗡 : 𝗜𝗻 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗮𝘆?
N : แตกต่างกันยังไงครับ❓
𝗚 : "𝗜𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝗳 𝘀𝘆𝘀𝘁𝗲𝗺 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗲𝗺𝗯𝗿𝗮𝗰𝗲𝗱 𝗯𝗲𝗳𝗼𝗿𝗲 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝗶𝗻𝗰𝗹𝘂𝗱𝗲𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗲𝗿𝘁𝗮𝗶𝗻𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗴𝗼𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗻, 𝗼𝗻𝗰𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗴𝗿𝗮𝘀𝗽 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 '𝗱𝗶𝗲𝗱,' 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝗶𝗺𝗺𝗲𝗱𝗶𝗮𝘁𝗲𝗹𝘆 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝗶𝗻𝗴, 𝗮𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱 𝗶𝘁.
𝗬𝗼𝘂𝗿 𝘀𝗲𝗰𝗼𝗻𝗱 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗲𝗻 𝗯𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝘄𝗵𝗮𝘁𝗲𝘃𝗲𝗿 𝘆𝗼𝘂 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗲 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝘀 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵. 𝗧𝗵𝗶𝘀 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝗶𝗻𝘀𝘁𝗮𝗻𝘁𝗮𝗻𝗲𝗼𝘂𝘀.
G : แตกต่างกันไปตามระบบความเชื่อที่เธอยึดถือไว้ก่อนตาย รวมถึงวิถีการใช้ชีวิตที่ผ่านมาของเธอด้วย (สิ่งนี้จะเป็นตัวกำหนดความคิดหลังการตายของเธอ) และในขณะที่เธอตระหนักได้แล้วถึงการ “ตาย” ของเธอ เธอจะรู้ในทันทีว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น และเธอก็จะเข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนั้น ซึ่งระยะที่สองของการตายก็คือ เธอจะได้ประสบกับสิ่งที่เธอเชื่อว่ามันจะต้องเกิดขึ้นหลังความตาย และสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในทันที (ตามที่เธอคิด-เชื่อ)
"𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗲 𝗶𝗻 𝗿𝗲𝗶𝗻𝗰𝗮𝗿𝗻𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝗳𝗼𝗿 𝗶𝗻𝘀𝘁𝗮𝗻𝗰𝗲, 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝗽𝗿𝗲𝘃𝗶𝗼𝘂𝘀 𝗹𝗶𝘃𝗲𝘀 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗻𝗼 𝗽𝗿𝗲𝘃𝗶𝗼𝘂𝘀 𝗰𝗼𝗻𝘀𝗰𝗶𝗼𝘂𝘀 𝗺𝗲𝗺𝗼𝗿𝘆.
ตัวอย่างเช่น หากเธอมีความเชื่อในเรื่องของการกลับชาติมาเกิด เธออาจได้ประสบกับช่วงเวลาของชีวิตในชาติที่แล้ว ซึ่งเธอไม่มีความทรงจำ (จำไม่ได้) ก่อนหน้านี้
"𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝗲𝗻𝗳𝗼𝗹𝗱𝗲𝗱 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝗺𝗯𝗿𝗮𝗰𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗿𝗺𝘀 𝗼𝗳 𝗮𝗻 𝘂𝗻𝗰𝗼𝗻𝗱𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗹𝗼𝘃𝗶𝗻𝗴 𝗚𝗼𝗱, 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲.
หากเธอมีความเชื่อว่าเธอจะถูกโอบกอดไว้ในอ้อมแขนของพระเจ้าผู้เปี่ยมไปด้วยความรักอันไร้เงื่อนไข นั่นก็เป็นประสบการณ์ที่เธอจะได้รับ
"𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗲 𝗶𝗻 𝗮 𝗗𝗮𝘆 𝗼𝗳 𝗝𝘂𝗱𝗴𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗼𝗿 𝗮 𝗧𝗶𝗺𝗲 𝗼𝗳 𝗥𝗲𝗰𝗸𝗼𝗻𝗶𝗻𝗴, 𝗳𝗼𝗹𝗹𝗼𝘄𝗲𝗱 𝗯𝘆 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝘀𝗲 𝗼𝗿 𝗱𝗮𝗺𝗻𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗳𝗼𝗿 𝗮𝗹𝗹 𝗲𝘁𝗲𝗿𝗻𝗶𝘁𝘆—"
หากเธอมีความเชื่อในเรื่องของวันแห่งการพิพากษาหรือช่วงเวลาแห่งการชำระบัญชี (กรรมสนอง)★ ตามด้วยสวรรค์หรือการสาบแช่งไปชั่วนิรันดร์—
★บ้านเราก็คงจะเป็น การต้องไปเจอกับพญายม แล้วได้รับการตรวจบัญชีที่บันทึกบุญ-บาป ทำบุญมากกว่าก็ไปสวรรค์ ถ้าทำบาปมากกว่า ก็ไปนรก แถมด้วยความเชื่อที่ว่า ถ้าบุญ-บาป เท่ากัน ก็ต้องอยู่ปฎิบัติหน้าที่ เป็นเจ้าหน้าที่ หรือ ยมทูต คอยไปรับหรือนำทางวิญญาณ ให้เข้าสู่สถานที่แห่งการตัดสินนั้นด้วย เป็นต้นครับ 😄 –ผู้แปล–
𝗡 : —𝘆𝗲𝘀, 𝘁𝗲𝗹𝗹 𝗺𝗲, 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗻?
N : —ครับ บอกผมที ว่าหากเชื่ออย่างนั้นแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นครับ❓
𝗚 : "𝗘𝘅𝗮𝗰𝘁𝗹𝘆 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗰𝘁. 𝗔𝘀 𝘀𝗼𝗼𝗻 𝗮𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗼𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘀𝘁𝗮𝘁𝗲 𝗼𝗻𝗲 𝗼𝗳 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝗮𝗻𝗱 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘇𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗻𝗼 𝗹𝗼𝗻𝗴𝗲𝗿 𝗹𝗶𝘃𝗶𝗻𝗴 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗮 𝗯𝗼𝗱𝘆,
𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗺𝗼𝘃𝗲 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲 𝘁𝘄𝗼 𝗮𝗻𝗱 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗷𝘂𝗱𝗴𝗲𝗱, 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝗲𝘅𝗮𝗰𝘁𝗹𝘆 𝗮𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗷𝘂𝗱𝗴𝗺𝗲𝗻𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘁𝘂𝗿𝗻 𝗼𝘂𝘁 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝗲𝘅𝗮𝗰𝘁𝗹𝘆 𝗮𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘁 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱.
G : มันก็จะเป็นไปตามที่เธอคาดคิดนั่นแหละ ทันทีที่เธอก้าวผ่านระยะที่หนึ่งของความตายและตระหนักรู้ว่าเธอไม่ได้อยู่กับร่างกายอีกต่อไปแล้ว เธอจะเข้าสู่ระยะที่สองและจะได้รับประสบการณ์ว่าตัวเองกำลังถูกตัดสินเหมือนกับที่เธอจินตนาการไว้เป๊ะ และผลของการตัดสินก็จะเกิดขึ้นตรงตามที่เธอจินตนาการไว้เช่นกัน
"𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗶𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗲𝘀𝗲𝗿𝘃𝗲 𝗵𝗲𝗮𝘃𝗲𝗻, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗶𝗺𝗺𝗲𝗱𝗶𝗮𝘁𝗲𝗹𝘆 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁, 𝗮𝗻𝗱 𝗶𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗲𝘀𝗲𝗿𝘃𝗲 𝗵𝗲𝗹𝗹, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗶𝗺𝗺𝗲𝗱𝗶𝗮𝘁𝗲𝗹𝘆 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁.
หากเธอตายพร้อมด้วยความคิดที่ว่าเธอสมควรได้ไปสวรรค์ เธอก็จะได้รับประสบการณ์นั้นในทันที แต่ถ้าเธอมีความคิดว่า เธอสมควรต้องลงนรก เธอก็จะได้รับประสบการณ์นั้นในทันทีเช่นกัน
"𝗛𝗲𝗮𝘃𝗲𝗻 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝗲𝘅𝗮𝗰𝘁𝗹𝘆 𝗮𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲𝗱 𝗶𝘁 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲, 𝗮𝘀 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗵𝗲𝗹𝗹. 𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗻𝗼 𝗶𝗱𝗲𝗮 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗽𝗲𝗰𝗶𝗳𝗶𝗰𝘀 𝗼𝗳 𝗲𝗶𝘁𝗵𝗲𝗿, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗺𝗮𝗸𝗲 𝘁𝗵𝗲𝗺 𝘂𝗽 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗼𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗽𝗼𝘁. 𝗧𝗵𝗲𝗻, 𝘁𝗵𝗲𝘀𝗲 𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲𝘀 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲𝗱 𝗳𝗼𝗿 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗮𝘆, 𝗶𝗻𝘀𝘁𝗮𝗻𝘁𝗹𝘆.
สวรรค์จะเป็นไปตามที่เธอจินตนาการไว้ (เชื่อ) เช่นเดียวกับนรก★ แต่ถ้าเธอไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับลักษณะอันเฉพาะเจาะจงของทั้งสองอย่าง เธอก็จะสร้างมันขึ้นมาตรงนั้นในทันที จากนั้น สถานที่เหล่านี้ก็จะถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เธอได้รับประสบการณ์นั้นในทันที
★นี่เป็นเหตุผลว่าทำไม สวรรค์-นรก ในแต่ละคติความเชื่อ จึงไม่เหมือนกันครับ –ผู้แปล–
"𝗬𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗿𝗲𝗺𝗮𝗶𝗻 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲𝘀𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲𝘀 𝗮𝘀 𝗹𝗼𝗻𝗴 𝗮𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝘀𝗵."
เธอจะอยู่ในประสบการณ์เหล่านี้ได้นานตราบเท่าที่เธอต้องการ
 
 
𝗡 : 𝗪𝗲𝗹𝗹, 𝘁𝗵𝗲𝗻, 𝗜 𝗰𝗮𝗻 𝗳𝗶𝗻𝗱 𝗺𝘆𝘀𝗲𝗹𝗳 𝗶𝗻 𝗵𝗲𝗹𝗹!
N : เอ่อ ถ้าอย่างนั้น ผมก็สามารถพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในนรกได้❗
 
 
𝗚 : "𝗟𝗲𝘁 𝗺𝗲 𝗯𝗲 𝗰𝗹𝗲𝗮𝗿. 𝗛𝗲𝗹𝗹 𝗱𝗼𝗲𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗲𝘅𝗶𝘀𝘁. 𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘀𝗶𝗺𝗽𝗹𝘆 𝗶𝘀 𝗻𝗼 𝘀𝘂𝗰𝗵 𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲. 𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲𝗳𝗼𝗿𝗲, 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼 𝘀𝘂𝗰𝗵 𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲 𝗳𝗼𝗿 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗼 𝗴𝗼.
G : มาทำความเข้าใจกันให้ชัดเจนก่อน #นรกไม่มีอยู่จริง #สถานที่เช่นนั้นไม่มีอยู่จริง ดังนั้น #มันจึงไม่มีสถานที่แบบนั้นให้เธอไป
"𝗡𝗼𝘄...𝗰𝗮𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝗖𝗥𝗘𝗔𝗧𝗘 𝗮 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻𝗮𝗹 '𝗵𝗲𝗹𝗹 𝗳𝗼𝗿 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳 𝗶𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝘁𝗼, 𝗼𝗿 𝗶𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 '𝗱𝗲𝘀𝗲𝗿𝘃𝗲'? 𝗬𝗲𝘀.
𝗦𝗼 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗻 𝘀𝗲𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝘀𝗲𝗹𝗳 𝘁𝗼 '𝗵𝗲𝗹𝗹,' 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 '𝗵𝗲𝗹𝗹' 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘁𝘂𝗿𝗻 𝗼𝘂𝘁 𝘁𝗼 𝗯𝗲 𝗲𝘅𝗮𝗰𝘁𝗹𝘆 𝗮𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲 𝗼𝗿 𝗳𝗲𝗲𝗹 𝗮 𝗻𝗲𝗲𝗱 𝗳𝗼𝗿 𝗶𝘁 𝘁𝗼 𝗯𝗲—𝗯𝘂𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗻𝗼𝘁 𝘀𝘁𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗳𝗼𝗿 𝗼𝗻𝗲 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗹𝗼𝗻𝗴𝗲𝗿 𝘁𝗵𝗮𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝘁𝗼."
🛑 มาถึงตรงนี้...หากถามว่า เธอสามารถสร้าง “นรก” ส่วนตัวสำหรับตัวเธอเองได้ไหม ถ้าเธอเลือกหรือถ้าเธอเชื่อว่านี่คือสิ่งที่เธอ “สมควร” ได้รับ❓ คำตอบก็คือ 'ได้' ดังนั้น เธอสามารถส่งตัวเองไปยัง “นรก” ได้ และ “นรก” นั้นจะเป็นเหมือนกับที่เธอจินตนาการไว้หรือเป็นเหมือนกับที่เธอรู้สึกว่ามันควรต้องเป็นแบบนั้น —แต่เธอจะไม่อยู่ที่นั่นนานกว่าที่เธอเลือกไว้แม้เพียงชั่วขณะเดียว
 
 
𝗡 : 𝗪𝗵𝗼 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝘁𝗼 𝘀𝘁𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗮𝘁 𝗮𝗹𝗹?
N : ใครจะเลือกไปอยู่ที่นั่นกันล่ะครับ แม้เพียงชั่วขณะเดียวก็เถอะหากว่ามันเลือกได้แบบที่พระองค์ว่า❓
𝗚 : "𝗬𝗼𝘂'𝗱 𝗯𝗲 𝘀𝘂𝗿𝗽𝗿𝗶𝘀𝗲𝗱. 𝗔 𝗹𝗼𝘁 𝗼𝗳 𝗽𝗲𝗼𝗽𝗹𝗲 𝗹𝗶𝘃𝗲 𝘄𝗶𝘁𝗵𝗶𝗻 𝗮 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝗳 𝘀𝘆𝘀𝘁𝗲𝗺 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘀𝗮𝘆𝘀 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗮𝗿𝗲 𝘀𝗶𝗻𝗻𝗲𝗿𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝗺𝘂𝘀𝘁 𝗯𝗲 𝗽𝘂𝗻𝗶𝘀𝗵𝗲𝗱 𝗳𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗲𝗶𝗿 '𝗼𝗳𝗳𝗲𝗻𝘀𝗲𝘀,'
𝗮𝗻𝗱 𝘀𝗼 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗮𝗰𝘁𝘂𝗮𝗹𝗹𝘆 𝘀𝘁𝗮𝘆 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲𝗶𝗿 𝗶𝗹𝗹𝘂𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 '𝗵𝗲𝗹𝗹,' 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗱𝗲𝘀𝗲𝗿𝘃𝗲, 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗰𝗼𝗺𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲𝗺, 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗼 𝗱𝗼.
G : เธอจะประหลาดใจ เพราะมีผู้คนจำนวนมากยึดถือในระบบความเชื่อที่บอกว่า พวกเขาคือคนบาป (ที่เกิดมาพร้อมกับการมีบาปติดตัว หรือ การที่เกิดมาเป็นแบบนี้เพราะบาปที่ตนเคยทำไว้) และต้องถูกลงโทษเพราะบาปที่ตนเคยก่อไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องอยู่ใน "ภาพลวงตาของนรก" แม้ในขณะที่กำลังมีชีวิตอยู่ (ยังไม่ต้องตายก็อยู่ในนรกแล้ว) โดยคิดว่านี่คือสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับ คิดว่าพวกเขาจำต้องชดใช้ในบาปที่พวกเขาเคยก่อ★
★ถ้าเป็นบ้านเราก็คงเป็นความเชื่อในเรื่องของ เวรกรรม ครับ ต้องชดใช้กรรม ที่เราเกิดมาก็เพื่อชดใช้กรรม ที่เราเกิดมาเป็นแบบที่เป็นอยู่นี้ก็เพราะกรรม (ดี-ชั่ว) ที่เคยทำ เพราะไม่อย่างนั้นเราก็คงไม่ต้องมาเกิดอีก เพราะหมดเวรหมดกรรมแล้ว พุทธบ้านเรามีความเชื่อว่า การไม่เกิดอีกคือที่สุดของที่สุด (หรือนิพพาน–ไปย้อนอ่านเรื่องนี้ได้ในสนทนาฯ เล่ม 3 ครับ) คือเป้าหมายสุดท้ายของการปฏิบัติทั่งปวงเพื่อไปให้ถึง (เมื่อก่อนผมก็เป็นครับ ฮะๆ 😅)
แต่เราลืมคิดไป หรือ คิดไม่ถึง ว่าแล้วชาติแรกที่เรายังไม่ได้ทำกรรมอะไรเลยเรามาเกิดได้ไง หรืออะไรทำให้เราต้องมาเกิด แต่หนังสือชุดนี้อธิบายถึงเหตุผลนั้นไว้หมดแล้วครับ คือการมามีประสบการณ์เพื่อวิวัฒน์ตัวเองให้ยิ่งๆขึ้นไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเอง วิวัฒน์ตัวเองให้กลายเป็นพระเจ้าอย่างแท้จริง (และเป็นยิ่งไปกว่านั้น—เหนือจินตนาการไปแล้วครับตรงนี้) –ผู้แปล–
"𝗜𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗻𝗼𝘁 𝗺𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿, 𝗵𝗼𝘄𝗲𝘃𝗲𝗿, 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗻𝗼𝘁 𝘀𝘂𝗳𝗳𝗲𝗿 𝗮𝘁 𝗮𝗹𝗹. 𝗧𝗵𝗲𝘆 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘀𝗶𝗺𝗽𝗹𝘆 𝗼𝗯𝘀𝗲𝗿𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗲𝗺𝘀𝗲𝗹𝘃𝗲𝘀 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝗮 𝗱𝗲𝘁𝗮𝗰𝗵𝗲𝗱 𝗱𝗶𝘀𝘁𝗮𝗻𝗰𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝘀𝗲𝗲 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗴𝗼𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗻—𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗹𝗶𝗸𝗲 𝘄𝗮𝘁𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻 𝗶𝗻𝘀𝘁𝗿𝘂𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹 𝘃𝗶𝗱𝗲𝗼."
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่ออย่างไรก็ตาม มันก็ไม่สำคัญหรอก เพราะพวกเขาจะไม่ต้องทนทุกข์ พวกเขาจะแค่สังเกตตัวเองจากระยะไกลและดูว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น —เหมือนกับการกำลังดูวิดีโอแนะนำหรือวีดีโอที่ให้ความรู้อะไรประมาณนั้น
 
 
𝗡 : 𝗕𝘂𝘁 𝗶𝗳 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼 𝘀𝘂𝗳𝗳𝗲𝗿𝗶𝗻𝗴, 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗴𝗼𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗻?
N : แต่ถ้าพวกเขาไม่ต้องทนทุกข์ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาล่ะครับ❓
 
 
𝗚 : "𝗦𝘂𝗳𝗳𝗲𝗿𝗶𝗻𝗴, 𝗯𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝗻𝗼𝗻𝗲."
G : ทุกข์ แต่ไม่ทุกข์ (ประสบกับความทุกข์ แต่ไม่ได้ทุกข์อยู่จริงๆ)
 
 
𝗡 : 𝗜'𝗺 𝘀𝗼𝗿𝗿𝘆?
N : อะไรนะครับ?
 
 
𝗚 : "𝗪𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗴𝗼𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗻 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗮𝗽𝗽𝗲𝗮𝗿 𝘁𝗼 𝗯𝗲 𝘀𝘂𝗳𝗳𝗲𝗿𝗶𝗻𝗴, 𝗯𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗮𝗿𝘁 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲𝗺 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝘄𝗮𝘁𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗳𝗲𝗲𝗹 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴. 𝗡𝗼𝘁 𝗲𝘃𝗲𝗻 𝘀𝗮𝗱𝗻𝗲𝘀𝘀. 𝗧𝗵𝗲𝘆 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘀𝗶𝗺𝗽𝗹𝘆 𝗯𝗲 𝗼𝗯𝘀𝗲𝗿𝘃𝗶𝗻𝗴.
G : สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ พวกเขาดูเหมือนว่าจะมีความทุกข์ แต่ส่วนหนึ่งของพวกเขาที่เฝ้าดูสิ่งนี้อยู่จะไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่มีแม้แต่ความเศร้า พวกเขาเพียงแค่สังเกต
"𝗧𝗼 𝘂𝘀𝗲 𝗮𝗻𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝗮𝗻𝗮𝗹𝗼𝗴𝘆, 𝗶𝘁 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲 𝗮 𝗯𝗶𝘁 𝗹𝗶𝗸𝗲 𝘄𝗮𝘁𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗰𝗵𝗶𝗹𝗱 '𝗽𝗹𝗮𝘆-𝗮𝗰𝘁' 𝘀𝗼𝗺𝗲 𝗹𝗶𝘁𝘁𝗹𝗲 𝘀𝗰𝗲𝗻𝗲 𝗶𝗻 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗸𝗶𝘁𝗰𝗵𝗲𝗻. 𝗧𝗵𝗲 𝗰𝗵𝗶𝗹𝗱 𝗮𝗽𝗽𝗲𝗮𝗿𝘀 𝘁𝗼 𝗯𝗲 '𝘀𝘂𝗳𝗳𝗲𝗿𝗶𝗻𝗴,' 𝗵𝗼𝗹𝗱𝗶𝗻𝗴 𝗵𝗲𝗿 𝗵𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗼 𝗵𝗲𝗿 𝗵𝗲𝗮𝗱 𝗼𝗿 𝗰𝗹𝘂𝘁𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗵𝗲𝗿 𝘀𝘁𝗼𝗺𝗮𝗰𝗵, 𝗵𝗼𝗽𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗠𝗼𝗺𝗺𝘆 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗹𝗲𝘁 𝗵𝗲𝗿 𝘀𝘁𝗮𝘆 𝗵𝗼𝗺𝗲 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘀𝗰𝗵𝗼𝗼𝗹.
𝗠𝗼𝗺𝗺𝘆 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱𝘀 𝗽𝗲𝗿𝗳𝗲𝗰𝘁𝗹𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘀 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝗶𝗻𝗴. 𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼 𝘀𝘂𝗳𝗳𝗲𝗿𝗶𝗻𝗴 𝗴𝗼𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗻.
ถ้าจะให้เปรียบเทียบ มันก็เหมือนกับการมองดูลูกของเธอกำลัง “เล่นบทบาท” ในฉากเล็กๆน้อยๆในห้องครัวของเธอ มันดูเหมือนกับว่าเขากำลังได้รับ “ความทุกข์ทรมาน” เพราะมือของเขากำลังจับที่ศีรษะหรือกุมท้องของตัวเองเอาไว้ โดยหวังว่าแม่จะปล่อยให้ตัวเขาอยู่บ้านแทนที่จะต้องไปโรงเรียน แต่แม่ก็เข้าใจดีว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ไม่มีความทุกข์เกิดขึ้นจริงๆหรอก ลูกของเธอก็แค่กำลังแสดงว่าตัวเองทุกข์อยู่ก็เท่านั้น
"𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗮𝗻 𝗲𝘅𝗮𝗰𝘁 𝗮𝗻𝗮𝗹𝗼𝗴𝘆, 𝗯𝘂𝘁 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗰𝗹𝗼𝘀𝗲 𝗲𝗻𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗼 𝗴𝗲𝘁 𝗮𝗰𝗿𝗼𝘀𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗳𝗲𝗲𝗹𝗶𝗻𝗴.
นี่ไม่ใช่การเปรียบเทียบที่แม่นยำตรงกับความจริงแบบเป๊ะๆ แต่มันก็ใกล้เคียงพอที่จะทำให้เข้าใจถึงความรู้สึกแบบนั้นได้
"𝗦𝗼 𝘁𝗵𝗲𝘀𝗲 𝗼𝗯𝘀𝗲𝗿𝘃𝗲𝗿𝘀 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲 𝘄𝗮𝘁𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲𝗺𝘀𝗲𝗹𝘃𝗲𝘀 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝘀𝗲𝗹𝗳-𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲𝗱 '𝗵𝗲𝗹𝗹,' 𝗯𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗿𝗲𝗮𝗹.
𝗔𝗻𝗱 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗹𝗲𝗮𝗿𝗻𝗲𝗱 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗳𝗲𝗲𝗹 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗻𝗲𝗲𝗱 𝘁𝗼 𝗹𝗲𝗮𝗿𝗻 (𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀, 𝗿𝗲𝗺𝗶𝗻𝗱𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗺𝘀𝗲𝗹𝘃𝗲𝘀 𝗼𝗳 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗵𝗮𝗱 𝗳𝗼𝗿𝗴𝗼𝘁𝘁𝗲𝗻), 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝘄𝗶𝗹𝗹 '𝗿𝗲𝗹𝗲𝗮𝘀𝗲' 𝘁𝗵𝗲𝗺𝘀𝗲𝗹𝘃𝗲𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝗴𝗼 𝗼𝗻 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝘁𝗵𝗶𝗿𝗱 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲 𝗼𝗳 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵."
ดังนั้น ผู้สังเกตการณ์เหล่านี้ก็จะเฝ้าดูตัวเองที่กำลังอยู่ใน “นรก” ที่ตนเป็นสร้างขึ้นเองนี้ แต่พวกเขาจะรู้ว่านี่ไม่ใช่ของจริง และเมื่อพวกเขาได้เรียนรู้สิ่งที่พวกเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องได้เรียนรู้เสร็จแล้ว (นั่นคือ การเตือนตัวเองให้ระลึกถึงสิ่งที่พวกเขาหลงลืมไป) พวกเขาก็จะ “ปลดปล่อย” ตัวเองและไปสู่ความตายระยะที่สาม
 
 
𝗡 : 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗼𝘀𝗲 𝘄𝗵𝗼 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲𝗱 𝗮 '𝗵𝗲𝗮𝘃𝗲𝗻' 𝗳𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗲𝗺𝘀𝗲𝗹𝘃𝗲𝘀? 𝗪𝗶𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗴𝗼 𝘁𝗼 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲 𝘁𝗵𝗿𝗲𝗲?
N : แล้วบรรดาผู้ที่สร้าง “สวรรค์” ให้ตัวเองล่ะครับ❓ พวกเขาจะมีวันได้เข้าสู่ความตายระยะที่สามมั้ยครับ❓★
★หรือจะอยู่ในสวรรค์ตลอดไป เพราะสุขสบายมากๆ จนตัวเองไม่อยากออกมาจากจินตนาการนั้นแล้วไปต่อ อะไรประมาณนั้นครับ –ผู้แปล—
𝗚 : "𝗘𝘃𝗲𝗻𝘁𝘂𝗮𝗹𝗹𝘆, 𝘆𝗲𝘀. 𝗧𝗵𝗲𝘆 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗿𝗲𝗺𝗲𝗺𝗯𝗲𝗿 𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲𝗶𝗿 '𝗵𝗲𝗮𝘃𝗲𝗻' 𝘁𝗼 𝗿𝗲𝗺𝗲𝗺𝗯𝗲𝗿, 𝘁𝗵𝗲𝗻 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘇𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗮𝗺𝗲 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘇𝗲𝗱 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝗻𝗱 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲𝗶𝗿 𝗲𝗮𝗿𝘁𝗵𝗹𝘆 𝗹𝗶𝗳𝗲."
G : ในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาจะเคลื่อนเข้าสู่ความตายระยะที่สามอย่างแน่นอน เพราะพวกเขาจะจดจำทุกสิ่งที่พวกเขาสร้างประสบการณ์เกี่ยวกับ “สวรรค์” ขึ้นมาให้ตัวเองได้ประสบเพื่อให้จดจําได้ จากนั้นพวกเขาจะตระหนักรู้ได้ถึงสิ่งเดียวกันกับที่พวกเขาตระหนักรู้ได้ในบั้นปลายของชีวิตบนโลกนี้
 
 
𝗡 : 𝗪𝗵𝗶𝗰𝗵 𝗶𝘀?
N : ซึ่งนั่นก็คือ❓
 
 
𝗚 : "𝗧𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝘁𝗼 𝗱𝗼."
G : ซึ่งนั่นก็คือ #พวกเขาจะตระหนักขึ้นมาได้ว่าไม่มีอะไรให้ทำมากไปกว่านี้แล้ว★
★ประมาณว่า ไม่มีอะไรให้ทำในสวรรค์มากไปกว่านี้แล้ว นอกจากสุขสบายไปวันๆ ซึ่งการเป็นแบบนั้น ไม่ได้ช่วยยกระดับการวิวัฒนาการของตนเองได้เลย
ความเชื่อของคำสอนแบบพุทธในบ้านเราที่ว่า ทำไมเทวดา หรือ พระโพธิสัตว์ ถึงต้องการที่จะลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็มีเค้าความจริงอยู่เหมือนกัน เพราะมีประสบการณ์มากมายที่การเป็นเทวดาไม่สามารถมีได้ เช่นการให้อภัย การเสียสละอันยิ่งใหญ่ ฯลฯ เป็นต้น
ทีนี้พวกเราก็เข้าใจถึงความหมายที่อยู่เบื้องหลังของการบำเพ็ญบารมีแล้ว ตัวอย่างเช่น ทศชาติ ของพระพุทธเจ้า ที่พวกเราคุ้นเคยกันว่าเป็นการบำเพ็ญบารมีอันยิ่ง นั้นก็คือ การวิวัฒนาการของวิญญาณ ที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเองนั่นเอง –ผู้แปล–
1
𝗡 : 𝗦𝗼 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗺𝗼𝘃𝗲 𝗼𝗻.
N : ดังนั้นพวกเขาก็จะไปต่อ
 
 
𝗚 : "𝗧𝗵𝗲𝘆 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗺𝗼𝘃𝗲 𝗼𝗻. 𝗜𝗻𝘁𝗼 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲 𝘁𝗵𝗿𝗲𝗲 𝗼𝗳 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵. 𝗕𝘂𝘁 𝗜 𝗱𝗼𝗻'𝘁 𝘄𝗮𝗻𝘁 𝘁𝗼 𝗱𝗲𝘀𝗰𝗿𝗶𝗯𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝘆𝗲𝘁. 𝗟𝗲𝘁'𝘀 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗮𝘁 𝘀𝗼𝗺𝗲 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 '𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲 𝘁𝘄𝗼' 𝗽𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗶𝗹𝗶𝘁𝗶𝗲𝘀 𝗳𝗼𝗿 𝘆𝗼𝘂 𝗳𝗶𝗿𝘀𝘁."
G : พวกเขาจะเดินหน้าต่อไป เพื่อเข้าสู่ระยะที่สามของการตาย แต่ฉันยังไม่อยากอธิบายถึงเรื่องนั้นในตอนนี้ เรามาดูความเป็นไปได้อื่นๆของ “ระยะที่สอง” กันก่อน
 
 
𝗡 : 𝗢𝗵. 𝗢𝗸𝗮𝘆. 𝗟𝗶𝗸𝗲 𝘄𝗵𝗮𝘁?
N : โอ้ ตกลงครับ เช่นอะไรบ้างครับความเป็นไปได้อื่นๆที่ว่า ❓
 
 
𝗚 : "𝗬𝗼𝘂 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲 𝗼𝗻𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗼𝘀𝗲 𝘄𝗵𝗼 𝗱𝗶𝗲 𝗶𝗻 𝗮 𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝘂𝗻𝗰𝗲𝗿𝘁𝗮𝗶𝗻𝘁𝘆 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘄𝗵𝗲𝘁𝗵𝗲𝗿 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗴𝗼𝗲𝘀 𝗼𝗻 𝗮𝘁 𝗮𝗹𝗹 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵."
G : เธออาจเป็นคนหนึ่งที่ตายในสภาวะที่เต็มไปด้วยความกังขาว่าจะมีชีวิตดำเนินต่อไปหลังความตายหรือไม่ หรือมีความไม่มั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปหลังความตายกันแน่★
★ผมคาดว่าคนกลุ่มนี้คือคนที่ความเชื่อตีกันเองครับ คือไม่แน่ใจว่าความเชื่อแบบไหนกันแน่ในเรื่องความตายเป็นเรื่องจริง เพราะหลากหลายที่ (หลายศาสนา) ก็บอกเรื่องนี้แตกต่างกันไป คือตายพร้อมกับความสับสนว่างั้นครับ –ผู้แปล–
𝗡 : 𝗢𝗵, 𝘆𝗲𝘀. 𝗜 𝘀𝗲𝗲. 𝗢𝗸𝗮𝘆, 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗻?
N : โอ้ ครับ ผมเข้าใจแล้ว ว่ามีคนที่ตกอยู่ในสภาวะแบบนั้นตอนที่ตายด้วย แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับผมครับ หากผมตายด้วยสภาวะแบบนั้น❓
𝗚 : "𝗬𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝗰𝗼𝗻𝗳𝘂𝘀𝗲𝗱 𝗮𝗻𝗱 𝘂𝗻𝗰𝗲𝗿𝘁𝗮𝗶𝗻 𝗮𝘀 𝘁𝗼 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝗶𝗻𝗴, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗼 𝗱𝗲𝗮𝗹 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗴𝗼𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗻 𝗶𝗻 𝗮𝗻 𝗲𝗻𝘁𝗶𝗿𝗲𝗹𝘆 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗲𝗿𝗲𝗻𝘁 𝘄𝗮𝘆. 𝗬𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘇𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗻𝗼𝘁 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗯𝗼𝗱𝘆, 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 '𝗱𝗲𝗮𝗱' (𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝘀 𝘁𝗼 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆𝗼𝗻𝗲 𝗶𝗻 '𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲 𝗼𝗻𝗲'),
𝗯𝘂𝘁 𝘀𝗶𝗻𝗰𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝘂𝗻𝗰𝗲𝗿𝘁𝗮𝗶𝗻 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘄𝗵𝗮𝘁, 𝗶𝗳 𝗮𝗻𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴, 𝗰𝗼𝗺𝗲𝘀 𝗻𝗲𝘅𝘁, 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝘀𝗽𝗲𝗻𝗱 𝗮 𝗹𝗼𝘁 𝗼𝗳 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝘁𝗿𝘆𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗳𝗶𝗴𝘂𝗿𝗲 𝗼𝘂𝘁 𝗵𝗼𝘄 𝘁𝗼 '𝗽𝗿𝗼𝗰𝗲𝗲𝗱.'
G : เธอจะสับสนและไม่แน่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเธอกันแน่ ซึ่งมันจะทำให้เธอจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นในลักษณะที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เธอยังจะตระหนักรู้ได้อยู่ดีว่าเธอไม่ใช่ร่างกาย ว่าความตายได้เกิดขึ้นแล้วกับเธอ (เพราะการตระหนักรู้เช่นนี้จะเกิดขึ้นกับทุกคนใน “ระยะที่หนึ่ง) แต่เนื่องจากเธอไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอต่อไปกันแน่ เธอจึงอาจต้องใช้เวลานานมากๆในการพยายามหาวิธีที่จะ “ดำเนินต่อไป หรือ เคลื่อนสู่ระยะต่อไป” ได้ (เข้าสู่ระยะที่สอง) ★
★หรือว่านี่จะเป็นคำอธิบายถึง สัมภเวสี ตามความเชื่อแบบพุทธในบ้านเรากันนะ ที่ต้องร่อนเร่ไปเรื่อยๆ เพราะไม่รู้จะไปไหนดี 🤔 เจอความเชื่อมโยงแล้วครับ เพราะคนกลุ่มนี้ตายด้วยความสับสนสินะ –ผู้แปล–
𝗡 : 𝗪𝗶𝗹𝗹 𝗜 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗵𝗲𝗹𝗽?
N : แล้วผมจะได้รับความช่วยเหลือหรือเปล่าครับ❓
 
 
𝗚 : "𝗔𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗲 𝗵𝗲𝗹𝗽 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗻 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗽𝘁.
G : เธอสามารถยอมรับความช่วยเหลือทั้งหมดได้เท่าที่ต้องการ
"𝗜𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 𝘆𝗼𝘂𝗿 '𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵' 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗮𝗹𝗹 𝗳𝗶𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗿𝗲𝘀𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝘀𝘁 𝗹𝗼𝘃𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝗴𝗲𝗹𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝗴𝘂𝗶𝗱𝗲𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝗴𝗲𝗻𝘁𝗹𝗲 𝘀𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁𝘀, 𝗶𝗻𝗰𝗹𝘂𝗱𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁 𝗼𝗿 𝗲𝘀𝘀𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆𝗼𝗻𝗲 𝘄𝗵𝗼 𝗵𝗮𝘀 𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗯𝗲𝗲𝗻 𝗶𝗺𝗽𝗼𝗿𝘁𝗮𝗻𝘁 𝘁𝗼 𝘆𝗼𝘂 𝗶𝗻 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗹𝗶𝗳𝗲."
ในช่วงเวลาหลังจาก “การตาย” ของเธอ เธอจะพบว่าตัวเองอยู่ต่อหน้าเทวดาหรือทูตสวรรค์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักอย่างที่สุด★ หรือ ผู้นําทาง หรือจิตวิญญาณที่อ่อนโยน รวมไปถึงจิตวิญญาณหรือแก่นแท้ของทุกคนที่เคยมีความสำคัญต่อเธอในตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่
★อาจเป็นเทพ ที่เราเคยนึกถึง หรือ เคยนับถืออยู่บ้างตอนมีชีวิตอยู่ เช่น ท้าวเวสสุวรรณ พระอินทร์ พระศรีฯลฯ เหล่าอริยะสงฆ์ทั้งหลาย ; พ่อแก่ พระคเณศ พระศิวะ ฯลฯ ; เหล่านักบุญทั้งหลาย มหาเทพไมเคิล มหาเทพเมตาตรอน ฯลฯ ; ชาวพลีเดี้ยน ชาวดาวอื่นๆ แล้วแต่ความเชื่อของคนๆนั้นครับ–ผู้แปล–
𝗡 : 𝗠𝘆 𝗺𝗼𝗺? 𝗠𝘆 𝗗𝗮𝗱? 𝗠𝘆 𝗯𝗿𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲?
N : แม่ของผม❓ พ่อของผม❓ พี่ชายของผมจะอยู่ที่นั่นด้วยไหมครับ❓
 
 
𝗚 : "𝗧𝗵𝗼𝘀𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗹𝗼𝘃𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝘀𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝗰𝗹𝗼𝘀𝗲𝘀𝘁 𝘁𝗼 𝘆𝗼𝘂. 𝗧𝗵𝗲𝘆 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘀𝘂𝗿𝗿𝗼𝘂𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂."
G : คนที่เธอรักมากที่สุดจะอยู่ใกล้กับเธอมากที่สุด พวกเขาจะอยู่รายล้อมรอบตัวเธอ
 
 
𝗡 : 𝗧𝗵𝗮𝘁'𝘀 𝘄𝗼𝗻𝗱𝗲𝗿𝗳𝘂𝗹.
N : นั่นมันเยี่ยมสุดๆไปเลย
 
 
𝗚 : "𝗧𝗵𝗲 𝗽𝗿𝗲𝘀𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲𝘀𝗲 𝗹𝗼𝘃𝗲𝗱 𝗼𝗻𝗲𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝗮𝗻𝗴𝗲𝗹𝘀 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝗼𝗳 𝗲𝗻𝗼𝗿𝗺𝗼𝘂𝘀 𝗵𝗲𝗹𝗽 𝘁𝗼 𝘆𝗼𝘂, 𝗮𝘀𝘀𝗶𝘀𝘁𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂 𝗶𝗻 𝗯𝗲𝗰𝗼𝗺𝗶𝗻𝗴 '𝗼𝗿𝗶𝗲𝗻𝘁𝗲𝗱 𝗮𝗻𝗱 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱𝗶𝗻𝗴 𝗲𝘅𝗮𝗰𝘁𝗹𝘆 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝘆𝗼𝘂, 𝗮𝗻𝗱 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂𝗿 '𝗼𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀' 𝗮𝗿𝗲."
G : การปรากฏตัวของบุคคลอันเป็นที่รักและทูตสวรรค์เหล่านี้จะช่วยเธอได้มาก พวกเขาจะช่วยให้เธอสามารถเกิด 'ความตระหนักรู้และเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับเธอ และ 'ทางเลือก' ของเธอมีอะไรบ้าง (เธอสามารถเลือกอะไรได้บ้าง)
𝗡 : 𝗜 𝗵𝗮𝗱 𝗵𝗲𝗮𝗿𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗲 𝗮𝗿𝗲 𝗿𝗲𝘂𝗻𝗶𝘁𝗲𝗱 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗼𝘂𝗿 𝗹𝗼𝘃𝗲𝗱 𝗼𝗻𝗲𝘀 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗵𝗲𝗹𝗽 𝘂𝘀 '𝗰𝗿𝗼𝘀𝘀 𝗼𝘃𝗲𝗿,' 𝗮𝗻𝗱 𝗜 𝗮𝗺 𝘀𝗼𝗼𝗼𝗼 𝗴𝗹𝗮𝗱 𝘁𝗼 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝘁𝗿𝘂𝗲!
N : ผมเคยได้ยินมาว่าเราจะได้กลับไปพบกับคนที่เรารักอีกครั้งหลังจากที่เราตาย และพวกเขาจะช่วยให้เราสามารถ “ข้าม” ไปอยู่กับพวกเขาที่โลกหลัง ความตายได้ ผมดีใจมากๆๆๆเลยครับที่ได้รู้ว่ามันคือเรื่องจริง❗
 
 
𝗚 : "𝗬𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗲𝘃𝗲𝗻 𝗯𝗲𝗰𝗼𝗺𝗲 𝗮𝘄𝗮𝗿𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗿𝗲𝘀𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝘀𝗼𝗺𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗼𝘀𝗲 𝗹𝗼𝘃𝗲𝗱 𝗼𝗻𝗲𝘀 𝗯𝗲𝗳𝗼𝗿𝗲 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵."
G : เธออาจกระทั่งรับรู้ถึงการมีอยู่ของคนที่เธอรักบางคนได้ก่อนที่เธอจะตายเสียอีก
 
 
𝗡 : 𝗕𝗲𝗳𝗼𝗿𝗲 𝗺𝘆 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵?
N : ก่อนที่ผมจะตายงั้นหรือครับ❓
 
 
𝗚 : "𝗬𝗲𝘀. 𝗠𝗮𝗻𝘆 𝗽𝗲𝗼𝗽𝗹𝗲, 𝘄𝗵𝗶𝗹𝗲 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗮𝗿𝗲 𝘀𝘁𝗶𝗹𝗹 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲𝗶𝗿 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗯𝗼𝗱𝗶𝗲𝘀, 𝗮𝗻𝗻𝗼𝘂𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗼 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿𝘀 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗿𝗼𝗼𝗺 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗮𝗿𝗲 𝘀𝗲𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗹𝗼𝘃𝗲𝗱 𝗼𝗻𝗲𝘀, 𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗶𝗿 𝗯𝗲𝗹𝗼𝘃𝗲𝗱 𝗵𝗮𝘀 𝗰𝗼𝗺𝗲 𝗳𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗲𝗺.
G : ถูกต้อง มีคนจำนวนมากมาย ในขณะที่พวกเขายังคงอยู่กับร่างกาย (ยังไม่ออกจากร่างไป) ได้ประกาศให้คนอื่นๆในห้องทราบว่า พวกเขาเห็นคนที่พวกเขารัก หรือคนที่พวกเขารักมาหาพวกเขาและกำลังอยู่เคียงข้างกับพวกเขา
"𝗧𝗵𝗼𝘀𝗲 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿𝘀 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗿𝗼𝗼𝗺 𝗼𝗳𝘁𝗲𝗻 𝘁𝗿𝘆 𝘁𝗼 𝗰𝗼𝗻𝘃𝗶𝗻𝗰𝗲 𝗱𝘆𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗲𝗼𝗽𝗹𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗮𝗿𝗲 𝘀𝗲𝗲𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀—𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗔𝗥𝗘 𝘀𝗲𝗲𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀, 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗮𝗿𝗲 𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗿𝗲𝗮𝗹, 𝗯𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝗽𝗲𝗼𝗽𝗹𝗲 𝗰𝗮𝗻𝗻𝗼𝘁 𝘀𝗲𝗲 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲𝗶𝗿 𝗹𝗶𝗺𝗶𝘁𝗲𝗱 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲.
𝗬𝗼𝘂𝗿 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝘄𝗶𝗱𝗲𝗻𝘀 𝗶𝗺𝗺𝗲𝗻𝘀𝗲𝗹𝘆 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 '𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵'—𝗮𝗻𝗱 𝗼𝗳𝘁𝗲𝗻 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝗯𝗲𝗳𝗼𝗿𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗶𝗲."
คนอื่นๆในห้องนั้นก็มักจะพยายามเกลี้ยกล่อมคนที่กำลังจะตายให้รู้ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังเห็นอยู่นั้น—ว่าสิ่งที่พวกเขา “กำลัง” เห็นอยู่นั้นคือความจริง พวกเขาเห็นมันได้จริงๆ แต่มันเป็นสิ่งที่คนอื่นในห้องไม่สามารถมองเห็นได้เนื่องจากมุมมองและการรับรู้ที่จำกัด เธอจะมีมุมมองที่กว้างขึ้นเป็นอย่างมากหลังจากที่เธอ “ตาย” —และบ่อยครั้งในช่วงเวลาก่อนที่เธอจะตาย (ไม่กี่วัน, 1 วัน หรือ ไม่กี่ชม. ก่อนที่จะตาย)
𝗡 : 𝗧𝗵𝗮𝘁'𝘀 𝗲𝘅𝗰𝗶𝘁𝗶𝗻𝗴! 𝗡𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂'𝗿𝗲 𝗮𝗹𝗺𝗼𝘀𝘁 𝗺𝗮𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝘀𝗼𝘂𝗻𝗱 𝗲𝘅𝗰𝗶𝘁𝗶𝗻𝗴.
N : น่าตื่นเต้นจังครับ❗ ตอนนี้พระองค์เกือบจะทำให้ความตายฟังดูเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นไปแล้ว
 
 
𝗚 : "𝗜𝘁 𝗜𝗦 𝗲𝘅𝗰𝗶𝘁𝗶𝗻𝗴. 𝗜𝗻 𝗳𝗮𝗰𝘁, 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝗰𝗮𝗻 𝗯𝗲 𝗼𝗻𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝘀𝘁 𝗲𝘅𝗰𝗶𝘁𝗶𝗻𝗴 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗹𝗶𝗳𝗲. 𝗜𝘁 𝗮𝗹𝗹 𝗱𝗲𝗽𝗲𝗻𝗱𝘀 𝗼𝗻 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗲. 𝗔𝘀 𝗶𝗻 𝗹𝗶𝗳𝗲, 𝗶𝗻 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗲 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲.
G : อันที่จริงแล้ว ความตายก็เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นจริงๆนั่นแหละ การตายของเธออาจเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตของเธอ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสิ่งที่เธอเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่กับร่างหรือตอนที่จากร่างไปแล้ว #สิ่งที่เธอเชื่อคือสิ่งที่เธอจะได้รับประสบการณ์
"𝗙𝗼𝗿 𝗶𝗻𝘀𝘁𝗮𝗻𝗰𝗲, 𝗶𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗼 𝗻𝗼𝘁 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗿𝗲𝘀𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲𝘀𝗲 𝘀𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁𝘀 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝗶𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗼 𝗻𝗼𝘁 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗰𝘁 𝘁𝗼, 𝗮𝗻𝗱 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗶𝗹𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲𝗶𝗿 𝗽𝗿𝗲𝘀𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗹𝗶𝗲𝘀 𝗼𝘂𝘁𝘀𝗶𝗱𝗲 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝗳 𝘀𝘆𝘀𝘁𝗲𝗺.
𝗬𝗲𝘁 𝗶𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗼 𝗺𝘂𝗰𝗵 𝗮𝘀 𝗵𝗼𝗽𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝘀𝗲 𝗹𝗼𝘃𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗿𝗲𝘀𝗲𝗻𝗰𝗲𝘀 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗶𝗺𝗺𝗲𝗱𝗶𝗮𝘁𝗲𝗹𝘆 𝗽𝗲𝗿𝗰𝗲𝗶𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗲𝗺."
ตัวอย่างเช่น หากเธอไม่ได้มีประสบการณ์ถึงการปรากฏตัวหรือการมีอยู่ของจิตวิญญาณเหล่านี้ในเวลาที่เธอเสียชีวิต นั่นอาจเป็นเพราะเธอไม่ได้คาดหวังไว้ว่าเหตุการณ์แบบนั้นจะต้องเกิดขึ้นหลังจากที่เธอตาย และอาจเป็นเพราะความเป็นไปได้ที่จิตวิญญาณเหล่านั้นจะปรากฏตัวอยู่นอกเหนือจากระบบความเชื่อของเธอ แต่ทว่า ถ้าเธอคาดหวังให้จิตวิญญาณผู้เป็นที่รักเหล่านั้นอยู่ที่นั่น ในตอนนั้น เธอก็จะรับรู้ถึงพวกเขาได้ในทันที
𝗡 : 𝗜 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱. 𝗦𝗼 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗶𝗺𝗽𝗼𝗿𝘁𝗮𝗻𝘁 𝘁𝗼 𝗯𝗲 𝗰𝗹𝗲𝗮𝗿 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝗳𝘀 𝘀𝘂𝗿𝗿𝗼𝘂𝗻𝗱𝗶𝗻𝗴 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵.
N : ผมเข้าใจแล้วครับ ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากจริงๆที่เราจะต้องมีความชัดเจนในเรื่องของความเชื่อที่เกี่ยวกับความตาย
 
 
𝗚 : "𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗶𝗺𝗽𝗼𝗿𝘁𝗮𝗻𝘁 𝗶𝗻 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝘁𝗼 𝗯𝗲 𝗰𝗹𝗲𝗮𝗿 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝗳𝘀 𝘀𝘂𝗿𝗿𝗼𝘂𝗻𝗱𝗶𝗻𝗴 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴. 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗮𝗳𝗳𝗲𝗰𝘁𝗲𝗱 𝗯𝘆 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝗳𝘀, 𝗯𝘂𝘁 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝘄𝗵𝗼𝗹𝗲 𝗹𝗶𝗳𝗲."
G : มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากในชีวิตที่เธอจะต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับความเชื่อที่เธอมีต่อทุกสิ่ง เพราะไม่ใช่แค่ความตายของเธอเท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบจากความเชื่อของเธอ แต่ “ทั้งชีวิตของเธอ” เลยต่างหากที่จะได้รับผลกระทบจากความเชื่อของเธอ★
★ตรงนี้มีความหมายแฝงอยู่นะครับ เพราะมันหมายรวมถึง ชีวิตในชาติภพอื่นๆ หรือ ตัวตนอื่นๆทั้งหมดของเรา ในทุกห้วงเวลา ไม่ว่าจะเป็นในอดีต หรือ ในอนาคต ที่กำลังมีประสบการณ์อยู่พร้อมกันเป็นปัจจุบันขณะอยู่ในขณะนี้ด้วย –ผู้แปล–
(((จบบทที่ 14)))

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา